หมอยาหวานใจท่านประธาน - ตอนที่ 290-291
ตอนที่ 290 เธอนึกเสียใจ
หลิ่วเฉิงเองก็งง “ผมคิดว่าเราก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนะ หรือลูกยังไม่คิดจะรีบมีครอบครัว ผมได้ยินมาว่าลูกที่ถูกพ่อแม่เร่งรัดให้แต่งงาน มักมีอารมณ์แปลกๆ หรือว่าเราใจร้อนเกินไป ยังไงเฟยอวิ๋นก็อายุยังน้อย”
ความคิดของหนุ่มสาวแตกต่างจากพ่อแม่เมื่อก่อน หนุ่มสาวสมัยนี้ส่วนใหญ่แต่งงานช้า ขณะที่พ่อแม่ล้วนอยากให้ลูกสร้างฐานะมีครอบครัวแต่เนิ่นๆ พวกตนจะได้วางใจ
ยังมีพ่อแม่อีกประเภทหนึ่งที่อยากอุ้มหลานไวๆ หวังอยากจะให้ลูกตัวเองมีครอบครัวเหลือเกิน ทั้งยังพูดความคาดหวังของตัวเองออกมา พอนานเข้า ลูกก็เลยรู้สึกต่อต้าน
หลี่เนี่ยนชิงคิดดู “อย่างนั้นเหรอคะ” ไม่รู้ทำไม เธอจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่พอคิดทบทวนดู ก็คิดไม่ออกว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป
เธอคงไม่ถึงกับเลอะเลือนจนพูดสลับระหว่างชื่ออีลั่วเสวี่ยกับเหอเย่ว์ ต่อให้พูดผิดก็แค่เผลอไป อธิบายให้ชัดเจนก็สิ้นเรื่อง
“ถ้าไม่ใช่อย่างนี้แล้วจะเป็นอะไร ช่างเถอะๆ เราไปนอนดีกว่า เรื่องของลูกๆ เราอย่ายื่นมือเข้าไปยุ่งมากเกินไป” อย่าเห็นว่าหลิ่วเฉิงเป็นคนซื่อๆ แต่หลายๆ เรื่อง เขาเป็นคนเข้าใจอะไรชัดเจนมาก
อาจเพราะที่เราพูดถึงแม่หนูคนนั้น เลยทำให้ลูกชายคิดอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจขึ้นมา แสดงว่าลูกชายสนใจเธออยู่ แต่ฝ่ายนั้นอาจไม่ได้ชอบเขา
เหมือนคำที่ว่าเซียงหวังหมายตา แต่เทพธิดาไม่มีใจ ฝ่ายนั้นจึงได้แต่ทุกข์ใจ
ในฐานะพ่อแม่ ถ้าอยากทำเพื่อลูกในเรื่องความรัก ก็มีบทบาทเพียงแค่ช่วยส่งเสริม ไม่อาจครอบงำ ทั้งเรื่องของความรู้สึกก็ไม่ใช่เรื่องที่พ่อแม่จะบังคับควบคุมได้
หลี่เนี่ยนชิงถอนหายใจ หันไปมองห้องลูกชาย ลูกชายเป็นอะไรไป ขนาดไฟในห้องก็ไม่เปิด หรือว่าจะมีอะไรตอนออกไป
“เมื่อกี้ตอนออกไปก็ยังดีๆ ทำไมพอกลับมาถึงดูแปลกๆ”
“คุณก็ช่างสังเกตจริง แต่คืนนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยถามลูกก็ได้ เราไปนอนเถอะ” อยู่ต่อก็ไม่มีประโยชน์ ลูกชายไม่ออกมาล้างหน้าล้างตาด้วยซ้ำ
สุดท้ายสองสามีภรรยาก็กลับเข้าห้องด้วยความสงสัยเต็มอก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น หลิ่วเฟยอวิ๋นก็อยู่แต่ในห้อง ไม่ออกมา
หลิ่วเฟยซวงค่อยๆ เปิดประตูออกมาแอบดูความเคลื่อนไหว สุดท้ายก็ถอยกลับเข้าไป ปิดประตูเบาๆ “เฮ้อ…บางทีตอนแรกฉันไม่น่าพูดถึงเสวียเสวี่ยกับพี่ตลอดเลย”
พี่น้องคู่นี้นอกจากพูดคุยเรื่องทั่วไปแล้ว เรื่องที่พูดถึงมากที่สุดก็คืออีลั่วเสวี่ย เธอมักจะพูดเสมอว่าอยากให้พี่ชายรีบกลับจากต่างประเทศ เพื่อตามจีบผู้หญิงที่ดีอย่างอีลั่วเสวี่ย ให้มาเป็นพี่สะใภ้เธอ
