หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 262 งานเลี้ยงอำลา
บทที่ 262 งานเลี้ยงอำลา
ทันทีที่เทียนเอ๋อซึ่งทำท่าทำทางราวกับเป็นผู้ใหญ่นั้นพูดจบ หลินซีเหยียนก็ดึงหูเทียนเอ๋อทันที เป็นผลให้เจ้าลูกชิ้นน้อยเริ่มร้องขอความเมตตาออกมา
“ท่านแม่ เทียนเอ๋อผิดไปแล้ว ที่ไม่ค่อยมาดูแลท่านให้ดี” เด็กน้อยพูดด้วยดวงตาแดงก่ำน้ำตาคลอ มองแล้วน่าสงสารจับใจ
เจียงหวายเย่พลันกระแอมขัดจังหวะหวังช่วยชีวิตศิษย์ตนขึ้น “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ ปล่อยเทียนเอ๋อไป-” แต่เมื่อพูดไปได้เพียงแค่ครึ่งประโยค เขาก็แทบจะสำลักคำพูดทันที ด้วยเพราะในขณะนี้ เสี่ยวเหยียนเอ๋อกำลังจ้องเขม็งมาทางเขาด้วยสีหน้าที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
หรือว่านั่นจะเป็นคำเตือน?
หลีเจี้ยนเฉินที่ได้เห็นภาพเบื้องหน้าแล้ว ก็รู้สึกได้ราง ๆ ว่าเทียนเอ๋อกับเจียงหวายเย่นั้นมีบางอย่างที่คล้ายกัน หรือว่าจะเป็นเพราะเจียงหวายเย่คืออาจารย์ของเทียนเอ๋อกัน?
“ว่าแต่เจ้าเถอะเทียนเอ๋อ เมื่อวานนี้เจ้าหายไปไหนมา?” หลินซีเหยียนตวัดสายตามองคนลูกด้วยสายตาน่ากลัวดุจแม่เสือ
เทียนเอ๋อห่อตัวหดหัวลงแล้วยิ้มแหะ ๆ “ไม่ใช่ว่าท่านแม่ชอบแมลงหรือขอรับ? ท่านปู่ซวีกับข้าก็เลยออกไปจับแมลงกันมาน่ะขอรับ”
แม้หลินซีเหยียนจะรู้เรื่องของผู้เฒ่าซวีไม่มากนัก แต่นางก็รู้สึกได้ว่าผู้เฒ่าซวีคงไม่คิดทำร้ายเทียนเอ๋อแน่นอน นางจึงกล่าวกับลูกชายต่อไป “แม่น่ะไม่ห้ามเจ้าหรอกถ้าเจ้าจะออกไปเล่นกับผู้เฒ่าซวี แต่เจ้าควรจะบอกแม่ก่อนว่าเจ้าจะไปที่ไหน”
เทียนเอ๋อผงกหัวอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าตน แล้วหยิบเอางูเขียวยื่นออกมาตรงหน้า
ผู้ใหญ่สามคนในห้องถึงกับหน้าถอดสีทันที เพราะงูที่อยู่ในมือเจ้าลูกชิ้นน้อยคืองูเขียวหางไหม้ พิษของงูชนิดนี้อันตรายเป็นอย่างมาก
“เทียนเอ๋อ ปล่อยมันไปเดี๋ยวนี้!” นางสั่งเทียนเอ๋อเสียงเข้ม
แต่เด็กน้อยเพียงยิ้มให้เท่านั้น “ท่านแม่ ท่านอาจารย์ ท่านลุงหลี พวกท่านไม่ต้องกลัวไปหรอกขอรับ เจ้าเขียวน้อยน่ะได้รับการอบรมมาจากเจ้าทองน้อยของท่านปู่ซวีมาแล้วดังนั้นมันจึงไม่ทำร้ายข้าหรอกขอรับ ดูสิ”
