หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 251 กรรมตามสนอง
บทที่ 251 กรรมตามสนอง
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าสอนท่านพี่ให้ก็ได้เจ้าค่ะ” หลินรั่วจิ่งก็ยิ้มแล้วมองไปที่หลินเสวี่ยเหยียน แต่ดวงตาของนางนั้นเต็มไปด้วยสายตาแค้นเคืองที่ไม่มีใครมองเห็น
ส่วนหลินหัวเยว่นั้นต่างกับหลินเสวี่ยเหยียน เพราะอย่างไรเสียฮูหยินอวี้นั้นก็แม่ของนาง นางจึงกล่าวขึ้นว่า “เยว่เอ๋อยินดีที่จะมีส่วนร่วมเพื่อช่วยท่านแม่”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เดี๋ยวข้าจะไปตรวจรักษาให้ฮูหยินอวี้ก่อน”
“ขอบพระคุณท่านพี่มาก ข้าขอตัวกลับไปดูแลท่านแม่ก่อนนะเจ้าคะ” หลินรั่วจิ่งกล่าวแล้วหันหลังกลับไปโดยที่ไม่หันกลับมามอง
ส่วนฮ่องเต้หลีนั้นยังไม่ไป แต่กลับมองไปที่คนที่ตามเขามาทั้งสองคน ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ดี ตัวข้านั้นก็เป็นถึงฮ่องเต้ของรัฐหลี เป็นตัวตนที่สูงส่งที่ไม่ใช่ว่าใครจะเข้าพบได้ง่ายๆ ต่อจากนี้พวกเจ้าอย่าได้มาหาข้าโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตอีก”
โดยที่ไม่รอให้ทั้งสองคนได้ตอบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินไปหาหมอหญิงหลิน
หลินซีเหยียนนั้นกำลังหยิบข้าวของที่จำเป็นสำหรับการตรวจคนไข้อยู่ จากนั้นนางก็พบว่าหลีเจี้ยนเฉินนั้นยังอยู่จึงได้ถามอย่างสงสัย “แล้วทำไมฝ่าบาทถึงยังอยู่ที่นี่เพคะ?”
“ท่านหมอหลิน ข้าได้ไปพบสถานที่ดี ๆ แห่งหนึ่งเข้า ข้าจึงหวังว่าเจ้าจะไปที่นั่นกับข้าพรุ่งนี้!”
หลีเจี้ยนเฉินนั้นกล่าวชวนนางอย่างปิดความตื่นเต้นไว้ไม่มิด เขาก็กะพริบตาเป็นเชิงอ้อนวอนและมองไปที่หลินซีเหยียนอย่างคาดหวัง
“พรุ่งนี้ข้ามีนัดแล้ว ข้าจึงไม่อาจที่จะไปกับฝ่าบาทได้เพคะ” หลินซีเหยียนที่จัดเตรียมข้าวของเรียบร้อยแล้วก็รีบมุ่งหน้าไปที่ตำหนักฮูหยินอวี้ทันที
หลีเจี้ยนเฉินนั้นรู้สึกหดหู่ไปตลอดทาง เขานั้นรู้แล้วว่าท่านหมอหลินนั้นยังไม่เชื่อใจเขาเลยแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่เขาพยายามเข้าหานางมากถึงขนาดนี้แท้ ๆ
แล้วทั้งคู่ก็ไม่พูดอะไรกันจนกระทั่งเดินไปถึงตำหนักฮูหยินอวี้
เมื่อเห็นฮูหยินอวี้ที่หน้าซีดและนอนอยู่ที่เตียงด้วยดวงตาที่ปิดสนิทแล้ว ดวงตาหลินซีเหยียนก็ปรากฏแววสะใจขึ้นมา จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาแล้วใช้ผ้าเช็ดมือจับไปที่ข้อมือของฮูหยินอวี้ แล้วจากนั้นก็ตรวจชีพจรของอีกฝ่าย
ไม่นานนางก็กล่าวขึ้น “เป็นเพราะความเครียดทำให้มีอาการขาดเลือดและลมปราณ จึงรู้สึกหนาวเป็นครั้งคราวและทำให้นางมีอาการหนักเช่นนี้”
“มีวิธีรักษาหรือไม่?” สีหน้าของหลินรั่วจิ่งเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคำพูดของหลินซีเหยียน
“แน่นอน” หลินซีเหยียนหยิบเอาถุงฝังเข็มออกมาจากเอวของตนแล้วจากนั้นก็มองไปที่สาวใช้ของฮูหยินอวี้ “ถอดเสื้อของนางเสีย”
เฉี่ยนไป๋นั้นลังเลและมองไปที่หลินรั่วจิ่งเชิงขออนุญาต เมื่อเห็นหลินรั่วจิ่งผงกหัว นางจึงได้จับฮูหยินอวี้ถอดเสื้อออก
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฮ่องเต้หลีจึงออกไปข้างนอกห้องทันทีโดยที่ไม่ต้องให้เตือน
หลินซีเหยียนหยิบเอาเข็มเงินยาวออกมาแล้วปักลองไปที่หลังของฮูหยินอวี้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน แผ่นหลังของฮูหยินอวี้ก็เต็มไปด้วยเข็มเงิน
“อืม…”
ไม่นานนักฮูหยินอวี้ก็เริ่มครางและลืมตาขึ้นมา พักหนึ่งนางจึงมองไปรอบ ๆ อย่างงุนงง จนในที่สุดสายตาของนางก็จับจ้องไปที่หลินซีเหยียน “ใครใช้ให้เจ้ามาที่ตำหนักของข้ากัน ออกไปจากตำหนักของข้าเดี๋ยวนี้!”
