หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 152 ตัวปัญหา
บทที่ 152
ตัวปัญหา
ณ อำเภอจ้าว การที่หลินซีเหยียนมาหาเยี่ยจุนเจี๋ยในฐานะหลินอวิ๋นเซวียนนั้น เรียกได้ว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว
“อวิ๋นเซวียน การที่เจ้ามาช่วยข้าเช่นนี้เป็นอะไรที่ยอดมากเลย”
ในเต็นท์ขนาดใหญ่ มีเหล่ารองแม่ทัพยืนอยู่ด้านใน และหลินซีเหยียนก็รู้สึกเหมือนสายตาของพวกเขากำลังจับจ้องมาที่นางด้วยสายตารังเกียจ, ดูถูกและประเมินตัวนางอยู่
หลินซีเหยียนก็ได้กระแอมเพื่อเป็นการเตือนสติของ เยี่ยจุนเจี๋ยให้สนใจภาพพจน์ของนางด้วย “ท่านแม่ทัพเยี่ย ไม่ทราบว่าขอข้าอยู่ในทัพของท่านด้วยได้ไหม?”
“ได้แน่นอน” เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้ตบไหล่ของหลินซีเหยียนราวกับว่าเขาประเมินค่านางไว้สูงมาก ซึ่งทำให้หลินซีเหยียนรู้สึกอายขึ้นมาเล็กน้อย
แต่แล้วก็มีรองแม่ทัพคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วก้มคำนับเยี่ยจุนเจี๋ย “เรียนท่านแม่ทัพ คุณชายท่านนี้ดูแล้วอ่อนแอไม่เหมาะสมที่จะให้อยู่ในกองทัพนะขอรับ”
ความสามารถของหลินอวิ๋นเซวียนนั้นเยี่ยจุนเจี๋ยนั้นรู้ดีอยู่แล้ว แต่ลูกน้องของเขานั้นยังไม่รู้ เขาจึงจ้องไปที่รองแม่ทัพคนนั้นด้วยสีหน้าจริงจังแล้วกล่าว “อวิ๋นเซวียนนั้นแม้จะไม่สันทัดด้านการสู้รบ แต่ฝีมือของเขานั้นก็เพียงพอที่จะปกป้องตัวเองได้ แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อวิ๋นเซวียนนั้นเป็นหมอที่มีวิชาแพทย์ที่หาตัวจับได้ยากด้วยแล้ว”
หมอ!
ตัวตนที่ขาดไปเสียไม่ได้เลยในกองทัพก็คือหมอนั่นเอง เมื่อได้ยินที่แม่ทัพเยี่ยพูดเช่นนี้แล้ว เหล่ารองแม่ทัพต่างก็พากันมองไปที่หลินซีเหยียนด้วยความเคารพทันที
“ข้าหลุดปากพูดพล่อยๆออกไป ขอให้คุณชายหลินอยากได้ถือโทษโกรธข้าเลยนะ”
หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มแล้วจากนั้นก็ได้พูดอย่างเป็นกันเอง “ไม่เป็นไรๆ ถ้าข้าเป็นท่าน ข้าเองก็คงไม่ยอมให้คนที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้อยู่ในกองทัพเหมือนกัน”
แล้วรองแม่ทัพที่พูดว่าหลินซีเหยียนเมื่อครู่นั้น เมื่อเห็นว่าหลินซีเหยียนนั้นนอกจากจะไม่โกรธแล้วยังพูดอย่างความเข้าใจอีก ทำให้ใบหน้าของเขาแดงขึ้นมาทันทีและรู้สึกอับอายขึ้นมา
รองแม่ทัพคนนั้นก็ได้เกาหัวของเขาแล้วจากนั้นก็ได้ทุบอกของเขา “ดูท่าทีของคุณชายหลินที่เป็นกันเองเช่นนี้แล้ว ถึงข้าจะเป็นคนหยาบกร้านแต่ข้าจะต้องปกป้องท่านอย่างแน่นอน”
หลินซีเหยียนก็อารมณ์ดีขึ้นมาเมื่อนางเห็นว่าอีกฝ่ายที่ทั้งตัวสูงและน่าเกรงขามแล้ว ด้วยใบหน้าที่จริงจังของพวกเขากลับทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมา ถึงแม้ว่าทหารเหล่านี้จะพูดจาห้วนๆไปบ้างแต่ก็หาได้มีการบิดเบือนในสิ่งที่พวกเขาพูดแต่อย่างใด ผิดกับพวกคนในเมืองหลวงที่มีแต่พวกเจ้าเล่ห์เพทุบาย มารยาร้อยเล่มเกวียน
