หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 174 ช่วยไม่ได้
บทที่ 174
ช่วยไม่ได้
ชิงอวี่ที่เห็นนายน้อยของนางร้องไห้ก็รู้สึกคล้อยตามขึ้นมา ทำให้นางจ้องมองไปที่ฮูหยินอวี้ด้วยสายตาที่น่ากลัว และในใจของนางก็ได้มีความคิดที่ไม่ดีขึ้นมา
หรือว่านางควรจะฆ่าฮูหยินอวี้ทิ้งเพื่อล้างแค้นให้พระชายากับนายน้อยดีนะ?
เมื่อรับรู้ได้ถึงดวงตาที่ไม่ปรานีของอีกฝ่ายแล้ว ฮูหยินอวี้ก็ได้ถอยหลังออกมา “เจ้ากล้าที่จะคิดร้ายต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทงั้นเหรอ?”
ในขณะนี้ผู้คนที่อยู่ในจวนมหาเสนาบดีนั้นต่างก็เข้ามาร่วมมุงดูเหตุการณ์นี้
“ข้าเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ว่าหญิงสาวที่งดงามราวกับนางฟ้าและมีความสามารถเหนือกว่าพานอัน จะมาเสียชีวิตง่ายๆเพราะการคลอดลูกคนเดียวได้อย่างไร? ดูเหมือนว่านางคนนั้นจะถูกฆ่าโดยฮูหยินอวี้อย่างนั้นสินะ”
มีการพูดถึงแม่ของหลินซีเหยียนขึ้นมา ผู้คนจึงได้พากันหันไปมองตัวตนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาที่ยืนตัวยืดหลังตรงและท่าทีของเขาที่แสดงถึงความคล่องแคล่ว
แม่ของหลินซีเหยียนนั้นเป็นหญิงสาวที่อยู่ในใจของเหล่าชายในเมืองหลวง แต่น่าเสียที่นางได้หายไปจากสายตาของผู้คนหลังจากที่แต่งงาน แล้วก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรของนางอีกเลย
“มหาเสนาบดีหลิน คุณหนูสองเป็นลูกสาวในสมรสของท่าน เป็นลูกสาวของฮูหยินเยี่ยและยังเป็นหลานสาวของท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋ออีก ท่านทำโหดร้ายเช่นนี้กับนางได้อย่างไร?”
ในสมัยยังหนุ่มยังแน่น สวี่ซื่อหลางนั้นเคยหลงรัก ฮูหยินเยี่ยมาก่อน เวลานี้เขาจึงได้จ้องมองไปที่มหาเสนาบดีหลินด้วยความโกรธแค้นและเสียใจ
ต่อหน้าของทุกคน กลับมีชายที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรมาซักไซ้ถามเขาเรื่องภรรยาของเขาเช่นนี้ เมื่อคิดเช่นนี้แล้วเขาก็รู้สึกอับอายและโมโหขึ้นมา มหาเสนาบดีหลินจึงได้จ้องไปที่ฝ่ายตรงข้ามแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สวี่ซื่อหลาง นี่เป็นเรื่องของในตระกูลหลิน มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า ทำไมเจ้าถึงต้องมายุ่งด้วย?”
“ข้าเคยชอบฮูหยินเยี่ยมาก่อน เพื่อนางแล้วข้ายินดีที่จะไม่แต่งงานกับใครเลยตลอดชีวิตของข้า เจ้าจะให้ข้าจัดการกับความโมโหนี้อย่างไร?”
แล้วดวงตาของสวี่ซื่อหลางก็ได้กลายเป็นสีแดงยามเมื่อเขานึกถึงรอยยิ้มของหญิงสาวคนนั้นที่สามารถตราตรึงหัวใจของเขาเอาไว้
เทียนเอ๋อรู้สึกสับสนแล้วมองไปที่ชายหนุ่มที่ซักไซ้ถามจิ้งจอกเฒ่ามหาเสนาบดีหลิน ดวงตาของเขาก็ได้หรี่ลงมาแล้วเดินไปหาเขา จากนั้นก็ได้ต้นขาของชายคนนั้นราวกับสนิทสนม “ท่านลุง ทั้งหมดเป็นความผิดของจิ้งจอกเฒ่านั่น อย่ามัวแต่พูดพร่ำทำเพลงกับเขาเลย มาช่วยกันรุมอัดเขาด้วยกันดีกว่า”
สวี่ซื่อหลางก็ได้ก้มหน้าลงไปมองเทียนเอ๋อที่น่ารักแล้ว แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเด็กน้อยคนนี้คือหลานชายของฮูหยินเยี่ย แล้วสายตาที่หนาวเย็นของเขาก็ได้อ่อนโยนลงมา
“เจ้าตัวน้อย ถ้าหากว่าอาศัยอยู่ที่นี่แล้วอึดอัดใจแล้วล่ะก็ เจ้าอยากที่จะมาที่บ้านของข้าไหม?”