ฮูหยินอวี้กรีดร้องและต่อว่าหลินซีเหยียนเสียงดัง ซึ่งทำให้ฮ่องเต้หลีที่ยืนอยู่ด้านนอกนั้นได้ยินอย่างชัดเจน เขาจึงได้คิ้วขมวดเมื่อพบว่าท่าทีของฮูหยินอวี้นั้นไร้มารยาทเหลือเกิน
ไม่แปลกใจเลยที่ท่านหมอหลินนั้นจะเกลียดชังนาง
ในความคิดของฮ่องเต้หลีนั้น ท่านหมอหลินนั้นเกลียดชังฮูหยินอวี้ถึงเพียงนี้ แต่เขากลับปล่อยให้นางต้องไปรักษาคนที่นางรังเกียจ
หรือว่าที่ท่านหมอหลินปฏิเสธเขาก็เพราะแบบนี้? ถึงจะดูเหมือนนางไม่ชอบเขามาตั้งแต่แรกแล้วก็เถอะ
ในขณะที่เขากำลังรู้สึกเสียใจกับตัวเองอยู่ข้างนอกอยู่นั้น ก็มีทหารจากรัฐหลีวิ่งมาหาเขาแล้วกระซิบกระซาบบางอย่างที่ข้างหู ฉับพลันนั้นเองสีหน้าของหลีเจี้ยนเฉินก็เปลี่ยนไปเคร่งเครียดหนักกว่าเดิม
ยามนั้น บรรยากาศรอบตัวฮ่องเต้หลีก็พลันหนาวเย็นขึ้นมาเป็นอันมาก เขาสะบัดให้ทหารออกไป แล้วจากนั้นก็ส่งคนไปเตรียมรถม้าเพื่อเตรียมมุ่งหน้าไปที่พระราชวังหลวง
ณ พระราชวังหลวง เจียงหวายเย่ได้กลับมานั่งอยู่ที่รถเข็นอีกครั้งเพราะร่างกายที่อ่อนแอ ถึงแม้ว่าเหล่าขุนนางนั้นจะสงสัย แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรออกไปอยู่ดี
“ฮ่องเต้เจียง คนของข้าที่มาจากรัฐหลีกลับตายที่อาณาจักรของท่านเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าท่านควรที่จะให้คำอธิบายกับข้าหรอกหรือ?”
หลีเจี้ยนเฉินเปิดประตูเข้ามาในท้องพระโรง ท่ามกลางสายตาของเหล่าขุนนาง เขาก็เดินขึ้นไปยังแท่นยกพื้นจนกระทั่งยืนอยู่ตรงหน้าของฮ่องเต้เจียง
ฮ่องเต้เจียงพลันเลือดขึ้นหน้าทันที ด้วยอีกฝ่ายทำท่าทีที่ไม่ให้ความเคารพกันเช่นนี้ แต่เขาก็ต้องอดทนเอาไว้เพราะเขาไม่ต้องการจะให้เกิดการกระทบกระทั่งกับความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักร
เขาจึงได้เพียงสะบัดมือและกล่าวกับคนของตนว่า “ไปเอาเก้าอี้มาให้เขานั่ง”
หลีเจี้ยนเฉินก็นั่งลงแบบไม่มีพิธีรีตอง จากนั้นก็มองไปที่เหล่าขุนนางของรัฐเจียง “ข้าหวังว่าเหล่าขุนนางของรัฐเจียงนั้นจะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวัง”
เจียงหวายเย่มองเหตุการณ์เบื้องหน้านี้ด้วยสีหน้าเช่นเดิม เขาจ้องไปที่ฝ่ามือของตนเองอย่างเหม่อลอย ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขา
ทำให้เหล่าขุนนางมากมายที่เคยนับถือเจียงหวายเย่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เทพสงครามที่ไร้ความเกรงกลัวในอดีตนั้น ในเวลานี้เขากลับแสดงความขี้ขลาดเช่นนี้ได้อย่างไร? หรือว่าการต้องทุพพลภาพไปห้าปีได้ทำลายความภาคภูมิของบุตรแห่งสวรรค์จริง ๆ เสียแล้ว
เจียงหวายเย่นั้นคิดจะวางตัวทำเป็นนิ่งเฉย แต่หลีเจี้ยนเฉินนั้นไม่ปล่อยให้เขาทำเช่นนั้นได้
ไม่นานนักหลังจากที่ฮ่องเต้หลีพูดจบ เขาก็มองไปที่เจียงหวายเย่แล้วกล่าวด้วยท่าทีที่เป็นปรปักษ์ “ข้าอยากจะถามองค์ชายเย่เสียหน่อย ไม่ทราบว่าองค์ชายเย่มีความคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้บ้าง?”
