หมอยาหวานใจท่านประธาน - ตอนที่ 384-385
ตอนที่ 384 ให้เธอคอยชี้นิ้วหรือ
“ยายหนู ค่ำอย่างนี้แล้วทำไมยังอยู่ข้างนอก?” น้ำเสียงนายท่านผู้เฒ่าเฉวียนเย็นชา แกเดินช้าๆ มาตรงหน้าอีลั่วเสวี่ย
นายท่านผู้เฒ่าเฉวียนมองหนานหลิวเฟิงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เธอ รู้สึกขัดหูขัดตา ยังรู้สึกอึดอัดเหมือนตัวเองถูกหลอก นึกไม่พอใจแทนหลานชายตนเอง
เห็นได้ชัดว่าเสียงลือไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ ล้วนมีความเป็นมา ที่เห็นตรงหน้าเป็นหลักฐานที่ดีที่สุด
ผู้หญิงที่มีสามีแล้ว มีหรือที่ดึกดื่นยังมาเดินเตร่ตามถนน ยังมากับผู้ชายแปลกหน้าด้วย แย่จริงๆ! เวลานี้ยังมาทักทายสีหน้าระรื่น ถูกจับผิดแล้วยังอวดเก่งอีก อวดอะไรหือ
อีลั่วเสวี่ยรู้สึกจนใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงของนายท่านผู้เฒ่าเฉวียน แต่คิดว่าถ้าอธิบายตอนนี้อาจจะทำให้สถานการณ์แย่ลง ทำให้เฉวียนหมิงเสียหน้า ไม่แน่ว่าหญิงสาวคนนั้นยังอาจจะแอบหัวเราะ
เธอไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญกับหน้าตา แต่ก็ต้องคำนึงถึงเฉวียนหมิงด้วย
เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มแล้วตอบ “วันนี้ตอนที่ออกมาบังเอิญฉุกคิดขึ้นได้ว่าร้านเสื้อผ้าทางนี้มีสินค้าออกใหม่ แบบไม่เลว จึงแวะมาดูค่ะ
ยังซื้อเสื้อผ้าสำหรับรับฤดูใหม่ให้คุณปู่และเฉวียนหมิงด้วย คิดไม่ถึงว่าจะเดินซื้ออยู่จนเย็นขนาดนี้ นี่กำลังจะกลับก็บังเอิญเจอกับพวกคุณ”
“ซื้อเสื้อผ้าให้ฉันรึ เรื่องแบบนี้ให้คนระดับล่างทำก็ได้ เธอเป็นถึงคุณนายประธานของเฉวียนกรุ๊ป ทำไมต้องมาทำเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง” แม้ในใจจะรู้สึกตื้นตันใจที่อีลั่วเสวี่ยซื้อเสื้อผ้าให้ตนก็ตาม
แต่พอนายท่านผู้เฒ่าคิดทบทวนแล้ว ก็รู้สึกว่าวันนี้ตนเองพูดต่อว่าเธอ เธอคงไม่สบายใจ จึงอยากซื้อของมาเอาใจตน สีหน้าจึงยิ่งแย่ลง เงินที่ใช้ก็เป็นเงินของพวกเขาเฉวียนกรุ๊ป มีหน้าอะไรมาพอใจ
บริษัทของครอบครัวตัวเองล้มไปแล้ว เธอจะมีเงินอะไร ไม่ต้องแสร้งทำตัวเป็นคนดีหรอก
คำพูดเฉวียนสือมีความนัยแฝงอยู่ นั่นคืออีลั่วเสวี่ยไม่สามารถออกหน้าในสังคมได้ ทำได้เพียงเรื่องที่คนระดับล่างทำ ทำให้ขายหน้า
พอเฉวียนสือพูดเช่นนี้ ฟางจื่อชิวจึงยิ้มออก “อาจเพราะลั่วเสวี่ยคิดว่าคนระดับล่างเลือกซื้ออาจจะไม่ถูกใจปู่เฉวียนและเฉวียนหมิงก็ได้ ก็ถือว่ามีความตั้งใจดีค่ะ”
“ใช่ ตั้งใจรอให้ฉันกับเฉวียนหมิงออกมาข้างนอก แล้วแวบออกมาเดินเที่ยวกับคนอื่น” พวกเขายืนอยู่ด้วยกัน พูดคุยเสียงไม่ดัง คนอื่นคิดว่าเพื่อนกำลังคุยกัน จึงไม่มีใครสนใจ
อีลั่วเสวี่ยได้ยินเช่นนั้นดวงตาฉายแววไม่พอใจออกมา เธอข่มความรู้สึกที่แสดงออกมาทางสายตา ขณะนี้กำลังโกรธจัด คิดว่าหมอปีศาจอย่างเธอจากอดีตจนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่เคยถูกลบหลู่เช่นนี้
สีหน้าเฉวียนหมิงแย่มาก แย่มากจริงๆ “ปู่ครับ ปู่พูดพอหรือยัง?”