เขาก้มตัวลงไปแล้วอุ้มเทียนเอ๋อไว้ในอ้อมแขนของเขา ดวงตาของสวี่ซื่อหลางแสดงถึงความรักที่มีต่อเขา โดยที่ไม่ได้รังเกียจที่เขานั้นเป็นลูกของหลินซีเหยียนที่ท้องโดยไม่ได้แต่งงาน
เขากล้าพูดได้เลยว่าเพียงความใจกว้างเพียงอย่างเดียวก็เหนือกว่ามหาเสนาบดีหลินหลายเท่านัก
หลินรั่วจิ่งที่เดิมทีเป็นตัวเอกของงานในวันนี้แต่กลับถูกผู้คนเมินเฉย นางมองดูสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจหนักข้อมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว นางจึงทำได้แค่พูดออกไปเสียงดัง “ทุกท่าน พิธีปักปิ่นจบลงแล้ว ในเวลานี้ข้าขอให้ทุกท่านกลับกันไปก่อน และอย่างที่ว่ากันเอาไว้ ทุกบ้านล้วนมีปัญหาของตัวเองทั้งนั้น ได้โปรดขออภัยด้วยเจ้าคะ”
“ถ้าเช่นนั้น ทุกคนก็แยกย้ายกันได้!”
ฮ่องเต้เจียงก็ได้หรี่สายตาลงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ทันทีที่ฮ่องเต้กล่าวเหล่าขุนนางก็ได้พากันออกไปอย่างช้าๆ
สวี่ซื่อหลางก็ได้จากไปพร้อมกับเทียนเอ๋อในอ้อมแขนของเขาต่อหน้าทุกคน
ฮ่องเต้และฮองเฮาเองก็ได้ลุกขึ้นยืนและเตรียมที่จะกลับ แต่ในขณะที่พวกเขาเดินผ่านหลินรั่วจิ่งฮองเฮาก็ได้หยุดเดิน จากนั้นก็ได้มองไปที่หลินรั่วจิ่งอย่างอ่อนโยน นางจับมือของ หลินรั่วจิ่งแล้วและลูบอย่างนุ่มนวล “ข้าอยากที่จะสนิทกับเจ้านะคุณหนูห้า เอาไว้ถ้าเจ้ามีเวลาเจ้าก็เข้ามาหาข้าที่พระราชวังหลวงบ้างนะ”
หลินรั่วจิ่งก็ได้ถวายบังคมให้ฮองเฮาอย่างสง่างามแล้วกล่าว “ขอขอบพระทัยฮองเฮามากเพคะ หม่อมฉันจะไปเยี่ยมพระองค์บ่อยๆแน่นอนเพคะ”
หลังจากที่ส่งแขกทุกคนกลับไป ประตูจวนมหาเสนาบดีก็ได้ปิดลงทันที
โดยไร้ซึ่งการนิ่งเฉย หลินรั่วจิ่งก็ไม่ได้ฝืนตัวเองอีกต่อไป แล้วนางก็ได้คิ้วขมวดด้วยสีหน้าที่อ่อนแรงของนาง “ท่านพ่อท่านแม่ วันนี้เป็นวันสำคัญมากของข้าแท้ๆ แต่ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่รองถึงต้องทำกับข้าเช่นนี้ด้วย”
เมื่อพูดถึงหลินซีเหยียน มหาเสนาบดีหลินก็โมโหขึ้นมา เขามองไปยังข้ารับใช้ที่กำลังสั่นกลัวและตะโกน “พวกเจ้าออกไปพาตัวนังลูกไม่รักดีมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
ทันทีที่พวกเขาได้ยินเช่นนี้ พวกเขาต่างก็พากันไปที่เรือนเชียนเหยียนทันที เพราะพวกเขานั้นไม่อยากที่จะอยู่ที่นั่นต่อเพื่อเผชิญกับบรรยากาศที่หนักอึ้งนี้
แน่นอนว่าพวกเขานั้นต่างก็หาหลินซีเหยียนในเรือน เชียนเหยียนไม่พบ และไม่มีใครที่กล้าไปทำร้ายคนในเรือน เชียนเหยียนด้วย อย่างไรเสียที่นั่นก็ยังมีองค์ชายของรัฐจงที่พักรักษาตัวอยู่ที่นั่นด้วย
ส่วนหลินซีเหยียนที่ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้างนั้น ในที่สุดนางก็เดินทางมาถึงครึ่งทางโดยที่ไม่ได้หลับได้นอน นางหวังว่าจะไปถึงที่รัฐจงก่อนค่ำวันพรุ่งนี้
ไม่นานนักค่ำคืนก็ได้มาเยือนพร้อมด้วยสายลมเย็นที่พาดผ่านมา และรับรู้ได้ถึงความชื้นในอากาศหลินซีเหยียนจึงได้แต่ภาวนาในใจของนาง “สวรรค์ข้าทำผิดไปแล้ว! ตอนนี้ข้ากำลังไปหาเขาอยู่ ขอให้ท่านได้โปรดอย่าทำให้ข้าต้องล่าช้าเลย”
