หมอยาเสน่ห์หา - ตอนที่ 40 รักใคร่
ตอนที่ 40 รักใคร่
อ๋องเจิ้นหยวนเมื่อเห็นว่าชูเซี่ยนิ่งเงียบไปก็เป็นฝ่ายทูล ตอบแทนนาง “ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของหญิงหลงและ เฉินเย่นไม่ใคร่จะดีนัก รวมทั้งเขาเพิ่งจะรับตำแหน่งนี้ได้ เพียงไม่นานอาจจะยังไม่มีอาศได้บอกต่อหยิงหลงในเรื่อง นี้กเป็นได้พะย่ะค่ะ”
เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่มารับหน้าที่ขุนนางก็มีอยู่ไม่น้อยเป็น เรื่องธรรมดาในวังหลวง ทว่าตำแหน่งหัวหน้ากรมโยธา เป็นตำแหน่งที่สำคัญยิ่งนัก หากไร้ความสามารถก็คงไม่ อาจดำรงตำแหน่งเช่นนี้ได้ ดูท่าแล้วหลี่เฉินเย่นผู้นี้ก็เป็นผู้ มีความสามารถคนหนึ่ง
เมื่อชูเซี่ยเห็นว่าอ๋องเจิ้นหยวนแก้ต่างให้ตนก็สบโอกาส แสร้งทำเป็นก้มหน้าลงอย่างหวาดกลัว ก่อนจะเอ่ยทูล ออกมาด้วยเสียงไม่มั่นคงนัก “เพคะ หม่อมฉันไม่ดีเอง เป็น เพราะท่านอ๋องแต่งรองพระชายาเข้ามายังจวนอ๋องอีกคน หม่อมฉันจึงโศกเศร้าตลอดเวลา ตั้งแง่ไม่ยอมพูดคุยกับ ท่านอ๋องมาโดยตลอด หม่อมฉันจึงไม่ทราบเรื่องนี้เพคะ”
ตอนที่ 40 รักใคร่
ตอนที่ 40 รักใคร่
อ๋องเจิ้นหยวนเมื่อเห็นว่าชูเซี่ยนิ่งเงียบไปก็เป็นฝ่ายทูล ตอบแทนนาง “ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของหญิงหลงและ เฉินเย่นไม่ใคร่จะดีนัก รวมทั้งเขาเพิ่งจะรับตำแหน่งนี้ได้ เพียงไม่นานอาจจะยังไม่มีอาศได้บอกต่อหยิงหลงในเรื่อง นี้กเป็นได้พะย่ะค่ะ”
เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่มารับหน้าที่ขุนนางก็มีอยู่ไม่น้อยเป็น เรื่องธรรมดาในวังหลวง ทว่าตำแหน่งหัวหน้ากรมโยธา เป็นตำแหน่งที่สำคัญยิ่งนัก หากไร้ความสามารถก็คงไม่ อาจดำรงตำแหน่งเช่นนี้ได้ ดูท่าแล้วหลี่เฉินเย่นผู้นี้ก็เป็นผู้ มีความสามารถคนหนึ่ง
เมื่อชูเซี่ยเห็นว่าอ๋องเจิ้นหยวนแก้ต่างให้ตนก็สบโอกาส แสร้งทำเป็นก้มหน้าลงอย่างหวาดกลัว ก่อนจะเอ่ยทูล ออกมาด้วยเสียงไม่มั่นคงนัก “เพคะ หม่อมฉันไม่ดีเอง เป็น เพราะท่านอ๋องแต่งรองพระชายาเข้ามายังจวนอ๋องอีกคน หม่อมฉันจึงโศกเศร้าตลอดเวลา ตั้งแง่ไม่ยอมพูดคุยกับ ท่านอ๋องมาโดยตลอด หม่อมฉันจึงไม่ทราบเรื่องนี้เพคะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “เรื่องนี้…
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันทราบดีว่ายามนี้ท่านอ๋องมี อารมณ์ไม่สู้ดีนัก ทว่าหม่อมฉันก็รู้อีกด้วยว่านท่านอ๋อง เป็นผู้ที่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวเป็น เขาไม่มีวัน นำเรื่องส่วนตัวของเขามาทำให้การใหญ่ต้องเสียเป็นแน่ เพคะ” แล้วนางก็เอ่ยต่อด้วยเสียงที่เบาลง “ทั้งหม่อมฉัน ยังอยากใช้โอกาสนี้ทำให้ท่านอ๋องรับรู้ถึงความสามารถที่ ตนเองมีอยู่เพื่อลบความพิการทางกายของเขา ให้เขาได้ รับรู้ว่าคุณค่าของชีวิตเราไม่ใช่อยู่ที่ร่างกายแต่อยู่ที่ภายใน ต่างหาก เพื่อทำให้เขาเข้มแข็งขึ้นด้วยนะเพคะ”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรนางด้วยความสงสัยทั้งยังประหลาด ใจ “หยิงหลง เจ้าช่างทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจ”
หยิงหลงรู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมา นางพยายามก้มหน้าซ่อน น้ำตา “หม่อฉันทูลลาเพคะ!”