“ยังเธอด้วย นี่เป็นเรื่องในครอบครัวเรา มีสิทธิอะไรมาคอยชี้นิ้ว!” ที่เขารำคาญเธอที่สุดก็คือ คิดว่าตัวเองเก่งคนเดียว สามารถตัดสินแทนเขาได้
แต่อีลั่วเสวี่ยต่างออกไป ดูเธอเหมือนไม่สนใจเรื่องอะไร แต่พอถึงคราวจำเป็นกับสามารถช่วยเขาแก้ปัญหาได้ ไม่ใช่อย่างฟางจื่อชิวที่สายตาดูถูกคนอื่น
พอตาแก่ฟางเห็นหลานสาวตนเองถูกตำหนิ ก็อดใจไม่อยู่ นับจากที่เจอหน้าปู่หลานสกุลเฉวียน เขาเห็นแก่หน้ามากพอแล้ว แต่ที่เขาได้รับกลับมา กลับเป็นเฉวียนหมิงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
“เฉวียนหมิง เธอพูดอะไร? ขอโทษจื่อชิวซะ!” ไม่เห็นผู้อาวุโสอย่างเขาอยู่ในสายตา กล้าอบรมหลานสาวเขาต่อหน้าต่อตา ถือดียังไง
“ผมรู้ดีว่าพูดอะไรอยู่ เป็นหลานท่านต่างหากที่ไม่รู้ว่าพูดอะไรอยู่ หรือไม่เคยได้ยินภาษิตที่ว่า ขุนนางตรงยากที่จะตัดสินเรื่องในครอบครัว พวกคุณไม่ใช่ขุนนางด้วยซ้ำ ถือดียังไงมายุ่งเรื่องครอบครัวผม ผมขอร้อง พวกคุณอย่างยุ่งได้ไหม?”
ขณะที่ตาแก่ฟางกำลังจะพูดอะไร ฟางจื่อชิวก็ดึงแขนปู่ตนเอง ห้ามไม่ให้เขาพูด
ตอนที่ 385 ดูสิ ใช้ได้หรือ
“เราไม่ได้คิดจะแทรกแซง เฉวียนหมิง คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ” จากนั้นก็พูดเบาๆ กับปู่ตน “ปู่คะ อย่าเพิ่งโมโห”
เป็นเพราะตาแก่ฟางห่วงหลานสาวของตน พอได้ยินเช่นนั้นก็ร้องหึออกมา รู้สึกผิดหวังที่ไม่เป็นไปดั่งใจ แล้วไม่พูดอะไรอีก
เฉวียนหมิงยิ้มเจื่อนๆ แม้ใบหน้าจะเย็นชามากแต่ยังมองออกว่าแฝงด้วยความเย้ยหยัน “ถ้างั้นผมคงเข้าใจผิดแล้ว อาเสวี่ย ปู่ มีอะไรเรากลับไปแล้วค่อยคุยกันครับ”
เมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้ คนรอบข้างเริ่มชำเลืองมองแล้ว คนที่มากินอาหารที่นี่ล้วนเป็นคนในแวดวงสังคมชั้นสูง ถ้าทำอะไรขายหน้า ไม่รู้ว่าจะถูกลือกันออกไปอย่างไร
นายท่านผู้เฒ่าเฉวียนเองก็รู้สึกว่าเมื่อครู่ตนเองทำไม่เหมาะ จึงหันไปพูดกับตาแก่ฟาง “ดึกแล้ว เรากลับกันเถอะ วันหลังค่อยหาเวลาไปดื่มชาและเล่นหมากรุกกับคุณ”
“ฉันว่าไม่ต้องหรอก ระยะนี้งานยุ่ง ต้องไปที่อื่นสักพัก รอให้กลับมาก่อนแล้วค่อยว่าเถอะ” ตาแก่ฟางพูดจบก็ดึงแขนฟางจื่อชิวเดินผละไป
ฟางจื่อชิวยิ้ม “งั้นเฉวียนหมิง เราค่อยเจอกัน” น่าเสียดายที่พอเธอพูดจบ เฉวียนหมิงไม่ได้พูดตอบ
“อาเสวี่ย ผมส่งคุณกลับ” เฉวียนหมิงพูดพลางจะรับของจากมือหนานหลิวเฟิงมา แต่ตอนนี้เฉวียนสือมองดูแล้วก็โกรธสุดขีด
โทสะพลุ่งพล่านขึ้นจนรู้สึกเวียนหัว ร่างเขาเอนไปข้างหลัง อีลั่วเสวี่ยตาไว รีบเข้ามาพยุงเฉวียนสือ “คุณปู่ เป็นอะไรไปคะ?”
