หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 187 มีดปลอกแขน
บทที่ 187
มีดปลอกแขน
เทียนเอ๋อนั้นยังคงอยู่พูดคุยกับแม่ของเขาสักพักหนึ่งนั้น ก็ได้นึกถึงอาจารย์ของเขาขึ้นได้ แล้วเขาก็ได้ตะโกนแล้ววิ่งไปหาเจียงหวายเย่ เจียงหวายเย่ก็ได้ก้มลงมาแล้วอุ้มเทียนเอ๋อด้วยแขนที่อุ้มหลินซีเหยียนก่อนหน้านี้
หลินซีเหยียนก็ได้รู้สึกแปลกๆเมื่อเห็นเช่นนั้น แต่ผ่านไปสักพักนางก็ยังหาสาเหตุไม่พบ นางจึงได้ปลอบตัวเองว่า สงสัยจะคิดมากเกินไป
“แล้วในหลายวันมานี้ เทียนเอ๋อได้ทำอะไรบ้างล่ะ?” เจียงหวายเย่นั้นรักเทียนเอ๋อจากก้นบึ้งหัวใจของเขา คำพูดและท่าทีของเขานั้นจึงแสดงถึงความใจดีออกมา
เทียนเอ๋อก็ได้กะพริบตาและไม่ตอบคำถามของอาจารย์ กลับกันเขาได้ตบไหล่ของเจียงหวายเย่แล้วกล่าว “ท่านอาจารย์วางข้าลงก่อน ข้ามีอะไรจะมอบให้ท่านกับท่านแม่เป็นของขวัญ”
เจียงหวายเย่ก็ได้ปล่อยเขาลง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่ดวงตาของเขานั้นปรากฏซึ่งความคาดหวังออกมา
เทียนเอ๋อที่พอลงมาที่พื้นได้ ก็ได้รีบวิ่งไปที่มุมหนึ่งด้วยความยินดีแล้วก็เริ่มรื้อค้นหากล่องแต่ละกล่อง แล้วก็พบกล่องไม้ใบหนึ่งตรงหน้าเขา
ไม่นานนักหลินซีเหยียนกับเจียงหวายเย่ก็ได้ยินเสียงของเทียนเอ๋อดังขึ้นมา “เจอแล้ว ท่านแม่, ท่านอาจารย์ พวกท่านจะต้องตกใจเมื่อได้เห็นมันแน่”
เจียงหวายเย่กับหลินซีเหยียนก็ได้เดินเข้ามาดู แล้วจากนั้นเจียงหวายเย่ก็ได้หยิบเอากล่องไม้นั้นขึ้นมาดูอย่างช้าๆ ก็พบมีดปลอกแขนที่ดูประณีตมากอยู่ในกล่องใบนั้น
มีดปลอกแขนนี้หากดูผิวเผินจะเหมือนปลอกแขนธรรมดาๆที่ดูประณีตมาก แต่หากดูอย่างตั้งใจแล้วจะพบว่าที่บริเวณสันของปลอกแขนนี้จะดูไม่ประณีตนัก และมีปุ่มเล็กๆที่ทำมาจากก้อนหินสียื่นออกมา ซึ่งเมื่อกดลงไปแล้วจะมีใบมีดที่แหลมคมออกมาจากปลอกแขน
ถึงแม้ว่ากลไกของเจ้าสิ่งนี้จะดูง่ายมากก็ตาม แต่ก็ยังทำให้เจียงหวายเย่นั้นประหลาดใจได้อยู่ดี เขามองไปที่เทียนเอ๋อ อย่างครุ่นคิดแล้วยักคิ้วขึ้นมาแล้วถาม “เจ้าได้ไปอ่านหนังสือในห้องทำงานในพระราชวังรัตติกาลมาใช่ไหม?”
เทียนเอ๋อก็ได้กะพริบตาแล้วกล่าวอย่างภูมิใจ “ท่านอาจารย์กับท่านแม่จะไม่อยู่ ไม่สนใจเทียนเอ๋อ แต่เทียนเอ๋อก็ยังเอาจริงเอาจังกับการอ่านหนังสือแล้วศึกษาด้วยตัวเองนะ”
หลินซีเหยียนที่ได้ยินก็ได้ยิ้มออกมาด้วยดวงตาของนาง นางลูบหัวของเทียนเอ๋อ แน่นอนว่านางนั้นรู้ดีว่าเจ้าเด็กคนนี้อยากที่จะบ่นที่นางไม่ยอมพาเขาไปด้วย แต่นางนั้นแค่ต้องการที่จะให้เทียนเอ๋อนั้นปลอดภัยจริงๆ
จากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้กลิ่นเลือดขึ้นมา นางจึงได้มองไปที่เจียงหวายเย่แล้วถามอย่างสงสัย “องค์ชายบาดเจ็บอย่างนั้นเหรอ?”