ภายใต้การภาวนาอย่างจริงใจของนาง แต่สวรรค์นั้นกลับไม่เห็นใจ ทันทีที่นางพูดจบฝนก็ได้เริ่มตกลงมาเบาๆแล้วค่อยๆหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้ทำให้หลินซีเหยียนต้องแวะหยุดพัก นางลงจากม้าแล้วหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เสื้อผ้าของนางนั้นเปียกไปหมด ไม่นานนักนางก็รู้สึกได้ถึงสายลมที่หนาวเหน็บ
ในฐานะที่เป็นหมอสิ่งที่นางขาดไม่ได้ก็คือยา นางจึงได้ทำการกลืนยาบางอย่างลงไปทันทีแล้วจากนั้นก็เฝ้ารอให้ฝนหยุดตก
ณ โรงเตี๊ยมอันฝูในรัฐจง เจียงหวายเย่ก็ไม่ได้เปลี่ยนความคิดของเขาแม้ว่าฝนจะตกหนักอย่างกะทันหันในเมืองหลวงยามค่ำคืน
ในขณะที่เจียงหวายเย่กำลังอ่านข้อมูลอย่างตั้งใจในห้องนั้น อันอี้ก็ได้เข้ามาพร้อมด้วยยาต้มสีดำสนิท ซึ่งรสชาติของยาต้มนี้ขมอย่างมาก เพียงแค่ได้กลิ่นก็รู้สึกได้ถึงความขมที่รุนแรงแล้ว
“องค์ชาย ถึงเวลาทานยาแล้วขอรับ”
เมื่อได้ยินเสียง เจียงหวายเย่ก็ได้เงยหน้าขึ้นมาแล้วยกชามยานั้นขึ้นดื่มในรวดเดียว ในช่วงเวลานั้นเขาไม่ได้คิ้วขมวดเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าสูญเสียการรับรสไปแล้ว
มองไปที่องค์ชายที่ผอมบางลงในวันนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกสำหรับอันอี้ที่ต่อว่าพระชายาในใจของเขา
เจียงหวายเย่นั้นไม่รู้ว่าลูกน้องของเขานั้นกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงได้วางชามยาลงแล้วถามด้วยเสียงที่นุ่มลึก “พร้อมที่จะไปสอดแนมพระราชวังหลวงยามค่ำคืนแล้วหรือยัง?”
อันอี้ก็ได้ผงกหัวแล้วกล่าว “ทุกอย่างเตรียมการเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“ดี งั้นก็ได้กันเถอะ!”
เจียงหวายเย่ก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเปลี่ยนเป็นชุดกลางคืนแล้วปิดบังใบหน้าของเขาด้วยผ้าที่เตรียมเอาไว้ แล้วตัวตนของพวกเขาก็ได้พลางไปกลับท้องฟ้ายามค่ำคืน
เจียงหวายเย่กับพรรคพวกก็ได้ลอดเร้นจากสายตาของทหารรักษาการณ์พระราชวังหลวงของรัฐจงแล้วได้ลอบเข้ามาในห้องนอนของฮ่องเต้จง ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ฮ่องเต้จง แต่ยังมีอีกห้าคนอยู่ในห้องนั้นด้วย
ประกอบด้วยองค์ชายสองของรัฐจง, ฮองเฮา, หมอหลวงซุนเซิ่ง และขุนนางที่สำคัญในพระราชสำนักอีกสองคน
“เจ้าพูดอะไรออกมาน่ะ? ท่านพ่อของข้ายังหนุ่มยังแน่น ทำไมถึงบอกว่าอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว?”
องค์ชายสองก็ได้มองดูอย่างตื่นเต้นแล้วจับคอเสื้อของหมอหลวงซุนเอาไว้ด้วยสีหน้าที่น่ากลัว “ข้าสั่งให้เจ้ารักษาท่านพ่อของข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย”
หมอหลวงก็ได้ลงไปคุกเข่าลงกับพื้นแล้วกล่าว “ทั้งหม่อมฉันและสมาคมหมอหลวงต่างก็ทำดีที่สุดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“องค์ชาย อย่างได้ทำตัวไร้เหตุผล”
ดวงตาของฮองเฮาแดงฉานแสดงให้เห็นว่านางเสียใจมาก “นี่อาจจะเป็นลิขิตจากสวรรค์ ที่รัฐจงสามารถมีจนถึงทุกวันนี้ได้ เป็นเพราะพ่อของเจ้าได้สละชีวิตของเขาเพื่อแลกมันมา ในเวลานี้เจ้าจะต้องคอยช่วยเหลือพี่ของเจ้า”