หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1536 สระมรดกราชัน
“ร่างมหาเทพปฐมกาลอีกสองร่าง…”
เมื่อเสียงของมู่เฉินสะท้อนก้อง ท่าทางของจอมยุทธ์ทั้งหมดก็ซับซ้อนขึ้น เงื่อนไขนี้ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกนัก
ในมหาพันภพมีร่างมหาเทพปฐมกาลห้าร่างเท่านั้น แต่ละร่างก็เข้าถึงยากเย็นและทรงพลัง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหมัวเฮอเทียนถึงประกาศสงครามเพื่อร่างมหาเทพนิรันดร์
แต่เวลานี้มู่เฉินต้องการร่างมหาเทพปฐมกาลอีกสองร่าง นี่ทำให้ทุกคนถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
เซียวเหยียนและหลินต้งก็แลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็หันไปมองประมุขและผู้อาวุโสใหญ่ของสี่เผ่าโบราณ เพราะร่างมหาเทพปฐมกาลที่เหลือถูกเก็บไว้ที่เผ่าโบราณเหล่านี้
เผชิญหน้ากับสายตาจากเทพจักรพรรดิทั้งสอง นอกเหนือจากชิงเหยี่ยนจิ้ง ทั้งสามเผ่าก็มีสายตาวูบไหว ท้ายที่สุดร่างมหาเทพปฐมกาลสำคัญมาก แม้แต่พวกเขาก็ไม่กล้าตัดสินใจทันที
ดังนั้นความเงียบที่น่าอึดอัดจึงเขย่าไปทั่วโถงวังแห่งนี้
“เผ่าฝูถูยินดีที่จะนำร่างมหารัศมีอนันต์ออกมา”
ชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นคนแรกที่พูดขึ้นทำลายความเงียบ แม้ว่านางจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถู แต่อันที่จริงก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากสภาผู้อาวุโสก่อน หากเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับร่างมหาเทพปฐมกาล ทว่าเวลานี้มหาพันภพตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม หากไม่สามารถหยุดยั้งเทพปีศาจจักรพรรดิในอีกห้าปีข้างหน้า แม้แต่เผ่าโบราณก็จะถูกล้างบาง แล้วจะสำคัญอะไรกับครอบครองร่างมหารัศมีอนันต์ไว้แต่ใช้ไม่ได้?
ที่สำคัญที่สุดก็คือมู่เฉินเป็นบุตรชายที่รักของนาง ในฐานะมารดานางต้องสนับสนุนเขาทุกอย่างอยู่แล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของชิงเหยี่ยนจิ้ง ตัวแทนอีกสามเผ่าโบราณก็ยิ้มขมขื่น มู่เฉินเป็นลูกของนาง มิหนำซ้ำยังกำลังจะขึ้นเป็นประมุขเผ่า ดังนั้นการที่ชิ้งเหยี่ยนจิ้งสนับสนุนเขาก็สมควรแล้ว
เซียวเหยียนและหลินต้งพยักหน้า ตอนนี้พวกเขาขาดร่างมหาเทพปฐมกาลอีกร่างหนึ่ง
ผู้อาวุโสใหญ่ไท่หมิง ประมุขเฮยเธียนและประมุขหวางฉิวดูกังวล แต่ก็ไม่คิดจะพูดอะไร ชัดว่ารอให้คนอื่นออกปากก่อน
ทันใดนั้นลั่วหลีก็มองไปที่ไท่หมิงและยิ้ม “ท่านผู้อาวุโสใหญ่ไท่หมิง”
เมื่อได้ยินลั่วหลีเรียกเสียงหวาน ไท่หมิงก็สะดุ้งก่อนที่เขาจะมองนางด้วยรอยยิ้มน่าอึดอัดใจ
ทว่าลั่วหลีไม่ได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจกล่าวว่า “ในฐานะธิดาเทพเผ่าไท่หลิง ข้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้ใช่ไหม?”