เจียงหวายเย่ก็ได้ส่ายหัวของเขาแล้วซ่อนมือขวาของเขาเอาไว้มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าเขาอยากที่จะให้เสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นดูแลเขาก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้อยากที่จะให้นางทำอะไรตามที่เขาต้องการเพียงเพราะแผลเล็กน้อยเท่านั้น
นอกจากนักลอบสังหารที่ดีย่อมจะต้องความรู้สึกไวกับกลิ่นเลือด ก็ยังมีหมอเช่นกัน ซึ่งหลินซีเหยียนนั้นเป็นหมอมานานหลายปีแล้ว และความสามารถด้านการรักษาของนางก็ยังสมบูรณ์แบบอีกด้วย จึงแน่นอนว่าไม่มีทางเลยที่นางจะไม่รู้ว่ามีใครบางคนที่กำลังซ่อนแผลอยู่
เมื่อนึกถึงท่าทีเมื่อสักครู่ของเจียงหวายเย่แล้ว หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดแล้วคว้าเอามือขวาของเจียงหวายเย่ขึ้นมาดูอย่างรวดเร็ว
มองไปที่แขนขวาของเขาที่ถลอกปอกเปิกโดยปราศจากซึ่งการดูแลตรงหน้านางแล้ว นางได้จ้องไปที่เจียงหวายเย่อย่างไม่พอใจมาก แล้วจากนั้นก็ได้หันไปหาเทียนเอ๋อ “เทียนเอ๋อในโรงเตี๊ยมซื่อฟางมีผ้าพันแผลกับน้ำร้อนบ้างไหม?”
เทียนเอ๋อก็ได้รีบผงกหัวเมื่อเขาเห็นว่าอาจารย์ของเขานั้นบาดเจ็บ “ตอนนี้ดึกมากแล้วพวกลูกจ้างน่าจะกลับบ้านกันหมดแล้ว ท่านอาจารย์อดทนก่อนนะ น้าชิงอวี่กับข้าจะไปรีบเตรียมมาให้”
แล้วเจียงหวายเย่กับหลินซีเหยียนก็ได้ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในห้อง เจียงหวายเย่ก็ได้พยายามปั้นสีของเขาให้ไม่เปลี่ยน เพื่อที่เขาจะได้ลดความอายบนใบหน้าของเขาไปได้
หลินซีเหยียนที่เห็นว่าเจียงหวายเย่นั้นชอบทำอะไรเกินกว่าเหตุและทำให้ตัวเองต้องบาดเจ็บอยู่เรื่อยแล้ว นางก็ได้บิดริมฝีปากของนางแล้วกล่าวด้วยใบหน้านิ่งๆ “องค์ชาย ข้าอยากให้ท่านรู้สึกเป็นห่วงร่างกายของท่านบ้าง แต่ท่านก็ไม่เคยเชื่อข้าบ้างเลย เอาแบบนี้พวกเรามาเดิมพันกันดีไหม?”
เจียงหวายเย่ที่พยายามอย่างมาในการทำให้ตัวเองดูเยือกเย็น เพื่อที่จะทำให้ดูไม่เสียภาพพจน์ของเขามากนักต่อหน้าผู้หญิงที่เขารัก “เดิมพันอะไร?”
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ แล้วดวงตาของนางที่แสดงถึงความฉลาดก็ได้กล่าวออกมา “ข้าเดิมพนันให้ท่านไม่ทำตัวเองบาดเจ็บใน 1 ปีนี้”
“มีการวางเดิมพันด้วยสินะ?”
น้ำเสียงที่เยือกเย็นเช่นเคยดังขึ้นมา แต่หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกได้ถึงความสนใจของเขา
หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่ดวงตาของเขา แล้วรอยโค้งที่ริมฝีปากของนางก็ได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆแล้วกล่าว “แน่นอนว่ามี ถ้าองค์ชายสามารถทำได้ข้าก็จะทำตามคำขอขององค์ชาย และหากองค์ชายทำไม่ได้องค์ชายก็จะต้องทำตามคำขอของข้าแทน ว่ายังไง?”
เมื่อได้ยินที่พูด ดวงตาของเจียงหวายเย่ก็สว่างขึ้นมา ดวงตาที่ปกติจะนิ่งราวกับน้ำในบ่อนั้นก็ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ไม่ว่าอะไรก็ได้สินะ?”