หลินซีเหยียนก็ได้ไม่ได้ปฏิเสธการปกป้องจากผู้อื่น และได้ตอบตกลงไป “ถ้าเช่นนั้นก็ขอขอบคุณท่านรองแม่ทัพด้วย”
“ท่านรองแม่ทัพอะไรกัน? ข้ามีชื่อว่าหลี่ซานมู่แต่ทุกๆคนเรียกข้าว่าเสี่ยวซาน ดังนั้นท่านจะเรียกข้าว่าเสี่ยวซานก็ได้”
เสี่ยวซาน(มือที่สาม=เมียน้อย)? หลินซีเหยียนก็ได้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ นางมองไปที่ชายร่างใหญ่กำยำล่ำสันตรงหน้านางแล้ว นางหาจุดเชื่อมต่อของสองอย่างนี้ไม่เจอเลยสักนิด แล้วนางก็ได้พยายามอดกลั้นหัวเราะอย่างหนัก
หลินซีเหยียนก็ได้ตอบกลับไป “ข้าจะเรียกท่านว่าพี่หลี่ก็แล้วกัน ส่วนท่านก็เรียกข้าแค่อวิ๋นเซวียนก็พอ”
แล้วทั้งสองคนก็ได้สนิทกันขึ้นมาในทันที เมื่อนึกถึงความเจ็บปวดที่เขาได้รับกว่าจะสนิทกับคนพวกนี้ได้เมื่อก่อนแล้ว หัวใจของเยี่ยจุนเจี๋ยก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา แล้วเขาก็ได้มองไปที่หลินอวิ๋นเซียนแล้วกล่าว “นิสัยของอวิ๋นเซวียนเช่นนี้ช่างน่าอิจฉาจริงๆ กว่าพี่เยี่ยจะสนิทกับพวกเขาได้นั้นก็ต้องผ่านเป็นผ่านตายมาไม่รู้กี่หนแล้ว”
เมื่อเห็นเขาที่มีท่าทีอิจฉาเช่นนี้ หลินซีเหยียนก็ได้ขมวดคิ้วของนางแล้วยิ้มขึ้นมา
แต่น่าเสียดายที่บรรยากาศชื่นมื่นนี้ก็ได้หายไปในยามบ่าย เพราะว่าแม่ทัพเฉิงได้มากถึงแล้ว การมาถึงของเขานั้นเอิกเกริกมาก เขานั้นมาพร้อมกับผู้ตรวจการกองทัพที่ถูกส่งมาโดยฮ่องเต้เพื่อที่มอบราชโองการจากฮ่องเต้ด้วย
“ฝ่าบาทมีรับสั่งว่า: ข้าคิดว่าแม่ทัพเยี่ยคนเดียวคงไม่อาจยึดอำเภอจ้าวกลับคืนได้ในเร็ววัน ข้าจึงได้ส่งแม่ทัพเฉิงให้มาช่วยเหลือ และอย่าได้ทำให้ข้าผิดหวังอีก”
หลังจากที่อ่านราชโองการเสร็จ เขาก็ได้มอบม้วนราชโองการสีเหลืองทองให้กับมือของเยี่ยจุนเจี๋ย เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้รับมอบแล้วจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
“เป็นเพราะจุนเจี๋ยด้อยความสามารถ จึงต้องลำบากแม่ทัพเฉิง ข้าหวังว่าแม่ทัพเฉิงจะไม่กล่าวโทษข้า” สีหน้าของ เยี่ยจุนเจี๋ยนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขานั้นยืนอยู่ตรงหน้าของแม่ทัพเฉิง แต่ทว่าความน่าเกรงขามในฐานะแม่ทัพของเขานั้นไม่ได้หายลงไปเลย
แม่ทัพเฉิงที่มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มจอมปลอมที่เขาฝึกอยู่ในเมืองหลวงมาตลอดหลายปีนั้นก็ได้กล่าว “แม่ทัพเยี่ย วีรบุรุษหนุ่มอย่าได้พูดถ่อมตัวไปเลย”
ในขณะที่ทั้งสองแม่ทัพกำลังข่มกันเองอยู่นั้น ลูกน้องของพวกเขาเองต่างก็พากันข่มอีกฝ่ายด้วย
“ไม่ทราบว่าแม่ทัพเยี่ยพอที่จะบอกสถานการณ์ปัจจุบันให้ข้าทราบโดยละเอียดได้หรือไม่?”
