หนุ่มเศรษฐีลึกลับ - ตอนที่ 560
บทที่ 560 ศิษย์พี่มู่หรง
ลู่เสี้ยงหยางเดินเข้าประตูใหญ่ ตรงหน้าเป็นสนามขนาดใหญ่ ตอนนี้ในสนามเต็มไปด้วยผู้คนกว่าร้อยชีวิต ลู่เสี้ยงหยางนึกตระหนก คนที่มาเพื่อทดสอบด้านนอกเยอะแยะนับไม่ถ้วน แต่คนที่ผ่านการทดสอบ กลับเล็กน้อยเสียยิ่งกว่าอะไรดี น้อยยิ่งว่าน้อย
เขากวาดสายตาไปรอบๆ ก็ได้พบกับฟ้านเจาที่อยู่ในกลุ่มฝูงชน ชายหนุ่มจึงสาวเท้าเดินเข้าไป ยืนข้างกายเขา ยืนรอการจัดการรอบต่อไปอย่างเงียบๆ
…..
ในเวลาเดียวกัน บนหุบเขาลึกสุดลูกหูลูกตา วังหลังหนึ่งตั้งตระหง่าน
ครึ่งหนึ่งของวังขนาดใหญ่ อยู่เหนือเมฆ เจิดจ้าเรืองรองภายใต้การสาดส่องของดวงตะวัน เสมือนกับวังบนสวรรค์
ภายในวัง ห้องโถงหนึ่ง บุคคลทั้งเก่านั่งสงบนิ่งราวกับเงาร่างที่น่าสยดสยอง
ลมหายใจของพวกเขาลึกล้ำเหนือกำหนด ยากที่จะหยั่งรู้
ในเวลานี้เอง ชายชราคนที่ที่เส้นผมถูกย้อมเป็นสีขาว กล่าวขึ้นเป็นคนแรก “ตอนนี้ห้าสำนักใหญ่ได้เป็นพันธมิตรกันแล้ว และกำลังเตรียมการ และได้มีข่าวที่น่าเชื่อถือ ว่าสำนักกวางหมิงและสำนักจิ่วโยวจะส่งสารท้ารบในเร็วๆ นี้ ฉันคิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่เราควรจะออกโรงได้แล้ว”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น บุคคลที่มีเส้นผมสีขาวหัวเราะอย่างเย็นชา “ฉันได้รับข่าวที่แน่นอนมาแล้ว สามวันให้หลัง เทพเทียนหัวจะเดินทางไปทางตอนใต้ปินเหอ ถึงตอนนั้นเราผู้อาวุโสทั้งเก้าแห่งซี่ฟางโหลวออกโรง ต้องสังหารเขาได้แน่”
“ฮ่าฮ่า” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งหัวเราะลั่น “หากคิดจะทำแบบนั้นจริงๆ ละก็ เราสังหารผู้เก่งกาจอย่างเทพเทียนหัวก่อนวันเปิดสงครามละก็ นั่นจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อจิ่วโยวและกวางหมิง”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เหล่าคนที่ไม่ออกความเห็นเมื่อสักครู่ต่างพยักหน้ารับ ด้วยใบหน้าได้ใจและโหดเหี้ยม
ถึงตอนนั้น ขอเพียงแค่จัดการเทพเทียนหัวได้ เด็ดหัวมันออกมา สำ นักกวางหมิงและสำนักจิ่งโยวต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ถึงตอนนั้นสำนักใหญ่ทั้งห้าจะทำอะไรก็ได้
ตึกตึกตึก!
ทันใดนั้น
ฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้น แล่นผ่านมาทางประตู ก่อนที่ชายเคราแพะคนหนึ่งจะยิ่งเข้ามาด้วยความเร่งรีบ
“ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” ชายเคราแพะกล่าวอย่างร้อนรน
ชายชราผมหงอกไม่สบอารมณ์ พลันถลึงตา “ตื่นตูมอะไรกัน ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาเราก็ต้องตั้งมั่น แกจะกลัวอะไร?”
