หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 917 ท้าประลอง
หลังจากที่แฟรงก์ถอยออกจากเวทีไม่กี่นาที สถานที่ประชุมขนาดมหึมาก็ตกอยู่ในความเงียบงัน เห็นได้ชัดว่า ไม่มีใครอยากออกหน้าแสดงพลังเหนือธรรมชาติและความสามารถพิเศษต่อหน้าผู้คน เพราะใครก็ไม่กล้าตัดสินว่า ในอนาคตคนที่อยู่ในงานประชุมจะไม่กลายเป็นศัตรูของตนเอง
“เผ่าแวมไพร์คนบาป ไม่นึกว่าพวกเจ้าจะกล้ามาร่วมงานประชุมครั้งนี้ ในนามแห่งพระเจ้า ข้าจะทำการลงโทษพวกเจ้าเอง!”
แต่ไม่นานความเงียบงันนั้นก็ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว ไม่กี่นาทีให้หลัง ชายวัยกลางคนในชุดเกราะยุคกลางตรงตำแหน่งตัวแทนจากประเทศอังกฤษก็ลุกยืนขึ้น พุ่งเป้าโจมตีมาที่ดยุกแดร็กคูล่าผู้อยู่ทางทิศใต้ของลานประชุม
เมื่อเสียงของชายวัยกลางคนผู้นั้นเงียบลง เสียงแหลมเล็กของแดร็กคูล่าก็ดังขึ้น
“เรธเวท ผ่านมาถึงหนึ่งพันปีแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้ใช้ชีวิตสงบสุขเสียที เลิกใช้ความเมตตาจอมปลอมของพวกแกหลอกลวงชาวโลกได้แล้ว บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเราต่างหาก ที่จะเป็นผู้ครอบครองโลกใบนี้!”
“สองคนนี้มีชีวิตอยู่มานานแค่ไหนกัน?”
บทสนทนาของทั้งสองทำให้สุภาพบุรุษจากหลากหลายประเทศภายในลานประชุมยากจะคล้อยตามไปด้วย ฟังจากคำพูดของแดร็กคูล่า ราวกับว่าพวกเขาได้ต่อสู้กันมากว่าพันปี แล้ว…ยังนับว่าเป็นมนุษย์กันอยู่หรือ? มนุษย์จะมีชีวิตยืนยาวขนาดนั้นได้อย่างไร?
“แวมไพร์สู้กับอัศวินโต๊ะกลม มีโชว์ดีๆ ดูแล้วสิ!”
“ประเทศอเมริกากับอังกฤษเป็นพันธมิตรกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่พวกเขาส่งมาจึงตีกันล่ะ?”
“นายไม่รู้เหรอ? ว่าอัศวินโต๊ะกลมของอังกฤษ เป็นผู้สืบสายเลือดโดยตรงของพระเยซูคริสต์ พวกเขาเลยไม่ยอมให้แวมไพร์คงอยู่ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมประเทศอเมริกาถึงส่งแดร็กคูล่ามา?”
ขณะที่บทสนทนาภายในลานดังขึ้น ก็เกิดความวุ่นวายภายในห้องประชุมเช่นกัน สายตานับไม่ถ้วนพุ่งตรงมาที่ อัฒจันทร์ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นผสมผสาน เป็นผลให้ภายในลานประชุมจอแจขึ้นมา
เมื่อมีพื้นที่สว่าง ความมืดก็ไม่อาจคงอยู่ เช่นเดียวกันกับที่ความมืดเองก็รังเกียจแสงสว่าง ดังนั้นอัศวินโต๊ะกลมผู้เรียกตัวเองว่าเป็นผู้สืบสายเลือดของพระเยซู และเหล่าแวมไพร์จึงถูกกำหนดให้กลายเป็นศัตรูกันตามธรรมชาติ เมื่อทั้งสองอยู่ร่วมกัน ย่อมก่อให้เกิดสงคราม
“มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะล้มล้างผู้ดูหมิ่นพระผู้เป็นเจ้า วันพิพากษาได้มาถึงแล้ว”
คนที่นั่งตำแหน่งประเทศอังกฤษลุกขึ้นยืนอีกหนึ่งคน มือถือโล่และดาบยาวเดินมายังกลางลานประชุม ชี้ไปยังแดร็กคูล่าแล้วพูดว่า
“แดร็กคูล่า ถ้าหากแกยังซ่อนตัวอยู่ในความมืดเช่นเดียวกับหนู อาจจะมีอายุยืนยาวขึ้นได้อีกสักนิด แต่ว่าเวลานี้ ความตายคือปลายทางหนึ่งเดียวของแก!”
