หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 216 ต่างแดน
บทที่ 216
ต่างแดน
รู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจเต้นของคนที่อยู่ด้านหลัง หลินซีเหยียนก็คิดว่าหรือว่านางจะเดาผิด
หลินซีเหยียนก็ไม่ได้พูดอะไร ส่วนจงซู่เฟิงก็ไม่ได้ปล่อยนาง เขานั้นได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา ทำให้ความเจ็บปวดของเขาเบาบางลงไป
หลังจากสักพักใหญ่ๆ หลินซีเหยียนก็ได้พูดขึ้นมา “ในเมื่อองค์ชายจงไม่ยอมให้ข้าตรวจ ดังนั้นข้าจะกลับก่อนก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินที่พูด จงซู่เฟิงก็ได้ค่อยๆปล่อยมือของเขาอย่างเสียดาย แล้วกล่าวตอบด้วยเสียงอ่อยๆ “ตอนนี้ก็มืดแล้ว แม่นางหลินระวังตัวด้วย”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวแล้วจากไป ถึงแม้ว่าจะไม่พบอะไรที่นี่ แต่นางก็ยังไม่อาจขจัดความสงสัยของนางไปได้
“เอาเถอะ ถ้าเขาโดนพิษของเราเข้าไป ในไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องโผล่หัวมาหาเราแน่”
ในขณะที่นางกลับไปที่เรือนเชียนเหยียน เทียนเอ๋อก็ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะทานอาหารอยู่ ก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียน โดยที่ยังไม่ได้กลืนของที่อยู่ในปากลงไป เขาก็ได้พูดขึ้นมา “เป็นอย่างไรบ้าง ใช่เขาหรือเปล่า?”
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เทียนเอ๋อด้วยสายตารังเกียจ แล้วจากนั้นก็ได้ส่ายหัวของนาง
เทียนเอ๋อก็ได้ถอนหายใจแล้วเคี้ยวตุ้ยๆต่อ ก่อนที่จะเดาะลิ้นด้วยความโมโห
ในค่ำคืนนั้น ดวงจันทร์ลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้านั้นสีมืดทึบมาก และล้อมรอบไปด้วยดวงดาวที่สว่างไสวมากมาย ราวกับจะสว่างทดแทนกัน
ณ กุ้ยโจว อันอี้ที่คอยคุ้มกันอยู่ด้านหน้าและมีเชียนอี้คอยคุ้มกันอยู่ด้านหลังของเจียงหวายเย่ ก็ได้ช่วยกันต้านทานลูกศรที่ลอยเข้ามาอย่างไม่รู้จบและไร้ปรานี
“องค์ชาย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
ลูกศรดอกหนึ่งได้พุ่งผ่านช่องว่างการป้องกันไปได้ แล้วเฉียดถากๆคอของเจียงหวายเย่ไป หลงเหลือเอาไว้แต่รอยเลือด
เจียงหวายเย่นั้นไม่ได้ใส่ใจเท่าไร เพราะผู้ที่เกือบตายภายใต้ห่าลูกศรนี้ไม่ใช่เขา
ตั้งแต่ก็โจมตีของอวี่ชาในตอนกลางวันนั้น ปัญหาก็ได้ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำไหลเข้ากระแทกเขื่อน ถึงแม้ว่าเขาอยากจะเค้นถามใครสักคน แต่พวกเขาก็ได้ตายกันหมดแล้ว
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ข้อมูลอะไรมากนัก แต่พวกทหารเดนตายเหล่านี้ก็เป็นหลักฐานที่สำคัญอย่างมากสำหรับเขา
ซึ่งผู้ที่สามารถส่งทหารเดนตายได้นั้นก็มีเพียงแค่เชื้อพระวงศ์จากทั้งสามรัฐเท่านั้น ซึ่งฮ่องเต้เจียงนั้นน่าจะยังไม่รู้เรื่องอะไรและคิดว่าชีวิตของเขาน่าจะไม่ยืนอยู่แล้ว และไม่น่าจะรู้ด้วยว่าเขานั้นต้องการดอกบัวทองคำ
ดังนั้นตัดออกไปได้เลย และคิดว่าน่าจะเป็นฝ่ายอื่นมากกว่าที่ใช้แผนเช่นนี้หลอกให้เขามาที่นี่
ส่วนรัฐจงนั้นก็ไม่น่าจะมีเวลามาทำอะไรเช่นนี้เพราะปัญหาเรื่องชิ่งราชบัลลังก์ ยิ่งไปกว่านั้นอาการป่วยหนักของฮ่องเต้จงก็เพิ่งจะหายดี ดังนั้นแผนการของพวกเขาน่าจะมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูมากกว่า จึงไม่น่าใช่พวกเขาที่จะมาเพ่งเล็งเขาในเวลานี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเหลือเพียงแค่รัฐเดียว
แต่น่าเสียดายที่ในเวลานี้ตัวเขากำลังติดอยู่ในถ้ำที่ไม่รู้จัก ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะส่งหน่วยพันกลออกไปค้นหาข่าวแล้ว
“องค์ชายขอรับ ถ้ำนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก”
อันอี้ได้มองดูร่องรอยที่เขาทำไว้ที่กำแพงเมื่อไม่นานมานี้ แล้วก็มีแววตาฉุนเฉียวขึ้นมาในดวงตาของเขา
ถ้ำแห่งนี้ไม่เพียงแต่จะมีหมอกควันหนาแล้ว ยังมีทางแยกมากมายอีกด้วย แค่นั้นยังไม่พอดูเหมือนว่าจะยังมีร่องรอยของอาคมในถ้ำแห่งนี้อีกต่างหาก ไม่ว่าจะเขาหรือเชียนอี้ต่างก็พอจะเรียนเรื่องของอาคมมาบ้าง
แต่ทำไมถึงได้มีอาคมในถ้ำแห่งนี้ได้?