ตอนนี้เขากลับมาแล้ว แต่ผลไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง พี่ชายเกิดชอบอีลั่วเสวี่ยแล้ว แต่ในหัวใจอีกฝ่ายกลับมีคนอื่น ถึงตอนนี้หลิ่วเฟยซวงจึงนึกเสียใจ บางทีก่อนหน้านี้เธอไม่น่าปากมากเลย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่เกิดเรื่องในวันนี้
“เฮ้อ กลุ้มใจจริงๆ สงสัยคืนนี้คงนอนไม่หลับแน่” หลิ่วเฟยซวงขยี้ผมตัวเองด้วยความหงุดหงิด แล้วทิ้งตัวนอนลงบนเตียง คว้าหมอนมากอดไว้ พลางพลิกตัวไปมา
อีกด้านทางหลิ่วเฟยอวิ๋น
เขานั่งหลังพิงประตู ควันบุหรี่ลอยวนอยู่ในความมืด บุหรี่ที่คีบในมือส่องแสงวูบ เวลาที่คนหงุดหงิด มักจะอยากสูบบุหรี่ ราวกับว่ากลิ่นบุหรี่ที่ฉุนแสบจมูกจะทำให้จิตใจด้านชาได้
เธอกับเฉวียนหมิงมีวาสนากัน ครอบครัวพ่อบุญธรรมของเธอมีการหมั้นหมายไว้กับครอบครัวของเฉวียนหมิง เวลานี้พวกเขายิ่งใกล้ชิดกันขึ้นไปอีก ความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวเขา
นึกถึงครั้งนั้นที่อีลั่วเสวี่ยเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่ เขามักคิดว่าเธอคงจะถูกครอบครัวเฉวียนหมิงข่มเหงรังแก เวลานี้ดูแล้ว เขาคงคิดมากเกินไป ตอนนี้ทั้งคู่ถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสม
ตอนที่ 291 ช่วยแนะนำให้รู้จักด้วย
หลิ่วเฟยอวิ๋นคิดว่าถ้าพยายามให้มากก็จะมอบความสุขให้เธอได้ เป็นที่พักพิงอันอบอุ่นคอยป้องกันคลื่นลมให้เธอ แต่เวลานี้ด้วยศักยภาพที่ตัวเขามีอยู่ดูเหมือนจะไม่สามารถทำได้ หรืออาจพูดได้ว่าที่จริงเธอไม่จำเป็นต้องให้เขาปกป้องเลย
เพราะไม่ว่าอย่างไรเฉวียนหมิงก็ดีต่อเธอมาก คิดถึงตรงนี้ ในหัวหลิ่วเฟยอวิ๋นก็ผุดภาพที่ดูสูงศักดิ์ของเฉวียนหมิงขณะอยู่ที่โต๊ะอาหาร แต่สองมือยื่นออกไปหยิบกุ้งมาแกะเปลือกให้อีลั่วเสวี่ยด้วยท่าทางสง่างาม
ประธานเฉวียนกรุ๊ปสามารถทำเรื่องแบบนี้ให้ผู้หญิงคนหนึ่งต่อหน้าคนอื่นๆ เห็นได้ว่าความรักที่เขามีต่อเธอมาจากใจจริง ทั้งตอนงานวันเกิดหนานหลิวเฟิง เธอประสานมือกับเฉวียนหมิง รวมทั้งการเต้นรำที่น่าดึงดูดใจนั่น ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงไม่สามารถทำได้ ยิ่งไม่อาจสอดประสานกันได้ดีขนาดนี้
ขณะที่ทุกคนกำลังทำอะไรแบบเดียวกัน พวกเขาสองคนกลับทำสิ่งที่โดดเด่นเป็นเอกเทศ ไม่สนใจผลที่ตามมา เขาต้องการเพียงอยู่กับเธอ คิดดูแล้ว หลิ่วเฟยอวิ๋นก็รู้สึกว่าความรักของเขาช่างว่างเปล่าไร้กำลัง
เทียบกับสิ่งที่เฉวียนหมิงทำให้ลั่วเสวี่ยแล้ว ตัวเขาไม่เพียงไม่มีแม้แต่โอกาสจะลงมือทำ แต่จะทำได้ดีเท่าเฉวียนหมิงหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ด้วยซ้ำ
“จะยอมแพ้เหรอ” ยี่สิบกว่าปี เป็นครั้งแรกที่เขาหวั่นไหวกับคนที่ไม่เคยพบหน้า เห็นแค่รูปถ่ายเท่านั้น เขาจะยอมแพ้จริงๆ หรือ เขาเชื่อเรื่องรักแรกพบ ทั้งยังมั่นใจตัวเองว่ามีความสามารถเพียงพอเมื่อเทียบกับเทพบุตรหนานหลิวเฟิงของเธอ