อ๋องเจิ้นหยวนก็สบโอกาสนี้ทูลลาด้วยเช่นกัน ใต้เท้า หยาง ชูเซี่ยและอ๋องเจิ้นหยวนทั้งสามเดินทางไปยัง ตำหนักจาวหยางเพื่อไปปรึกษาหารือเรื่องปัญหาภัยแรง กับหลี่เฉินเย่น
เมื่อมาถึงตำหนักจาวหยางซึ่งเป็นที่พำนักชั่วคราวของ หลี่เฉินเย่น นางก็ได้ยินเสียงข้าวของแตกกระจายมาจาก ภายในตามด้วยเสียงร้องคำรามดุดันของเขาดังเล็ดลอด ออกมาชูเซี่ยรู้สึกเสียใจอย่างมาก วันนั้นท่าทางของเขายัง ดูไม่แยแสต่อสิ่งใดเลยแท้ๆ ทั้งอยู่ดูเหมือนจะไม่เก็บมันมา คิดมากเสียด้วยซ้ำ
วันนั้นเขาคงทรมานใจมากเลยกระมัง
นางหันกายกลับไปเอ่ยกับอ๋องเจิ้นหยวน “ท่านทั้งสอง รออยู่นี่สักเดี๋ยวเถิด ข้าขอเข้าไปดูเสียหน่อย”
อ๋องเจิ้นหยวนรับคำนางก็จะเอ่ยเดือน “ยามนี้เข้าอารมณ์ ไม่ดี เจ้าก็ระวังตัวด้วย”
ชูเซียพยักหน้า ในใจรู้สึกอึดอัดนัก นางเป็นหมอเคยเห็น อาการบาดเจ็บมาก็มาก ทว่าเขาเป็นเช่นนี้ก็เพื่อช่วยเหลือ นาง หากชีวิตนี้เขาไม่อาจเดินได้อีกนางก็ไม่สมควรมีชีวิต อยู่จริงๆ
ชูเซี่ยค่อยๆเปิดประตูเข้าห้อง เหล่าขันทีนางกำนัลเมื่อ เห็นนางก็รู้สึกโล่งใจถอนหายใจกันยกใหญ่ “ถวายบังคม พระชายา!”
ชูเซี่ยเห็นว่าในมือของขันที่มีกระโถนอยู่ใบหนึ่ง นางก็ รับรู้ได้ในทันทีว่าแม้แต่ยามที่เขาต้องการจะถ่ายเบายังไม่ อ่าจช่วยเหลือตนเองได้ เขาจะต้องรู้สึกว่าตนเองไร้ค่ามาก เป็นแน่ เป็นภาระให้ผู้อื่น เมื่อคิดเช่นนี้ไม่แปลกที่เขาจะไม่ สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้
หลี่เฉินเย่นไม่ได้หันหน้ามามองนางแม้แต่น้อย เขาเพียง จัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อยก่อนจะเอ่ยเสียงไม่พอใจ ออกมา “เจ้ามาทำอะไรที่นี่ หมอหลวงอนุญาตให้ลงจาก เตียงได้แล้วหรือ”
ชูเซี่ยสั่งการให้คนออกจากห้องไปให้หมด นางกำนัลต่าง ก็ย่อกายคำนับแล้วเดินออกไป
ชูเซี่ยเดินไปหยุดอยู่ข้างหลังเขา ภายในห้องมืดสลัวนาง จึงเดินไปที่หน้าต่างใช่ตะขอเกี่ยวม่านยาวสีทองให้เปิด ออกจนภายในห้องกลับมาสว่างไสวอีกครั้ง
ชูเซี่ยจ้องใบหน้าคมคายของชายหนุ่มตรงหน้านางอยู่ นานใบหน้าของเขาซูบผอมลงเล็กน้อย ดวงตาคมกล้าบัดนี้ มีสีแดงกำดูๆแล้วใบหน้าเข้าคล้ายจะแก่ลงไปหลายปีเลยที เดียว
หัวใจของชูเซี่ยปวดหนึบไปหมด แต่นางก็ไม่ได้แสดง ความเจ็บปวดออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย นางทำเพียง จ้องมองเขาแล้วแย้มยิ้มออกมาน้อยๆ แล้วค่อยๆชูมือขึ้น ก่อนวาดเป็นกลมๆ “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าพวกเราแข็งกันหรือ ว่าใครหายก่อน ข้าชนะแล้ว!”