ไท่หมิงพยักหน้าพลางยิ้มฝืด “ธิดาเทพประหนึ่งประมุข โดยปกติแล้วเจ้ามีอำนาจมากในการตัดสินใจ”
“ร่างมหาปราชญ์วิญญาณเป็นสมบัติของเผ่าไท่หลิง เป็นเรื่องธรรมดาที่ท่านจะมีความลังเล… แต่ข้าอยากจะถามคำถามสักหน่อย ร่างมหาปราชญ์วิญญาณจะมีปะโยชน์อะไรหากไม่มีเผ่าไท่หลิงอีกแล้ว?” เสียงของลั่วหลีดังสะท้อนเบาๆ ทำให้ใบหน้าของไท่หมิงตึงเครียดขึ้น
หากพวกเขาไม่มีจอมยุทธ์ทำเนียบคนที่สามในอีกห้าปีข้างหน้า มหาพันภพจะต้องประสบกับการทำลายล้างเผ่าพันธุ์และเผ่าโบราณก็ต้องรวมอยู่ในนั้นด้วย
หลังจากลังเลชั่วครู่ไท่หมิงก็ยิ้มฝืดออกมา “คำพูดของเจ้านั้นถูกต้อง หากตอนนี้เรายังเห็นแก่ตัวก็คงต้องตายตกตามกันไปในสงครามครั้งนี้”
ไท่หมิงเงยหน้าขึ้นมองไปที่เซียวเหยียน หลินต้งและมู่เฉิน ก่อนที่จะพูดเสียงต่ำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เผ่าไท่หมิงยินดีส่งมอบร่างมหาปราชญ์วิญญาณให้กับมู่เฉิน”
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสใหญ่ไท่หมิง” มู่เฉินประสานมือคารวะ
เมื่อเฮยเธียนและหวางฉิวเห็นว่าไท่หมิงยอมมอบร่างมหาปราชญ์วิญญาณให้กับมู่เฉิน พวกเขาก็รู้สึกกระอักกระอวนเนื่องจากสิ่งที่มู่เฉินทำนั้นก็เพื่อประโยชน์ของมหาพันภพ
“หากมีความต้องการเพิ่ม เผ่าของพวกข้าก็ยินดีมอบร่างมหาเทพปฐมกาลไปให้เช่นกัน”
แม้ว่าทั้งสองจะตัดสินใจช้าไปบ้าง แต่มู่เฉินก็ยังยิ้มให้เพื่อแสดงความขอบคุณในน้ำใจ
“การรวมร่างมหาเทพปฐมกาลถึงสามร่างไม่เคยมีมาก่อน เจ้าอย่าทำให้ทุกคนผิดหวังละกัน” หมัวเฮอเทียนอดไม่ได้ที่จะพูดแดกดัน ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงจากความอิจฉา
มู่เฉินยิ้ม “ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพราะข้ารู้ดีถึงผลของความล้มเหลว”
หมัวเฮอเทียนทำท่าเหมือนจะพึมพำอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบไป แม้เขาจะไม่พอใจ แต่ก็รู้ว่าควรจะชั่งน้ำหนักสถานการณ์อย่างไร ยามนี้มู่เฉินคือความหวังสุดท้ายของมหาพันภพ
เมื่อมองภาพใหญ่เขาก็หวังว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน
“ในเมื่อปัญหาเรื่องร่างมหาเทพปฐมกาลได้รับการแก้ไขแล้ว” เทพจักรพรรดิทั้งสองพยักหน้าก่อนจะพูดว่า “จากนั้นก็ต้องคิดต่อว่าจะให้เจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในห้าปีได้ยังไง”
ทุกคนในห้องโถงขมวดคิ้วแน่น มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลาง โดยทั่วไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ฝึกที่จะก้าวจากขั้นเซียนระยะกลางเป็นขั้นเซิ่งภายในเวลาห้าปี
เพราะนั่นจะต้องใช้โอกาสมหาศาล
ขณะที่ทุกคนจมลงในความเงียบ ปู้สื่อก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉิน “ห้าปีจากนี้ด้วยพรสวรรค์ของราชันมู่และความช่วยเหลือจากภายนอกก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้…”
คำพูดของเขาดึงดูดสายตาของทุกคนทันที
“ความช่วยเหลือจากภายนอกคืออะไร?”
ปู้สื่อถอนหายใจขณะที่เหยียดนิ้วชี้ไปที่ดินแดนวั้นมู่พลางยิ้ม “ในสมัยโบราณตอนที่ท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ต่อสู้กับเทพปีศาจจักรพรรดิ เขายุติการต่อสู้ด้วยการสละชีวิตเพื่อปิดผนึก”
“แต่ท่านเทพครอบครองร่างมหาเทพนิรันดร์และมีกายานิรันดร์ร่วมผสาน แม้ว่าเขาจะสิ้นชีพ แต่ร่างกายยังคงถูกเก็บรักษาไว้
“ขณะเดียวกันคลื่นหลิงที่ท่านเทพได้เพาะบ่มก็ถูกเก็บไว้ในกายานิรันดร์ของเขาซึ่งมีพลังไร้ขอบเขต พวกข้าเรียกบริเวณนั้นว่า…สระมรดกราชัน”
คำพูดของปู้สื่อทำให้เกิดความปั่นป่วนในทันที เหล่าจอมยุทธ์เกิดไฟลุกโชนในหัวใจ คลื่นหลิงของเทพจักรพรรดินิรันดร์! ต่อให้อ่อนแรงลงหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี แต่ก็ยังมีพลังงานมหาศาล หากพลังงานนั้นได้รับการขัดเกลาและดูดซับก็มีโอกาสมากที่จะไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้