เจียงหวายเย่ที่รับรู้ได้ถึงอารมณ์รุนแรงที่แผ่มาจากตัวของอันอี้มากขึ้นเรื่อยๆแล้ว จึงได้ตบไปที่ไหล่ของเขาแล้วพูดเตือนอย่างเยือกเย็น “อันอี้ ตั้งสติ”
อันอี้ที่ขาดสติไปก็ได้ชะงักขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อสักครู่ดูเหมือนเขาจะขาดสติไปเสียแล้ว
เจียงหวายเย่ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน เขามองดูรอบๆ ซึ่งนอกจากกำแพงหินหน้าตาคล้ายๆกันไปหมดแล้ว ก็ยังมีรูโพรงที่ยากจะมองเห็นจำนวนนับไม่ถ้วนด้วย
รูโพรงเหล่านี้จะต้องเป็นที่ที่ใช้ยิงลูกศรที่ใช้ซุ่มโจมตีเมื่อสักครู่แน่ๆ
เจียงหวายเย่ได้พยายามใจเย็นลง ในเวลานี้ก็ผ่านมาสามวันแล้วที่เขาสูญเสียกำลังภายในไป ขอเพียงแค่เขารอจนกระทั่งพรุ่งนี้เมื่อไร เขาก็จะไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายตั้งรับอีกต่อไปแล้ว
แต่ทว่าที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือเขาจะออกไปจากที่นี่ยังไง ซึ่งเป็นไปได้ว่าพวกคนที่ล่อให้เขาเข้ามาในนี้ก็น่าจะรู้เรื่องของพลังของที่นี่ดี พวกเขาจึงต้องการที่จะขังเขาเอาไว้ที่นี่
ในขณะที่เจียงหวายเย่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นหวานๆมันๆลอยแตะเข้าจมูกของเขาหลังจากที่พวกเขาได้เข้ามาด้านในถ้ำ
“กลั้นหายใจเอาไว้” แล้วเจียงหวายเย่ก็ได้หยิบเอายาแก้พิษที่เสี่ยวเหยียนเอ๋อให้ไว้ออกมา แล้วมอบให้กับเชียนอี้และอันอี้คนละเม็ด แล้วทำท่าทางให้พวกเขาทานลงไป
หลังจากที่ยาเริ่มออกผลแล้ว การมองเห็นก็กลับมาดีขึ้น และหมอกเมื่อสักครู่ก็หายไปด้วย ทำให้ถ้ำแห่งนี้แสดงภาพลักษณ์ที่แท้จริงออกมา
ถ้ำแห่งนี้จริงๆแล้วมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็มีกระดูกกองอยู่มากมายข้างใน รวมถึงศพที่เพิ่งตายใหม่ๆด้วย
“ศพพวกนี้น่าจะเป็นคนที่โจมตีพวกเราเมื่อสักครู่”
อันอี้เดินมาข้างหน้าแล้วสำรวจศพดูอย่างตั้งใจ แล้วจากนั้นก็ได้ส่ายหัว “ไม่พบเงื่อนงำอะไรเพิ่มเติม”
เจียงหวายเย่ก็ได้เดินไปส่วนที่เป็นชั้นยกสูงในถ้ำแห่งนั้นและพบศพอยู่ศพหนึ่ง ที่หน้าอกของศพนั้นมีหนังสือปกสีฟ้าที่ดึงดูดความสนใจของเขาอยู่
เจียงหวายเย่จึงได้เอื้อมมือเข้าไปด้วยความอยากรู้ว่าหนังสือเล่มนั้นคืออะไร
ทันทีที่เขาจับหนังสือเล่มนั้น ก็ได้มีด้ายแดงบางๆเข้าไปในข้อมือของเจียงหวายเย่
ความเจ็บไปถึงกระดูกก็ได้ออกมาจากข้อมือของเขา เจียงหวายเย่ก็ได้กัดฟันฝืนโดยไม่พูดอะไรออกมา แต่ก็ยังมีชั้นเหงื่อปรากฏขึ้นมาที่หน้าผากของเขา
“องค์ชาย”
เสียงร้องของทั้งสองคนทำให้เจียงหวายเย่ที่เสียสมาธิได้สติกลับมา แล้วเขาก็รู้สึกว่าอาการเจ็บที่ข้อมือของเขาได้ค่อยๆจางลงไป แล้วเขาก็ได้กล่าวพึมพำเบาๆ “ไม่เป็นอะไร ไม่ใช่อาการเจ็บจนถึงแก่ชีวิต”