หลี่เฉินเย่นตวัดสายตามองนางด้วยความหงุดหงิดก่อน จะยิ้มเยาะออกมา “ทำไมหรือ จะมาเยาะเย้ยข้างั้นหรือ ใช่ แล้วล่ะ เจ้าหายดีแล้ว ข้าก็เป็นอัมพาตนั่งนิ่งอยู่ตรงนี้ นั่ง อยู่เช่นนี้ตลอดไป”
ชูเซี่ยเดินเข้าไปใกล้เขาก่อนจะย่อกายลงตรงหน้านาง คว้ามือหนาของเขามากอบกุมเอาไว้ ดวงตากลมโตของ นางมีน้ำตาคลอหน่วย นางจ้องสบประสานสายตาของเขา อยู่นิ่งๆก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุด “ข้าเรียกชื่อท่านได้หรือ ไม่เจ้าคะ”
เขาอยากจะยิ้มเย็นชาใส่นางทว่ามุมปากของเขาไม่อาจ จะทำเช่นนั้นได้ เขาไม่สามารถยิ้มเย็นใส่นางได้ บางอย่าง ในหัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาจ้องมองนางนิ่งๆ “ตามใจเจ้า!” ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ไม่อาจปฏิเสธนางได้ลง
“เฉินเย่น ท่านเชื่อใจข้าหรือไม่” ชูเซี่ยเอ่ยเรียก เชื่อเขาเสียงเบา
เขาไม่ได้ตอบนาง ทำเพียงแค่ใช้ดวงตาแดงกำที่ฉายชัด ถึงอ่อนแอและเศร้าโศกมองนางเงียบๆ
“ท่านต้องเชื่อข้าแน่นอนอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะเชื่อตนเอง ท่านต้องกลับมาดีได้ดังเดิมแน่เป็นเช่นเมื่อก่อนสามารถ เหาะเหินไปไหนมาไหนได้
หลี่เฉินเย่นดึงมือนางออก ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าอย่า ได้ให้ความหวังแก่เปิ่นหวังอีกเลย ข้าเพิ่งจะทำใจยอมรับ ความเป็นจริงได้แท้ๆ”
ชูเซี่ยนางส่ายศีรษะก่อนหัวเราะอย่างดื้อดึง “ท่านรู้จัก มองโกลหรือไม่ ที่นั่นมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เลยเชียวล่ะ ทุ่งหญ้าเป็นประกาย ทุ่งหญ้าที่ไม่รู้จบยาวไป จนถึงสุดขอบฟ้าเลยนะเจ้าคะ ทั้งสวยงามแล้วน่าทึ่ง ข้าเฝ้า ฝันอยากจะไปขี่ม้าที่ทุ่งหญ้าแห่งนั้นสักครั้ง ควบม้าไล่จับ หนุ่มน้อย ถึงเวลานั้นท่านก็ไปด้วยกันกับข้า ข้าไล่จับหนุ่ม เลี้ยงวัวท่านก็ไล่ตามสาวเลี้ยงแกะดีหรือไม่”
น้ำเสียงของนางช่างไพเราะราวกับมีเวทมนตร์ทำให้เขาเฝ้าจินตนาการตามคำพูดของนางก่อนจะได้สติจึงหัน
มามองจ้องนางอีกครั้ง “เจ้าเป็นหญิงออกเรือนแล้วยังคิด ไปไล่ตามหนุ่มน้อยที่ใดอีก”
ชูเซียขยับรอยยิ้มซุกซน “แต่ว่า นั่นคือความใฝ่ฝันของข้า นะเจ้าคะ!”