“มิน่าเล่าประเทศจีนถึงได้กังวลเรื่องอำนาจของทิเบตนัก ที่แท้ความเชื่อทางศาสนาก็สามารถทำให้คนสูญเสียสติสัมปชัญญะได้?”
เห็นสถานการณ์ด้านล่างแล้ว เยี่ยเทียนก็เลิกคิ้วอย่างครุ่นคิด ในอดีตหลังจากรับมือกับเคิร์ททีไซบีเรียแล้ว เขาก็รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแวมไพร์มามากมาย ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงรู้เรื่องราวมากมายทั้งความแค้นเคืองระหว่างเผ่าแวมไพร์กับศาสนาคริสต์
ความจริงก่อนยุคกลาง คริสต์ศาสนาไม่ได้เป็นเพียงศาสนาเดียวในยุโรป ชนเผ่าแวมไพร์เองก็มีอิทธิพลยิ่งใหญ่และมีสาวกผู้ศรัทธามากมาย
อย่างไรก็ตามหลังจากสงครามครูเสด ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ภายใต้การยินยอมของโป๊ป เหล่าเจ้าขุนมูลนายและอัศวินยุคศักดินาฝั่งยุโรปตะวันตก ก็ได้ก่อสงครามศาสนากับประเทศทางชายฝั่งตะวันออกเมอร์ดิเตอเรเนียนเป็นเวลาเกือบสองร้อยปี
แม้ว่าสงครามครูเสดส่วนใหญ่จะพุ่งเป้าโจมตีไปยังประเทศอิสลาม เพราะเป้าหมายหลักๆ เป็นไปเพื่อยึดกรุงเยรูซาเล็มกลับมาจากศาสนาอิสลาม แต่เผ่าแวมไพร์เองก็ กลายเป็นเป้าหมายการโจมตีกวาดล้างของพวกเขาเช่นกัน
หลังผ่านการสังหารโหดนองเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดเหล่าแวมไพร์ก็สาบสูญไปจากสังคมหลักในยุโรป เช่นเดียวกันกับแดร็กคูล่า ผู้อยู่ในอเมริกาเหนือซึ่งขยายอำนาจมาตลอดสองร้อยปี ด้วยที่นั่นยังเป็นสถานที่ที่วาติกันไม่อาจเอื้อมมือถึงได้
“เหล่ากู้ ชาวอังกฤษพวกนั้นไม่ใช่รัฐบาลส่งตัวมาใช่ไหม? ทำไมถึงไม่สนใจหน้าตาของรัฐบาลล่ะ ฉีกหน้ากันตรงๆ เลยงั้นหรือ?”