ชายเคราแพะถูกเอ็ดจนใบหน้าใบหูแดงก่ำ พลันกล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ครับครับ เป็นความผิดความของผมเอง”
“เหอะ” ชายผมหงอกไม่พอใจ ก่อนที่จะกล่าวถาม “มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ว่ามา”
ชายเคราแพะกัดฟันพูดออกไป “หัวหน้าสาขาของเราที่ปินเหอ ขุยกางเกิดอุบัติเหตุขึ้น ตอนนี้เขาเสียชีวิตไปแล้ว”
อะไรนะ?
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ผู้อาวุโสทั้งเก้าลุกขึ้นยืน สีหน้าดำทะมึน
ในซี่ฟางโหลว แม้ว่าขุยกางจะไม่ใช่ระดับผู้อาวุโส แต่ความสามารถของเขาไม่ด้อยเลย เขาเป็นถึงนักบู๊ระดับเก้า จะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้อย่างไร?
ชายชราผมหงอกคนหนึ่งจับจ้องไปที่ชายเคราแพะ “เรื่องนี้แกมั่นใจใช่ไหมว่าเป็นเรื่องจริง? หากข่าวกรองผิดพลาด ฉันจะสังหารแกเป็นคนแรก”
ชายเคราแพะคุกเข่าลงกับพื้นทันที พร้อมกับเหงื่อที่ผุดไหลไปทั่ว กล่าวอย่างระแวดระวัง “ผู้อาวุโสสาม เรื่องนี้จริงแท้แน่นอน แผ่นป้ายชีวิตหยกของขุยกางที่อยู่ในห้องบรรพบุรุษได้แตกเป็นเสี่ยงแล้ว”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ผู้อาวุโสทั้งเก้าต่างนิ่งเงียบ
ในซี่ฟางโหลว ทุกคนจะมีแผ่นป้ายหยกชีวิตไว้ที่ห้องโถงบรรพบุรุษ แผ่นป้ายหยกนี้สร้างขึ้นผ่านวิชาลับ ขอเพียงแค่ยังมีชีวิตอยู่ แผ่นป้ายหยกชีวิตก็จะยังอยู่ดี หากแต่ เจ้าของเป็นอะไรไปละก็ แผ่นป้ายหยกก็จะถูกทำลายไปด้วย
“เหอะ ใครกันช่างบังอาจ ที่กล้าลงมือกับคนของซี่ฟางโหลว”
ตอนนี้เองชายที่มีท้องใหญ่ตบโต๊ะเสียงดัง ความอาฆาตเผยขึ้นบนชัดเจน
ขุยกางเป็นผู้ดูแลระดับสูงของซี่ฟางโหลว ลงมือกับเขา ก็เท่ากับเป็นการเปิดศึกต่อซี่ฟางโหลว
ชายผมหงอกขมวดคิ้วแน่น “ก่อนหน้านี้ ขุยกางไปที่ปินเหอนอกจากเป็นผู้ดูแลสาขาแล้ว ก็เพื่อไปสังหารลู่เสี้ยงหยาง เรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่?”
เมื่อกล่าวประโยคนั้นออกมา ชายชราผิวคล้ำคนหนึ่งขัดขึ้นทันที “จะเป็นไปได้ยังไง ไอ้หมอนั่นเป็นแค่นักบู๊ระดับแปดเท่านั้น การที่ขุยกางจะฆ่าเขาง่ายกว่าบี้มดเสียอีก ฉันคิดว่าคนที่กล้าทำแบบนี้ ต้องเป็นชนชั้นสูงของสำนักกวางหมิงหรือสำนักจิ่วโยวแน่”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ทุกคนต่างพยักหน้า เห็นด้วยกับหลักการนี้
ไอ้ลู่เสี้ยงหยาง ก็แค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น อย่างเขาจะงัดข้อกับขุยกางที่เป็นนักบู๊ที่แข็งแกร่งได้อย่างไร
“เหอะ เรื่องนี้ต้องสืบหาความจริง” ชายชราผมหงอกทั้งหัวจับจ้องขุยกางพร้อมกล่าว “ตอนนี้แกส่งสารของเหล่าผู้อาวุโสลงไป ต้องสืบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด”
“ครับ” ชายเคราแพะตอบรับ ก่อนที่จะถอยออกไปอย่างร้อนรน
…..