“แต่ว่าคลื่นหลิงของท่านปู้ซิ่วมีคลื่นนิรันดร์อยู่ ไม่มีใครสามารถดูดซับได้ ไม่เช่นนั้นก็จะถูกกลืนกินเข้าไปแทน…” คำพูดครึ่งหลังของปู้สื่อดับความตื่นเต้นของทุกคนลง
จากนั้นปู้สื่อก็ยิ้มมองไปที่มู่เฉิน “ซึ่งนั่นหมายความว่ามีเพียงผู้ที่ฝึกฝนร่างมหาเทพนิรันดร์เท่านั้นที่สามารถดูดซับสระมรดกราชันได้”
“ฮ่าๆ ตามจริงสระมรดกราชันนี้ก็เป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับราชันมู่ และนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด”
ทุกคนในห้องโถงแอบเดาะลิ้นขณะมองมู่เฉินด้วยความอิจฉา เจ้าหนุ่มคนนี้มาพร้อมโชคแห่งมหาพันภพด้วยการผูกขาดทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของตน
“เวลาจะหล่อหลอมวีรบุรุษ…”
ทุกคนถอนหายใจ ถ้าเป็นในช่วงเวลาปกติแค่ร่างมหาเทพปฐมกาลสองร่างก็ยังเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับ ไม่ต้องพูดถึงสระมรดกราชัน
ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากมีเพียงมู่เฉินที่กล้ายืนหยัดแบกรับภาระนี้
แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายอย่างฉิงเทียนก็ไม่กล้าที่จะแบกรับ
มงกุฎแห่งปณิธานมีน้ำหนักหนาแน่น
หลังจากได้รับโอกาสทั้งหมดแล้วเขาต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมา
เมื่อเห็นว่าเงื่อนไขทั้งสองเรียบร้อยดี เซียวเหยียนและหลินต้งก็รู้สึกโล่งใจมาก พวกเขามองไปที่มู่เฉิน กล่าวอย่างจริงจัง “เงื่อนไขเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว จากนี้ก็อยู่ที่เจ้าแล้ว”
ดวงตาของมู่เฉินคมกล้าขณะพยักหน้า “ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
เซียวเหยียนและหลินต้งพยักหน้าก่อนที่จะลุกขึ้นยืนปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลังขณะที่ใบหน้าเย็นเยือกลง “แต่เราไม่สามารถนั่งรอโดยไม่ทำอะไร”
“นับจากนี้เป็นต้นไปเราจะเปิดเผยแผนการที่เทพปีศาจต้องการจะทำลายล้างเผ่าพันธุ์เราและรวบรวมขุมกำลังทั้งหมดของมหาพันภพเพื่อประกาศสงครามกับจักรวรรดิปีศาจ!”
“ในเมื่อไอ้เทพปีศาจต้องใช้เวลาห้าปีในการฟื้นตัว เราก็จะสร้างปัญหาให้มัน หลินต้งและข้าจะคอยตรวจจับตำแหน่งของมัน บีบให้มันต้องออกมาต่อสู้เพื่อชะลอการฟื้นตัว!”
จอมยุทธ์ทั้งหมดยืนขึ้นพร้อมกับไอสังหารพลุ่งพล่านบนใบหน้า ในเมื่อจักรวรรดิปีศาจต่างมิติต้องการทำลายล้างมหาพันภพ พวกเขาก็ต้องต่อสู้ด้วยชีวิตทั้งหมดที่มี
ทันใดนั้นวังมหาพันภพก็อบอวลไปด้วยกลิ่นไอสังหาร
แม้แต่มู่เฉินก็ยังได้รับผลกระทบจากบรรยากาศ เขายืนขึ้นด้วยสีหน้าเย็นเยือก
เซียวเหยียนกับหลินต้งหันมามองมามู่เฉินและยิ้ม “แต่เจ้าไม่ต้องเข้าร่วมในสงครามนี้ เจ้าจงอยู่ที่ดินแดนวั้นมู่รับสระมรดกราชัน ชำระร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสองร่างและไปให้ถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เพื่อจะก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์ทำเนียบ…”
“เมื่อไรที่เจ้าทำสำเร็จ มหาพันภพก็จะมีโอกาสมากขึ้น”
แม้ว่ามู่เฉินจะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เข้าร่วมสงคราม แต่เขาก็รู้ว่าตนเองคือตัวแปรสำคัญ ดังนั้นจึงพยักหน้ารับทราบ
เทพจักรพรรดิทั้งสองหันมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ เสียงก็ก้องกังวานขึ้น
“ทุกคนจงกลับไปที่ของตนเอง สองเดือนนับจากนี้เราจะไปรวมตัวกันที่ชายแดนมหาพันภพเพื่อโจมตีจักรวรรดิปีศาจ!”
“รับทราบ!”
เหล่าจอมยุทธ์ขานทราบ เสียงสั่นสะเทือนทั้งวัง อึดใจต่อมาร่างแสงก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งออกจากดินแดนวั้นมู่หายไปในเส้นขอบฟ้า
เมื่อมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ที่กลับไป เซียวเหยียนและหลินต้งก็ฉายท่าทางเคร่งขรึม
เนื่องจากพวกเขารู้ว่าข่าวนี้จะทำให้ทั้งจักรวาลสั่นสะเทือน
ความสงบสุขในมหาพันภพจบลงแล้ว