เธอยังคงจำท่าทีก่อนหน้านี้ของนายท่านผู้เฒ่าที่มีต่อเธอ แต่พอเห็นเขามีสภาพเช่นนี้ก็ยังห่วงใยทันที ส่วนความไม่พอใจก็สลายไป ชีวิตคนย่อมสำคัญ
หนานหลิวเฟิงเห็นว่าเกิดเรื่องด่วน จึงรับของจากมือเฉวียนหมิงไว้
“ปู่ครับ ปู่เป็นอะไรไป?” เฉวียนหมิงร้อนใจขึ้นมา รู้สึกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ปู่ตนไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
ขณะที่อีลั่วเสวี่ยประคองเฉวียนสือได้ตรวจชีพจรอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่ละเอียด แต่ก็รู้ว่าเขาโมโหจนธาตุไฟรุกเข้าหัวใจ ส่งผลให้เลือดลมติดขัดจึงมีอาการเวียนหัว บวกกับอายุมากแล้ว มากน้อยความดันโลหิตย่อมสูงบ้าง
“ไม่ต้องเรียกฉันว่าปู่ ฉันยังไม่ตายหรอก!” นายท่านผู้เฒ่าผลักมืออีลั่วเสวี่ยออก สีหน้าไม่พอใจ อย่าคิดว่าเธอทำแบบนี้แล้วเขาจะรู้สึกดีด้วย ไม่มีวันหรอก
เมื่อบวกกับสภาพของตัวเอง เฉวียนสือยิ่งอยากต้องการคนที่เข้าใจวิธีช่วยชีวิตยามฉุกเฉินมาอยู่ข้างตัวหลานชายของตน คิดๆ แล้วก็รู้สึกว่าฟางจื่อชิวเหมาะสม เพราะเธอเป็นหมอ
“ปู่ ถึงเวลานี้แล้วอย่าอวดเก่งเลย ผมจะพาปู่ไปตรวจที่โรงพยาบาล” เฉวียนหมิงพูดพลางประคองเขาไปที่รถ ถึงตอนนี้พวกบอดี้การ์ดเห็นแล้ว รีบตรงมาหาทันที
เฉวียนหมิงเดินไปสองสามก้าว ก็หันมามองอีลั่วเสวี่ยอย่างจนใจ
“วางใจเถอะค่ะ ฉันจัดการเองได้ เรื่องปู่สำคัญกว่า” อีลั่วเสวี่ยยิ้ม แสดงท่าทีว่าเธอเข้าใจ เธอเองก็ไม่ต้องการให้เฉวียนหมิงลำบากใจ
เฉวียนหมิงมองบอดี้การ์ดพยุงปู่ขึ้นรถ แล้วหันมามองหนานหลิวเฟิง เดินมาตบไหล่เขา “รบกวนคุณช่วยพาอาเสวี่ยไปส่งด้วย”
แม้ว่าการไหว้วานศัตรูหัวใจจะทำให้เขาไม่สบายใจ แต่เฉพาะหน้านี้มีเขาเท่านั้นที่พอจะไว้ใจได้ อีกอย่างวันนี้หนานหลิวเฟิงเอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอาเสวี่ยชัดเจนแล้ว ทำให้เขารู้ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนที่น่ารังเกียจแต่อย่างไร
“วางใจเถอะ ผมจะส่งลั่วเสวี่ยถึงบ้าน” หนานหลิวเฟิงรับประกัน
เฉวียนสือในรถได้ยินลางๆ รู้สึกว่าตนเองปวดหัวหนักขึ้น ไอ้หลานน่าโง่ ถึงกับทำอย่างนี้ นี่ไม่เท่ากับส่งอาหารไปถึงมือนักล่าหรือ น่าปวดหัว น่าปวดหัว
อีกอย่างทำอย่างนี้เหมาะแล้วหรือ หนานกรุปลงมือเล่นงานเฉวียนกรุ๊ป แล้วนี่จะพานายหญิงของเฉวียนกรุ๊ปไปส่ง อะไรกันนี่