แต่มาตอนนี้เขาพบว่า คนที่เรียกว่าเทพบุตรนั้น สำหรับเธอแล้วไม่มีความสำคัญอะไรเลยสักนิด แต่กลับเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างเฉวียนหมิงซึ่งเขาไม่อาจอยู่เหนือกว่าได้
“แต่ฉันไม่อยากยอมแพ้” ใช่ ฉันต้องพยายามให้มากขึ้น ก่อนที่เธอจะเปิดเผยกับเฉวียนหมิง ไม่แน่ว่าเธออาจจะจำใจต้องอยู่กับเฉวียนหมิงก็ได้
เรื่องก่อนหน้านี้เขาสืบรู้หมดแล้ว ยังรู้จากน้องสาวของตัวเองด้วย ที่เธอแต่งงานลับๆ กับเฉวียนหมิง เป็นเพราะตอนนั้นเฉวียนหมิงใช้ร้านสาขาของบริษัทอีหว่านเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน เธอจึงยอมตกลง
ต้องเป็นเฉวียนหมิงที่ไม่ยอมหย่าแน่ๆ ใช่ เป็นอย่างนั้นแน่ๆ ฉันจะท้อไม่ได้ หลิ่วเฟยอวิ๋นดับบุหรี่ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปิดประตู เดินออกไปล้างหน้า บังคับตัวเองให้พักผ่อน
ฉันต้องพยายามให้มากขึ้นในทุกๆ ด้าน เพื่อที่วันหน้าเมื่อเธอต้องการ ฉันจะปรากฏตัวออกไป ให้เธอเห็นว่าฉันมีศักยภาพพอที่จะปกป้องเธอ
คืนนี้ ในใจแต่ละคนในครอบครัวสกุลหลิ่วมีความคิดต่างกันไป แต่ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวอีลั่วเสวี่ย ขณะที่เจ้าตัวกลับไม่รู้อะไรทั้งสิ้น หรือบางทีต่อให้รู้ เธอก็คงทำเป็นไม่รู้
“ลูกชายออกมาแล้ว ฉันจะไปดูหน่อย” หลี่เนี่ยนชิงปิดไฟเตรียมเข้านอนแล้ว พอได้ยินเสียงก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง เลิกผ้าห่มเตรียมจะออกจากห้อง แต่ถูกหลิ่วเฉิงรั้งไว้
“ดึกมากแล้ว ให้ลูกมีพื้นที่ส่วนตัวของเขาเถอะ ลูกโตแล้ว เราจะคอยห่วงแทนลูกทุกเรื่องไม่ได้”
หลี่เนี่ยนชิงได้ยินก็ชะงัก แล้วเอนตัวลงนอนบนเตียง
ทางด้านเฉวียนหมิง งานเลี้ยงในโรงแรมยังดำเนินต่อไปอย่างครึกครื้น
สุดท้ายทุกคนก็ดื่มจนเริ่มครึ้ม เครื่องดื่มมึนเมายังคงกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของคนได้ ทั้งงานมีแต่เสียงชนแก้วกัน ใบหน้าแต่ละคนยิ้มแย้มและเริ่มมึนเล็กน้อย
ในสถานที่แบบนี้จะดื่มกันแค่พอครึ้มๆ ไม่ดื่มจนเมามาย
หลังจากอ่านข้อมูลเกี่ยวกับอีลั่วเสวี่ยและเพื่อนๆ ของเธอแล้ว ซีเหมินหลงเซี่ยวก็ยิ้มมุมปากอย่างสื่อความหมายลึกซึ้ง เขาออกจากห้อง กลับเข้ามาในงาน เดินตรงไปหาเฉวียนหมิง
“คุณมาได้จังหวะพอดี พรุ่งนี้ผมยังมีงานต้องจัดการที่บริษัท เตรียมจะกลับแล้ว ลาเลยนะครับ” เฉวียนหมิงเห็นซีเหมินหลงเซี่ยวเดินมา จึงเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบเป็นปกติ
ซีเหมินหลงเซี่ยวพยักหน้า “ถ้าอย่างงั้นผมไม่รั้งคุณอยู่ต่อแล้ว แต่เมื่อครู่ในงาน ได้ยินว่าคุณกับภรรยารักกันมาก แถมเธอยังช่วยงานบริษัทคุณไม่น้อย เป็นผู้หญิงเก่งคนหนึ่ง เมื่อไหร่จะแนะนำให้ผมรู้จักบ้าง เราจะได้ทำความรู้จักกันไว้”