แม้ว่าจะเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความแค้นระหว่างเผ่าแวมไพร์กับชาวคาทอลิก แต่เยี่ยเทียนก็ยังสงสัยไม่คลาย การประชุมแลกเปลี่ยนวันนี้จะกำหนดสิทธิอำนาจในการออกเสียงของแต่ละประเทศในเวทีนานาชาติ ว่าตามหลักการต้องคิดถึงประเทศชาติเป็นหลัก อัศวินเหล่านั้นจึงควรจะควบคุมตัวเอง
ความจริงไม่เพียงเยี่ยเทียนเท่านั้นที่เห็นว่าแปลก คนบางส่วนภายในงานก็ลนลานราวกับมดบนกระทะร้อน
บทบาทของพวกเขาไม่ต่างจากกู้ต้าจวิน ล้วนเป็นเจ้าหน้าที่จากราชการซึ่งติดตามเหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมาร่วมงานประชุม ตอนนี้เห็นว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจากประเทศพันธมิตรสองประเทศกำลังจะห้ำหั่นกัน พวกเขาต่างโทรศัพท์กันอย่างบ้าคลั่ง ด้วยหวังว่าจะหยุด “สงครามภายใน”
“คุณเยี่ยครับ คนพวกนั้นล้วนเป็นอัศวินโต๊ะกลม พวกเขาไม่สนใจรัฐบาลหรอก”
ก่อนที่กู้ต้าจวินจะมาได้ขุดคุ้ยข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาไม่น้อย จึงเอ่ยปากอธิบายว่า
“อัศวินเหล่านี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาก ในอดีตพวกเขาเคยมีกษัตริย์อาเธอร์เป็นผู้นำ ติดตามกษัตริย์อาเธอร์ทำศึกสงครามทางตะวันตกสร้างคุณูปการไว้ไม่น้อย จึงมีคุณสมบัติเพียงพอจะเข้าร่วมในเหตุการณ์ระหว่างประเทศ…”
ในฐานะผู้คุ้มกันที่ขึ้นตรงต่อกษัตริย์อาเธอร์ อัศวินโต๊ะกลมเคยมีชื่อเสียงระบือไกล แต่เนื่องจากเหตุชู้สาวระหว่างลานสล็อตกับพระราชินีของกษัตริย์อาเธอร์ในอดีต ก่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างอัศวินโต๊ะกลม และหายตัวไปจากสายตาผู้คนนับตั้งแต่นั้นมา
แต่ใครเลยจะรู้ว่า เหล่าอัศวินโต๊ะกลมที่เหลือต่างสืบทอดกันรุ่นต่อรุ่นในแต่ละยุคสมัย คอยคุ้มกันสหราชอาณาจักรมาตลอด เมื่อครั้งมีสงครามครูเสดก็ยังสามารถพบตัวพวกเขาได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามอัศวินโต๊ะกลมจะทุ่มเทกำลังให้แก่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ไม่ได้ให้ความสนใจต่อรัฐบาลอังกฤษ
“พวกเสแสร้งจอมปลอมอย่างพวกแกก็แค่ใช้จำนวนเข้าข่ม ได้ตามที่ปรารถนา ข้าเองก็อยากลิ้มรสเลือดของอัศวินโต๊ะกลมเช่นเดียวกัน!”
ขณะที่เยี่ยเทียนและกู้ต้าจวินพูดคุยกัน บรรยากาศภายในลานประชุมก็แปรเปลี่ยนไปด้วย เมื่อถูกยั่วยุโดยอัศวินโต๊ะกลมเช่นนี้ ถ้าหากเขายังไม่ลงไปยังลานประลอง สถานภาพของแดร็กคูล่าในโลกแห่งความมืดก็จะลดลงฮวบฮาบ ดังนั้นแม้ต้องรวบรวมความกล้า เขาก็ต้องลงไปประจันหน้าให้ได้
ขณะที่แดร็กคูล่าเตรียมตัวจะลงสนามรบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง พลันมีเสียงดังมาจากที่นั่งฝั่งอังกฤษ
“หัวหน้าหน่วยอัศวินเรธเวทครับ มีโทรศัพท์ให้คุณรับสักครู่ จาก…จากพระราชินีครับ!”
“หือ?”