ว่าแล้วเทียนเอ๋อก็เล่นกับเจ้างูเขียวหางไหม้ตัวนั้น ซึ่งมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำร้ายเทียนเอ๋อเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าทองน้อยนี่หมายถึงเจ้างูสีทองตัวเล็ก ๆ ของผู้เฒ่าซวีหรือเปล่าลูกแม่?” นางเองก็พอจะเดาได้ว่าเจ้างูสีทองตัวนั้นจะต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ
ส่วนคนลูกก็พยักหน้ารัวแล้วกล่าวอย่างชื่นชม “เจ้าทองน้อยน่ะ เก่งกาจขนาดทำให้งูทุกตัวกลัวมันได้”
‘หรือว่าจะเป็นงูวิปลาสปีกทอง? มันไม่ใช่ง่ายเลยที่จะสร้างงูเช่นนั้นขึ้นมาได้!’ หลินซีเหยียนคิดถึงเนื้อหาในหนังสือเคล็ดวิชาแมลงวิปลาส และนางก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าผู้เฒ่าซวีนั้นจะต้องเคยไปยังสถานที่แห่งนั้นและเคยเจอผู้เลี้ยงแมลงวิปลาสมาก่อนแน่ ๆ
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อกำลังคิดอะไรอยู่?” เมื่อเห็นหลินซีเหยียนกำลังเหม่อลอย เจียงหวายเย่ก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ “ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดที่จะไปที่ไหนอีกหรอกนะ? ถ้าเกิดเจ้าจะไปไหน ขอเถิด โปรดบอกข้าด้วย”
หญิงสาวพลันเลิกคิ้วขึ้นมา “ข้าไม่ใช่เทียนเอ๋อสักหน่อย ข้าไม่หลงทางง่าย ๆ หรอก”
เมื่อเด็กน้อยได้ยินคำที่พาดพิงตนเข้าก็ไม่พอใจ เขาทำแก้มป่องพร้อมพูดแย้ง “ท่านแม่ เทียนเอ๋อไม่ใช่เด็กแล้วนะขอรับ แล้วเทียนเอ๋อก็ไม่เคยหลงทางเหมือนท่านแม่ด้วย”
เจ้าเด็กตัวแสบ เดี๋ยวนี้รู้จักเอาเรื่องผิดพลาดของแม่มาเปิดเผยอย่างนั้นหรือ?
หลินซีเหยียนจ้องลูกชายตนด้วยอาการพูดอะไรไม่ออก และเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตารอบตัวที่จับจ้องมา ใบหน้าของนางก็ร้อนผ่าวขึ้น ก่อนที่ปากจะแก้ตัวพัลวัน “ข้าหลงทางแล้วอย่างไร? ประเดี๋ยวข้าสามารถหาทางกลับมาได้เองล่ะน่า!”
เจียงหวายเย่กับหลีเจี้ยนเฉินที่กำลังกลั้นหัวเราะกันสุดฤทธิ์ จึงพยักหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ด้วยพวกเขาคิดว่าคงเป็นการดีกว่า หากทำเป็นเชื่อฟังนางและพยายามปั้นหน้านิ่งเข้าไว้
เมื่อหลินซีเหยียนได้มองหน้าสองคนอีกฝ่ายที่พยายามกลั้นหัวเราะสุดขีดแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก นางจึงพูดโพล่งออกมา “ถ้าพวกท่านอยากจะหัวเราะก็หัวเราะเลย ถ้าขาดใจตายก็อย่ามาโทษข้าก็แล้วกัน!”