“ได้แน่นอน ท่านแม่ทัพเฉิงเชิญเข้ามา แล้วข้าจะบอกท่านโดยละเอียดเอง” เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าและความรับผิดชอบในฐานะเจ้าบ้านเป็นอย่างดี
เมื่อทั้งสองคนเข้ามาในกระโจม ก็ได้มีปัญหาเกิดขึ้นมานิดหน่อย เพราะว่าฮ่องเต้เจียงนั้นได้ส่งแม่ทัพเฉิงมาที่นี่เพราะคิดว่าเยี่ยจุนเจี๋ยนั้นหายไป แต่ในเวลานี้คนที่ควรจะหายไปดันกลับมาเสียได้ ดังนั้นตอนนี้จึงมีแม่ทัพสองคนอยู่ที่นี่
แล้วใครที่จะเป็นผู้บัญชาการสูงสุด?
หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาลงแล้วมองไปที่ทั้งสองคนที่ยังแอบข่มกันอยู่นั้น นางจึงได้พูดขึ้นมา “ท่านแม่ทัพเฉิงเดินทางมาตั้งไกล ทำไมท่านแม่ทัพเยี่ยไม่เชิญเขานั่งลงก่อนล่ะ?”
“จริงด้วยสิ” ด้วยการเตรียมการไว้แล้ว เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้เชิญแม่ทัพเฉิงนั่งลงในฐานะแขกอย่างไม่ติดขัดอะไร
แต่คนที่แม่ทัพเฉิงพามานั้นก็ได้ขัดขึ้นมา เขาจะปล่อยให้แม่ทัพของเขานั้นต้องมาพ่ายแพ้เช่นนี้ได้อย่างไร?
“แม่ทัพเยี่ย ท่านแม่ทัพเฉิงมาที่นี่เพื่อมาแทนที่เจ้า ไม่ใช่ว่าเจ้าควรที่จะมอบตำแหน่งของเจ้าให้กับท่านแม่ทัพเฉิงหรอกเหรอ?” คำพูดที่หยาบคายนี้เต็มไปด้วยความไม่พอใจและความดูถูก
“งั้นเหรอ? แต่ราชโองการของฮ่องเต้มีรับสั่งว่าให้แม่ทัพเฉิงมาช่วยข้าเฉยๆนะ”
เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้กล่าวอย่างไม่พอใจ แต่แสดงออกบนสีหน้าของเขาเพียงแค่นาทีเดียวเท่านั้น ตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากและเขาไม่อาจที่จะยอมปล่อยให้ได้ แล้วเขาก็ได้จ้องไปที่ดวงตาของฝ่ายตรงข้ามโดยไม่มีหลีกหนี “ไม่ทราบว่าแม่ทัพเยี่ยคนนี้เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?”