ปินเหอ
ห้องโถงสาขาสำนักกลั่นอาวุธ
ลู่เสี้ยงหยางและคนอื่นๆ ยืนรอการจัดการขั้นต่อไปเป็นเวลากว่าชั่วโมง
ตอนนี้ ไม่มีศิษย์ที่เดินเข้ามาใหม่จากด้านนอกแล้ว ดูเหมือนว่า การทดสอบของสำนักกลั่นอาวุธของวันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วสินะ
หลายคนต่างกวาดสายตามองไปยังรอบด้าน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าทุกคนเริ่มหมดความอดทน อยากจะได้รับการคัดเลือกต่อไปจะแย่
ไม่นาน ชายวัยกลางคนร่างสูงผอมเดินเข้ามา พร้อมกล่าวเสียงเรียบ “ขอแสดงความยินดีกับทุกคน ที่ผ่านการทดสอบการรับศิษย์ของสำนักกลั่นอาวุธของเรา หลังจากนี้ ทุกคนจะเป็นหนึ่งเดียวกับเรา ตอนนี้ผมจะบอกกฎของสำนักกลั่นอาวุธให้กับทุกคนได้ทราบ”
“เมื่อทุกคนได้เป็นศิษย์ของสำนักกลั่นอาวุธแล้ว หวังว่าทุกคนจะตั้งใจฝึกฝนวิชา ตอนนี้ห้าสำนักใหม่กับสำนักกวางหมิงและสำนักจิ่วโยวกำลังจะทำศึกสงครามในเร็วๆ นี้ เพื่อชัยชนะของการรบในครั้งนี้ เราต้องพยายามให้ถึงที่สุด ช่วยสำนักใหญ่ทั้งห้ากลั่นอาวุธ เพราะงั้นทุกคนแบกรับหน้าที่อันใหญ่หลวง…..”
หลังจากนั้น ชายวัยกลางคนกล่าวอีกหลายอย่าง
ลู่เสี้ยงหยางไม่สนใจ การที่เขาเข้าร่วมสำนักกลั่นอาวุธมีเพียงแค่เป้าหมายเดียวเท่านั้น คือการหาค้นหาการจดบันทึก ได้ยาวิเศษที่กงหยู่หนิงว่ามา เพื่อช่วยเย่สวนตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล
“โอเค พูดมามากแล้ว หวังว่าทุกคนจะจำเอาไว้ นอกจากนี้ผมจะพูดอีกหนึ่งเรื่อง ศิษย์พี่ของพวกแกมู่หรงชิวหัวตอนนี้เธอต้องการผู้ช่วย อีกเดี๋ยวจะมีการทดสอบ รุ่นพี่ของพวกแกจะเป็นคนเลือกเอง หากพวกแกโชคดีได้ร่ำเรียนวิชากลั่นอาวุธกับรุ่นพี่ของพวกแก ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวพวกแกเองอย่างมาก”
กล่าวถึงประโยคนี้ ในกลุ่มฝูงชนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น
“ให้ตายสิ ศิษย์พี่มู่หรงคนนี้ ฉันได้ข่าวว่าเธอเป็นศิษย์ที่เก่งกาจที่สุด ได้ข่าวว่าเธอถูกแต่งตั้งให้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไป”
“ฮ่าฮ่า ใช่แล้ว ศิษย์พี่มู่หรงไม่เพียงแต่มีความสามารถในด้านกลั่นอาวุธเท่านั้น เธอยังเป็นหญิงสาวที่งดงามที่หาได้ยากยิ่ง หากใครโชคดีได้เป็นผู้ช่วยของเธอละก็ นั่นถือเป็นบุญที่สั่งสมมาหลายชาติภพเลยล่ะ”
“หวังว่าศิษย์พี่มู่หรงจะไม่รังเกียจฉัน แล้วเลือกฉันเป็นผู้ช่วยของเธอ”
“โถ่ อย่างแกเนี่ยนะ ศิษย์พี่มู่หรงจะเลือกแกได้ยังไง? เมื่อกี้ฉันได้ข่าวว่าในฝูงชนของเรามีคนหนึ่งที่ชื่อว่าหยางซ่าวฝัน เขาจุดประกายลูกหินได้ทั้งลูกเลย ความสามารถร้ายกาจมากเลย ศิษย์พี่มู่หรงต้องเลือกเขาเป็นผู้ช่วย และต้องเลือกเขาเป็นแน่”
ภายใต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ หญิงสาวที่สวยสดงดงามคนหนึ่งเกินเข้ามา