เมื่อเห็นท่าทีของเจียงหวายเย่แล้ว หลินซีเหยียนก็พอจะเดาได้รางๆว่าเขานั้นอยากที่จะขออะไร นางจึงได้ตอบตกลงด้วยใบหน้าที่แดงขึ้นมาเล็กน้อยแล้วกล่าว “ข้านั้นทำตามสัญญาที่ให้ไว้เสมอแหละ ข้าหวังว่าองค์ชายคงจะไม่แพ้แล้วร้องไห้คร่ำครวญนะ”
แล้วทั้งสองคนก็ได้จ้องตากันเอง ซึ่งทั้งคู่ต่างก็เห็นความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะในดวงตาของอีกฝ่าย
“เสี่ยวเหยียนเอ๋ออย่าได้ลำพองใจมากไปนัก อย่างไรเสียการที่จะไม่ได้รับบาดเจ็บในหนึ่งปีนั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆสำหรับเปิ่นหวาง”
หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่เขาแล้วกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ “ข้าไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ ในสายตาของข้าแล้วท่านน่ะมักที่จะเอาตัวเข้าไปหาปัญหาและได้รับอันตรายเสมอ แล้วยังจะมีหน้ามามั่นใจอีกนะว่าตัวเองจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยใน 1 ปีน่ะ!”
เจียงหงายเย่นั้นไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เพียงแค่เขามองไปที่หลินซีเหยียนแล้ว ดวงตาของเขาก็เริ่มจะลุกเป็นไฟขึ้นมา
ในขณะที่ทั้งสองคนได้กลับมาสนิทสนมกันเพราะบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้แล้ว เทียนเอ๋อกับชิงอวี่ก็ได้กลับมาพอดี เทียนเอ๋อก็ได้ส่งผ้าพันแผลให้กับหลินซีเหยียน ส่วนชิงอวี่ก็ได้วางน้ำร้อนไว้บนเก้าอี้
หลินซีเหยียนก็ได้เอาผ้าเช็ดหน้าของนางชุบน้ำร้อนเพื่อทำความสะอาดบาดแผลของเจียงหวายเย่ ด้วยสีหน้าที่ตั้งใจและจริงจัง
เหนือต้นไม้ต้นหนึ่งไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมซื่อฟางนั้น มีคนคนหนึ่งกำลังจ้องมองมา เจียงหวายเย่ที่รู้สึกได้ก็ได้จ้องตอบไปที่บริเวณนั้น แล้วรอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็ได้มีเลศนัยมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากที่ออกมาจากโรงเตี๊ยมซื่อฟาง เงาดำนั้นก็ได้กลับมายังจวนมหาเสนาบดีโดยที่ไม่หยุดพัก และห้องหนึ่งในเรือนเชียนเหยียนนั้น ก็พบว่ามีแสงเทียนสีเหลืองกำลังส่องสว่างอยู่
สีหน้าของจงซู่เฟิงนั้นดูไร้อารมณ์มาก และดูเยือกเย็น เขามองไปที่ชายชุดดำที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา แล้วทั้งตัวและจิตใจของเขาก็ได้ตั้งใจฟังคำพูดของเขา
“แม่นางหลินปรากฏตัวอยู่ที่โรงเตี๊ยมซื่อฟางงั้นเหรอ?” จงซู่ฟางกล่าวด้วยเสียงที่เบามาก ราวกับกลัวว่าจะมีใครรับรู้ถึงอารมณ์ของเขาได้ แต่ก็ยังปรากฏแสงในดวงตาของเขา
ชายที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นก็ได้ผงกหัวแล้วตอบ “แม่นางหลินนั้นปลอดภัยดี แต่มีชายที่สวมหน้ากากซึ่งอ้างว่าเป็นท่านอาจารย์ของลูกชายแม่นางหลินอยู่เคียงข้างนางด้วยขอรับ”
จงซู่เฟิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้หรี่ตาลง เขานั้นยังจำผู้ที่เป็นอาจารย์ของเทียนเอ๋อได้รางๆ ถึงแม้ว่าเขาจะดูรีบร้อนและไม่ค่อยได้เจอกันจึงไม่ได้ทำความรู้จักกันอย่างลึกซึ้ง แต่จงซู่เฟิงก็พอจะรู้ว่าตัวตนของคนคนนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
“หลิงชา เจ้ากลับไปก่อน!”
เมื่อคนที่คุกเข่าอยู่ได้ยิน แต่ก็ยังไม่ได้ถอยออกไปและยังอยู่ที่เดิมและจ้องมองมาที่จงซู่เฟิงด้วยท่าทีที่ลำบากใจมาก
จงซู่เฟิงก็ได้คิ้วขมวด และก่อนที่หลิงชาจะได้พูดอะไรออกไป เขาก็ได้กล่าว “ข้ารู้หน้าที่ของข้าดี แต่แม่นางหลินนั้นดีกับข้ามาก ข้าจึงไม่อาจปล่อยนางไปได้”
แล้วคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นนั้นก็เหมือนจะเข้าใจความมุ่งมั่นของนายท่าน จึงได้ยอมถอยออกไปโดยที่ไม่พูดอะไร แล้วปล่อยให้จงซู่เฟิงได้ทำสมาธิอยู่ตามลำพัง
หลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่ จงซู่เฟิงที่ยังไม่สามารถสงบจิตใจได้ ก็ได้ตั้งมั่นว่าจะไปพบกับอาจารย์ของเทียนเอ๋อสักตั้ง