เมื่ออาการเจ็บนั้นได้หายไปจนหมด เจียงหวายเย่ก็ได้รู้สึกสนใจแล้วมองไปที่หนังสือในมือของเขาอย่างช้าๆ
ที่ปกของหนังสือเล่มนั้นมีตัวหนังสือเขียนเอาไว้ว่า: เคล็ดวิชาแมลงวิปลาส
หลังจากที่อ่านคร่าวๆแล้ว เจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขานั้นถูกพิษหนอนแมลงด้ายแดงเล่นงานเข้าเสียแล้ว ซึ่งจะออกอาการทุกๆเจ็ดวัน
หลังจากที่มีอาการเจ้าด้ายแดงนี้ก็จะค่อยๆขยับ เมื่อใดที่มันขยับไปจนถึงหัวใจ หัวใจก็จะถูกกัดกินโดยหนอนพิษนี้และตาย
ช่างน่ากลัวจริงๆ
เจียงหวายเย่ก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วมองไปที่ศพนั้นแล้วกล่าว “ตาแก่พิษของเจ้านี่ฆ่าเราได้เลยนะ ถึงแม้ว่าเราจะทำลายกำยานอาคมของเจ้ามาได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเรียนวิชารักษามา และเราก็ไม่ใช่อัจฉริยะด้านการรักษาด้วย”
ดูเหมือนว่าชายชราที่ตายนี้จะกลัวว่าผู้ที่ได้หนังสือเคล็ดวิชาของเขาไปนั้นจะไม่หมั่นศึกษาวิชา จึงได้ทิ้งเจ้าหนอนด้ายแดงเอาไว้ในหนังสือ ถ้าหากมีคนมาหยิบหนังสือเล่มนี้ไปแล้วไม่เร่งศึกษาเคล็ดว่าให้ทันการแล้วล่ะก็ คงจะพบกับจุดจบเพียงอย่างเดียวแน่
หรือชายชราที่ตายนี้จะเป็นคนที่โหดร้ายนัก?
“ถ้าเช่นนั้นองค์ชายอยากจะหาที่สงบๆเพื่อศึกษาการถอนพิษแมลงวิปลาสไหมขอรับ?” เชียนอี้ก็ได้ถามขึ้นมา
เมื่อเจียงหวายเย่ได้ยินที่ถามก็ได้ส่ายหัวแล้วตอบกลับไป “ไม่ใช่ว่าเรายังมีเสี่ยวเหยียนเอ๋ออยู่หรอกหรือ? และต่อให้ องค์ชายอยากที่จะศึกษาก็เกรงว่าคงทำไม่ได้ เพราะมันมีชื่อของสมุนไพรต่างๆอยู่ด้วย เราคิดว่าผู้ที่จะศึกษาได้จำเป็นต้องเชี่ยวชาญวิชารักษาด้วย”
ก็เข้าใจได้อยู่ แต่นั่นก็จะหมายความว่าต้องฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่พระชายาเลยนะ?
“ในเวลานี้พวกเรารู้แน่ชัดแล้วว่าดอกบัวทองคำนั้นเป็นแค่ข่าวลวง เมื่อใดที่พวกเราออกจากถ้ำนี้ก็เดินทางกลับเมืองหลวงกันเถอะ”
ไม่ได้พบกับเสี่ยวเหยียนเอ๋อแค่ไม่กี่วัน ตอนนี้ เจียงหวายเย่ก็เริ่มรู้สึกคิดถึงนางขึ้นมาเสียแล้ว
ตอนเช้าตรู่ที่จวนมหาเสนาบดีหลิน หลินซีเหยียนก็ได้มุ่งหน้าไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อไปพบหลินหนานเฟิง แต่เมื่อไปพบกับอีกฝ่ายก็ได้ทำให้คิ้วของนางต้องขมวดขึ้นมาอย่างอารมณ์ไม่ดี
“ส่งแขนของเจ้ามา!” หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดี
หลินหนานเฟิงที่มีสีหน้าไม่เปลี่ยน ก็ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีแล้วยืนแขนให้หลินซีเหยียนจับชีพจร