เจียงหวายเย่ก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้านิ่งๆ แล้วจากนั้นก็กล่าวขึ้นมาว่า “ถ้าฮ่องเต้หลีไม่ใช่คนโง่ ท่านก็น่าจะรู้ว่าการกระทำเช่นนี้มักจะเป็นผู้ที่ไม่ประสงค์ดีเท่านั้น ที่กระทำกัน”
“องค์ชายเย่เจ้าช่างบังอาจนัก!” เจียงหวายเย่ว่าเขาว่าโง่ต่อหน้าคนอื่น ๆ เช่นนี้ ทำให้เจตนามุ่งร้ายในดวงตาของหลีเจี้ยนเฉินนั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนฝ่ายฮ่องเต้เจียงนั้นก็ดุจะมีความเปรมปรีดิ์อยู่ในที “ที่องค์ชายเย่กล่าวนั้นแม้จะดูหยาบคายแต่ก็มีเหตุผล”
“ตัวข้านั้นย่อมตระหนักถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่การตายของคนจากรัฐหลีของเราที่เดินทางมาที่รัฐเจียงนั้น ไม่อาจยอมรับได้ ด้วยรัฐเจียงที่เป็นเจ้าบ้านกลับไม่รับหน้าที่คอยดูแลให้ดีเช่นนี้ พวกท่านยังไม่รู้สึกถึงความเลินเล่อของพวกท่านเลยหรือ?”
หลีเจี้ยนเฉินผุดลุกขึ้นยืนด้วยโทสะ พร้อมกับตวาดเสียงลั่น “ถ้าหากว่าตามหาตัวฆาตกรไม่พบ ข้าเกรงว่าคงไม่เพียงแค่รัฐหลี แต่อาจรวมถึงรัฐจงและรัฐเยี่ยนที่จะต้องไตร่ตรองถึงรัฐเจียงเสียใหม่แล้วว่าคู่ควรแก่การที่จะเป็นพันธมิตรด้วยหรือไม่!”
ในเวลานี้ฮ่องเต้เจียงนั้นรู้สึกขำไม่ออกแล้ว เขามองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยสายตาที่คาดโทษ “องค์ชายเย่ เจ้าจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ? เจ้าไม่คิดจะขอโทษฮ่องเต้หลีหน่อยบ้างหรือไง”
เจียงหวายเย่หรี่สายตาลงแล้วก่อนจะยิ้มมุมปากขึ้นมา “เรามีหนทางที่จะจับตัวคนร้ายอยู่”
หลีเจี้ยนเฉินนั้นไม่อาจที่จะทนต่อท่าทีที่มั่นใจของเจียงหวายเย่ได้ แต่เนื่องฐานะของเขา เขาจึงทำได้แค่พูดออกไป “ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้องค์ชายเย่เป็นคนจัดการเรื่องนี้”
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วหลีเจี้ยนเฉินก็จากไปพร้อมกับมหานักบวช ซึ่งในขณะที่เขากำลังเดินผ่านเจียงหวายเย่ เจียงหวายเย่ก็พูดขึ้นมา “ภายในสามวัน ฝ่าบาทจะได้เห็นตัวคนร้าย”
และทุกคนในท้องพระโรงต่างก็พากันมองหน้ากันเองแล้วรู้สึกได้ว่าเจียงหวายเย่นั้นรีบร้อนเกินไปแล้ว ถ้าเขาไม่อาจให้คำตอบที่พอใจกับฮ่องเต้หลีได้ภายในสามวัน ก็เกรงว่ารัฐเจียงคงได้เสียหน้าครั้งใหญ่แน่
ฮ่องเต้เจียงก็มีสีหน้าที่ไม่ดีขึ้นมาเป็นอันมาก เขาจึงเปิดปากออกมาอีกครั้ง “องค์ชายเย่มั่นใจหรือว่าเจ้าจะสามารถจับตัวคนร้ายมาได้ภายในสามวันน่ะ?”
“เปิ่นหวางจะลองพยายามพ่ะย่ะค่ะ” เจียงหวายเย่ก็กล่าวพร้อมยกกำปั้นขึ้นมา ทว่าฉับพลันนั้นเองเขาก็ไอโขลกอย่างแรง สีหน้าซีดเซียว
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฮ่องเต้เจียงก็กลืนคำที่เขาจะพูดออกมาลงไป อย่างไรเสียเขาก็ไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าตัวเขานั้นยังติดค้างคำตอบให้องค์ชายเย่อยู่!
“ปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ขององค์ชายเย่ ถ้าองค์ชายเย่ขาดเหลือสิ่งใด เหล่าขุนนางทุกคนจะต้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ด้วย แยกย้ายได้!”
พอเจียงหวายเย่ออกมาจากพระราชวัง อันอี้ก็มาเข็นรถเข็นให้ จากนั้นก็ถามอย่างสงสัย “ทำไมองค์ชายถึงได้ตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องนี้เองเล่าขอรับ?”