“ฮ่า ๆๆ เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เจ้านี่ช่างตลกจริง ๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกท่านหมอหลิน ข้ายินดีนำทางให้เจ้าตลอดชีวิตของข้า”
เมื่อเห็นชายสองคนที่หัวเราะกันอย่างเป็นบ้าเป็นหลังแล้วและดูท่าจะไม่หยุดง่าย ๆ นางก็กระแอมออกมา เจียงหวายเย่ที่รู้สึกตัวก่อนคนแรกจึงรีบปั้นหน้านิ่ง ตีสีหน้าขึงขังพลางพูดว่า “เสี่ยวเหยียนเอ๋อมีเปิ่นหวางอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องการเจ้าหรอก”
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงเวลาของงานเลี้ยง ณ ศาลาริมสระ ในคราวนี้หลินซีเหยียนไม่ได้พาเทียนเอ๋อไปด้วย อย่างไรเสียสถานที่ที่ต้องไปก็เป็นถึงวังหลวง คงจะเป็นเรื่องชวนปวดหัวน่าดูหากจะให้บุตรของตนไปอยู่ท่ามกลางพวกโบราณวัตถุ
เทียนเอ๋อจึงได้แต่มองดูรถม้าวิ่งจากไปอย่างไม่พอใจ แต่จากนั้นไม่นาน เขาก็วิ่งออกไปหาผู้เฒ่าซวีด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
ตัวเอกของงานเลี้ยงศาลาริมสระในวันนี้คือฮ่องเต้หลี ในบรรดาผู้มาร่วมงาน หลาย ๆ คนก็พาคนในครอบครัวของตนมาด้วย บุตรีทั้งหลายที่ติดตามบิดาของตนมางานนี้นั้น ก็ล้วนแล้วแต่หน้าแดงในยามที่ได้พบฮ่องเต้หลี
พวกนางไม่เคยพบชายที่ใบหน้างดงามเช่นนี้มาก่อนเลย ถึงแม้จะแค่แต่งไปเป็นสนมของเขา พวกนางก็เต็มใจ
“นี่เจ้ารู้อะไรหรือไม่? เขาว่ากันว่าองค์ฮ่องเต้หลีน่ะยังไม่ได้เลือกบุตรีของท่านมหาเสนาบดีหลินคนไหนเลยนะ” หญิงสาวคนหนึ่งมองไปที่ใบหน้าของฮ่องเต้หลีด้วยความกระตือรือร้น
คำพูดของนางได้กระตุ้นเหล่าหญิงสาวรอบ ๆ เข้าในชั่วพริบตา
“ถ้าเช่นนั้นพวกข้าก็จะยังมีโอกาสน่ะสิ!”
เสียงดีอกดีใจเช่นนี้ดังไปได้ไม่เท่าไรนัก กาวกงกงที่คอยอยู่เคียงข้างฮ่องเต้เจียงก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา เสียงแหลมสูงของเขาดังกังวานไปทั่วศาลา “เงียบหน่อย ฮ่องเต้เสด็จมาถึงแล้ว ทำไมพวกเจ้าถึงยังไม่ถวายบังคมกันอีก”
ผู้คนพากันคุกเข่าและพูดขึ้นอย่างพร้อมเรียงกัน “ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่น ๆ ปี”
ในศาลาแห่งนี้ ดูจะมีเพียงแค่ฮ่องเต้หลีกับคณะราชทูตจากรัฐหลีที่ไม่ได้คุกเข่า นอกจากนั้นก็คงจะเป็นหลินซีเหยียน ที่บัดนี้อาศัยคนข้างหน้าบังตัวนางไว้
เพราะการศึกษาที่นางได้ร่ำเรียนมานั้น มีเพียงฟ้าดินและพ่อแม่เท่านั้นที่ต้องเคารพ
ห้าปีที่นางได้มาอาศัยอยู่ที่ นับว่าน่าอึดอัดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับระบบเจ้าขุนมูลนาย เอะอะก็คารวะ เอะอะก็คุกเข่า เป็นเช่นนี้อยู่ทั้งวัน จะไม่ให้นางอึดอัดได้อย่างไร