อัศวินโต๊ะกลมที่เดินลงไปยังลานประลองขมวดคิ้ว ยึกยักไม่ยอมกลับเล็กน้อย เขามาจากดินแดนโต๊ะกลมศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกปิดผนึก ดวงชะตากำลังจะสิ้นสุดในอีกไม่นาน เขาเพียงคิดจะใช้เวลาที่เหลือ สะสางความแค้นต่อศัตรูที่สั่งสมมาหลายต่อหลายปี
แต่เมื่อเป็นโทรศัพท์จากพระราชินี เรธเวทจะไม่รับก็ไม่ได้ นี่ก็เป็นกฎเหล็กข้อสำคัญที่สุดของอัศวินที่ต้องเคารพ ซึ่งก็คือความจงรักภักดี
“น่าเบื่อจริง การประลองนี้ดำเนินต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ”
เยี่ยเทียนกระดิกหู บทสนทนาข้างหูเรธเวทล้วนเข้าหูเขาทั้งหมด
ตามคาด หลังจากที่เรธเวทวางสายโทรศัพท์ เขาก็กล่าวเสียงดังว่า
“แดร็กคูล่า หลังงานประชุมนี้จบ ฉันหวังว่าแกคงจะไม่หนีหัวซุกหัวซุนเป็นหนูในท่อล่ะ”
“หึ กล้าดีก็เข้ามาตอนนี้เสียเลยสิ!”
แดร็กคูล่าหัวเราะเย็น แต่ร่างที่ยืนอยู่กลับนั่งกลับลงไปอีกครั้ง ทักษะการโจมตีบางอย่างของสำนักวาติกันมีคุณสมบัติในการควบคุมพวกเขา หากไม่มีทางเลือกจริงๆ แดร็กคูล่าจะไม่ยอมสู้รบกับพวกเสียสติเหล่านี้เช่นกัน
เรธเวทเองก็ไม่ตอบคำพูดของแดร็กคูล่า ถึงตอนนี้จะมาลับฝีปากกันก็ไม่มีประโยชน์อะไร นั่นเพราะเขาต้องเคารพคำสั่งของราชีนีอย่างไม่มีเงื่อนไข หลังจากหย่อนร่างนั่งลงแล้ว เรธเวทก็หันไปกระซิบใส่หูเพื่อนฝูงเขาสองสามคำ เห็นได้ชัดว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่
“ฟ้าร้องกึกก้องมีฝนหยดเดียว น่าเบื่อจริงๆ!”
หนึ่งการประลองถูกสายโทรศัพท์ยกเลิกไปแล้ว คนที่รอดูความครึกครื้นในตอนแรก ต่างรู้สึกเบื่อหน่ายกันไปหมด เยี่ยเทียนเหลือบสายตามองไปยังนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ แอบคิดอยู่ภายในใจว่าจะเป็นเขาที่ริเริ่มหายนะครั้งนี้ดีหรือไม่?
ทว่าไม่ทันเยี่ยเทียนจะคิดเสร็จ ด้านล่างเวทีพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ผมคือโอคาดะ มาซากะชาวญี่ปุ่น ต้องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากคุณเยี่ยเทียนจากประเทศจีนเสียหน่อย ไม่ทราบว่าคุณเยี่ยเทียนจะยอมรับคำท้าจากผมหรือไม่?”
“ท้าดวลฉันหรือ?”
เยี่ยเทียนถูกเสียงที่ดังขึ้นจากเครื่องแปลภาษาทำเอาตกใจจนสะดุ้ง เขาไม่ได้ไปหาเรื่องใคร แต่คนผู้นั้นก็มาจุดธูปเรียก นึกไม่ถึงว่าจะมีคนวอนตายถึงที่ เยี่ยเทียนจึงไม่มีเหตุผลไม่ตอบสนองอีกฝ่าย!
“บนร่างมีคลื่นปราณวิเศษเล็กน้อย เอ๋ แถมนำธงค่ายกลมาด้วย?”