แล้วสายตาของทั้งคู่ก็ได้ประสานกัน จนแทบจะมีประกายไฟแลบออกมาได้จางๆ
“ไม่เป็นไร ท่านแม่ทัพเยี่ยเองก็น่าจะคุ้นเคยพื้นที่ของที่นี่มากกว่าแม่ทัพเฉิงคนนี้”
หลังจากที่อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันอยู่นาน แม่ทัพเฉิงก็ได้ยอมแพ้ต่อศึก แล้วด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนก็ได้โบกมือให้ทุกคนนั่งประจำที่ของตัวเองในเต็นท์ใบใหญ่หลังนั้น
“เหล่าคนที่ยึดอำเภอจ้าวเอาไว้นั้น ในเวลานี้ได้ถูกต้อนให้ไปรวมกันอยู่ในภูเขาอูอวิ๋นแล้ว แต่ภูเขาอูอวิ๋นนั้นอันตรายมาก ง่ายต่อการป้องกันแต่ยากที่จะโจมตีฝ่าเข้าไป ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าในคราวนี้พวกเราจะกำจัดพวกเขาอย่างไรดี?”
เยี่ยจุนเจี๋ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและเย็นยะเยือก เขาได้อธิบายถึงสถานการณ์ในปัจจุบันโดยไม่ปิดบังหรือซ่อนเร้นอะไร “และเพราะการปะทะกันก่อนหน้านี้ ทั้งคนและม้าของอีกฝ่ายก็ได้รับความสูญเสียอย่างหนัก จำนวนจึงน่าจะสูญเสียไปไม่ร้อยกว่าครึ่งหนึ่งของตอนแรกแล้ว”
“ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องยากอะไรนี่ คนของพวกเราก็มีตั้งมากมายก็บุกเข้าไปตรงๆเลยสิ” คนที่ยืนก่อนหน้านี้ก็เหมือนจะยังไม่ยอมนั่งและไม่คิดจะนั่งด้วยก็ได้เสนอความคิดเห็นออกมา
แต่ทว่าแผนการที่เขาพูดออกมานั้นไม่ใช่แผนการที่ดีเท่าไร เยี่ยจุนเจี๋ยจึงได้ปฏิเสธไป แต่อีกฝ่ายเองก็ไม่พูดออกมาอย่างไม่ยอมรับ “แม่ทัพเยี่ย ที่เจ้าปฏิเสธแผนการของข้าเช่นนี้เพราะว่าข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านแม่ทัพเฉิงงั้นเหรอ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่” หลังจากที่อีกฝ่ายได้เสนอความคิดเห็นที่สุดโต่งและไม่เหมาะสมออกมา เยี่ยจุนเจี๋ยที่มีการศึกษาที่ดีกว่าก็ยังอดไม่ได้ที่คอจะแดงขึ้นมา
หลินซีเหยียนเองก็ยังทนไม่ได้กับคำพูดของอีกฝ่าย นางจึงได้พูดออกไปอย่างเย็นยะเยือก “หุบปาก”
เสียงของนางนั้นได้ดึงดูดสายตาของทุกคน แม้แต่ เยี่ยจุนเจี๋ยเองก็ยังตกใจ เพราะในสายตาของเขานั้น หลินอวิ๋นเซวียนจะปกติใจเย็นอยู่ตลอด และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหลินอวิ๋นเซวียนโมโหเช่นนี้
และโกรธอย่างรุนแรงมากด้วย จนแผ่บรรยากาศที่รุนแรงออกมา ทำให้เจ้าคนโง่เมื่อสักครู่นั้นถึงกับหุบปากตัวเองสนิททันที
หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่คนคนนั้นอย่างเย็นยะเยือกแล้วกล่าว “ท่านแม่ทัพเยี่ยน่ะต่างจากเจ้านัก เขานั้นมีสมองแต่เจ้านั้นไม่ นั่นคือเหตุผลที่เขาถึงได้ว่าแผนจากสถานการณ์โดยรวม แต่เจ้านั้นไม่เลย
ภูมิประเทศของภูเขาอูอวิ๋นนั้นอันตรายมาก ถ้าหากพวกเราบุกขึ้นไปภูเขาลูกนั้นตรงๆแล้วโดนอีกฝ่ายซุ่มโจมตีขึ้นมา เจ้าจะทำอย่างไร?”