ในขณะที่หลินซีเหยียนพยายามสงวนท่าทีไม่พอใจอย่างลับ ๆ ก็มีสายตาสองคู่ชำเลืองมาทางนาง แม้ว่าคนอื่น ๆ จะไม่ทันได้สังเกตเห็นหลินซีเหยียน แต่ไม่ใช่กับเจียงหวายเย่และหลีเจี้ยนเฉินแน่นอน เพียงแค่การเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ มีหรือพวกเขาจะไม่ทันสังเกตเห็น
ท่าทางไม่พอใจของหลินซีเหยียนช่างดูน่าขันยิ่งนัก ถ้าไม่ติดว่าพวกเขาอยู่ต่อหน้าธารกำนัลแล้ว พวกเขาคงจะต้องหัวเราะท้องคัดท้องแข็งแบบเมื่อวานเป็นแน่
ตอนนี้จึงทำได้แค่กลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถไป
“ทุกคนนั่งลงเถิด”
ฮ่องเต้เจียงกล่าวขึ้น ก่อนจะประทับลงบนเก้าอี้มังกรอันเป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะของตน จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอันน่าเกรงขามต่อ “ในวันนี้เป็นงานเลี้ยงอำลาส่งเหล่าราชทูตที่จะกลับไปยังรัฐหลี ขอให้ทุกคนทำตัวตามสบาย”
ถึงแม้จะพูดเช่นนั้นแต่ผู้คนก็ยังคงทำตามกฎมณเฑียรบาล ที่นั่งลงอย่างสั่น ๆ และพูดคุยกันด้วยเสียงค่อย ๆ
ผู้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มหาเสนาบดีหลินนั้น คือว่าที่พ่อตาของหลินหัวเยว่ ชายคนนี้เป็นนักประวัติศาสตร์ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีอำนาจอะไรมากนัก แต่ในบางครั้งก็จะมีบทบาทที่ยิ่งใหญ่
คนโบราณเคยกล่าวไว้ว่า อย่าได้ไปล่วงเกินนักประวัติศาสตร์ผู้มีหน้าที่บันทึกประวัติศาสตร์ ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงอาจด่างพร้อยไปนานเป็นพันปี
“เจ้ากับข้าไม่ต้องพูดจาสุภาพนักก็ได้ อย่างไรเสียอีกไม่กี่วันเจ้ากับข้าก็จะได้เกี่ยวดองกันแล้ว” มหาเสนาบดีหลินกับสหายขุนนางต่างก็ร่ำสุราและพูดคุยกันอย่างครึกครื้น ซึ่งในขณะที่บรรยากาศกำลังเป็นไปได้ด้วยดีอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงขององค์ชายผู้หนึ่งพูดเสนอขึ้นมา
“เสด็จพ่อข้าว่าฟังแต่เครื่องดนตรีบรรเลงเฉย ๆ มันออกจะไร้รสชาติไปหน่อย ทำไมท่านไม่ให้ทุกคนได้เห็นความสามารถของเหล่าบุตรีบ้านมหาเสนาบดีเสียหน่อยเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
ผู้เป็นบิดาพลันขมวดคิ้วแล้วต่อว่าบุตรของตนในใจทันที เจ้าลูกโง่เอ๋ย ในเวลานี้ยังไม่มีใครที่ฮ่องเต้หลีชอบอย่างออกนอกหน้า ถ้าเขาคิดจะชอบใครขึ้นมา คนคนนั้นย่อมเป็นหลินรั่วจิ่งแน่ เพราะยังไม่มีหญิงสาวแซ่หลินคนใดเลยที่เทียบได้กับนาง ซึ่งหากฮ่องเต้หลีเกิดชอบพอหลินรั่วจิ่งขึ้นมาจริง ๆ รัฐเราก็จะต้องเสียคนมีความสามารถไปน่ะสิ!
ครั้นจะเอ่ยปฏิเสธก็รังแต่จะเสียหน้าเปล่า ๆ ประเดี๋ยวคนจะครหาว่าเขาใจแคบได้ ฮ่องเต้เจียงจึงได้แต่จำยอมแล้วยิ้มออกมาอย่างฝืน ๆ “เป็นความคิดที่ไม่เลว ตกลงตามนั้น!”