พอลองปล่อยจิตสัมผัสไปยังที่ที่มีเสียงพูดดู ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็เคลื่อนไหวเล็กน้อย ชาวญี่ปุ่นผู้นี้น่าจะมีศาสตร์วิชาหลบหลีกจากประเทศจีน อีกทั้งยังมีพรสวรรค์สูงลิ่ว ถึงขนาดฝึกฝนวิชาหลบหลีกได้ระดับสูงขนาดนี้ หากพูดถึงในวงการศาสตร์ลี้ลับ เกรงว่าน่าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าโจวเซี่ยวเทียน
แต่หากท้าดวลกับเขา โอคาตะ มาซากะคงจะประเมินตนเองสูงเกินไปหน่อย ใบหน้าของเยี่ยเทียนผุดรอยยิ้มเย็น ในเมื่ออยากตาย ตนเองก็ย่อมทำให้อีกฝ่ายได้สมหวัง ส่งเขาไปเกิดใหม่
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังคิดจะตอบรับคำท้าโอคาตะ มาซากะอยู่นั้นเอง โจวเซี่ยวเทียนที่อยู่ด้านข้างก็รั้งตัวเขาเอาไว้ เอ่ยปากบอกว่า
“อาจารย์ ให้ผมไปเถอะครับ อาจารย์ก็รู้ว่าผมเกลียดชาวญี่ปุ่นที่สุด!”
ตระกูลโจวเดิมทีเป็นตระกูลใหญ่ที่สืบทอดกันมาในประเทศจีนเป็นพันปี แต่ครอบครัวโชคร้ายให้กำเนิดคนต่ำช้า ภายหลังยิ่งเมื่อทำการทรยศ ส่งผลให้ตระกูลโจวไม่กล้าเงยหน้าสู้คนในสำนัก ในฐานะผู้สืบทอดหนึ่งเดียวของตระกูลโจว โจวเซี่ยวเทียนจึงอยากชะล้างความอับอายครั้งนี้
“แกอยากจะประลองหรือ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วลังเลไปชั่วขณะ วรยุทธ์ของโอคาตะ มาซากะคนนี้ไม่เท่าไหร่นักในสายตาเขา แต่เทียบกับโจวเซี่ยวเทียนก็นับว่าแข็งแกร่งไม่อ่อนด้อย อีกทั้งดูจากพลังพิฆาตไร้รูปร่างที่โอบล้อมร่างกายของเขาแล้ว มือของเจ้ายุ่นนี่คงจะเปรอะเปื้อนเลือดมาไม่น้อย
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่พูดจา โจวเซี่ยวเทียนก็รีบตอบ
“อาจารย์ ลมปราณในตัวของคนผู้นี้ก็พอๆ กับผม แต่ว่าเขาอายุมากขนาดนั้นแล้ว หากผมยังเอาชนะเขาไม่ได้ จะไม่เป็นการเอาหัวชนเต้าหู้ตายหรือ!”
เมื่ออายุเพียงสิบกว่าขวบก็กล้าหาญพอจะขุดสุสาน โจวเซี่ยวเทียนจึงไม่ใช่คนบุ่มบ่ามอย่างแน่นอน เขาสามารถสัมผัสถึงพลังที่แท้จริงของโอคาตะ มาซากะที่ลงสนามได้ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเรธเวทกับแดร็กคูล่าเมื่อครู่นี้ โจวเซี่ยวเทียนย่อมไม่เสนอหน้าหาเรื่องตาย
เยี่ยเทียนพยักหน้า ตบบ่าโจวเซี่ยวเทียน ตอบว่า
“หยกไม่เจียระไนไม่อาจใช้งาน แกเองก็ควรจะผ่านประสบการณ์เฉียดตายเสียบ้าง!”
กระทั่งโจวเซี่ยวเทียนเองยังไม่รู้ว่า ขณะที่เยี่ยเทียนตบบ่าเขา ได้ส่งปราณวิเศษเข้าไปในร่างเขาไว้อย่างไร้ร่องรอย
…………………..