หลี่เฉินเย่นนิ่งเงียบไป “เช่นนั้นข้าเป็นหนุ่มน้อยให้เจ้า เจ้า ก็ไล่ตามข้าแล้วกัน!”
ชูเซียปั้นสีหน้าจริงจังมองมายังเขา “แต่ว่าข้าไม่อยากเป็น สาวเลี้ยงแกะนี่เจ้าคะ”
หลี่เฉินเย่นยิ้มออกมาได้ในที่สุด “งั้นก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ข้าไปไล่ตามสาวเลี้ยงแกะคนอื่นก็แล้วกัน!”
ชูเซียยืนขึ้นเท้าสะเอวก่อนทำสีหน้าดุร้ายใส่เขา “หาก เป็นชั้นนั้นท่านก็จงระวังหูของตนไว้ให้ดี ข้าไม่ดึงหูท่านก็ แปลกแล้วล่ะ”
กล่าวจบใบหน้านางก็แดงซ่านทันที นางกล่าวออกไปเช่น นั้นไม่เท่ากับว่านางกำลังบอกเขาว่านางมีใจให้เขาหรือ เมื่อมาลองนึกดูให้ดีแล้วบางทีนางอาจตกหลุ่มรักเขามานานแล้วก็เป็นได้เพียงแต่นางไม่เคยกล้าที่จะยอมรับ ความรู้สึกตนเองเลยสักครั้ง
หลี่เฉินเย่นเองก็เขินอายอยู่เช่นกัน ใบหน้านางในยามนี้ ช่างน่าเอ็นดูและโง่งมในเวลาเดียวกัน ช่างทำให้ผู้พบเห็น รู้สึกรักและเอ็นดูยิ่งนัก มันทำให้เขารู้สึกว่าหากไม่ใช่ว่าขา ทั้งสองข้างของเขาใช้การไม่ได้แล้วล่ะก็ ชายหนุ่มก็คงเดิน ปรวบนางไว้ในอ้อมกอดของตนเป็นแน่
%3D เขาดึงมือของนางไว้ก่อนถามขึ้น “เจ้าดีขึ้นแล้วจริงหรือ”
ชูเซี่ยกระซิบตอบเขาเบาๆ “ดีขึ้นมากแล้ว” แม้ว่าแผลที่ขา ของนางจะยังไม่หาดี ทั้งยังอักเสบอยู่แต่ในเมื่อนางไม่รู้สึก เจ็บนางก็จะถือว่าหายดีแล้ว
“อื้อ!” เขายังคงกุมมือนางไว้เฉยๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
คำพูดก่อนหน้านี้ของนางทำให้เกิดบรรยากาศอึดอัด ระหว่างพวกเขาทั้งสองอย่างมาก เมื่อก่อนหลี่เฉินเย่นรัง เกียจที่จะอยู่ใกล้นางยิ่งนัก แต่ในยามนี้เขากลับอยากให้มี นางอยู่ข้างกายเขาตลอดไป
ชูเซียนึกถึงอ๋องเจิ้นหยวนและใต้เท้าหยางขึ้นมาได้ว่า พวกเขาทั้งคู่รอนางอยู่ข้างนอก หากแต่นางไม่รู้จะเอ่ยกับ หลี่เฉินเย่นเช่นไรดีจึงลุกขึ้นมาแล้วทำท่าทีร้อนใจ “ข้ามา หาท่านครั้งนี้ก็เพราะว่าท่านพ่อให้คำถามที่ยากมากๆแก่ ข้า”
หลี่เฉินเย่นนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองนาง “ท่านพ่อ โทษเจ้าที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้หรือ เขาทำให้เจ้าลำบากใจงั้น หรือ”
ชูเซี่ยรีบกล่าวปฏิเสธออกไปทันที “เปล่าเจ้าค่ะ ท่านพ่อ ไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของข้าแม้แต่น้อย ต้องโทษที่ ข้านี่!” นางเล่าเรื่องของท่านหมอซังกวนให้เขาฟังทั้งหมด ก่อนจะเอ่ยถึงปัญหาที่ฮ่องเต้ถามนาง
หลี่เฉินเย่นประหลาดใจยิ่งนัก “ท่านพ่อให้เจ้าอ่านฎีกา ของพระองค์นั้นหรือ” แม้จะไม่มีข้อห้ามได้ที่กล่าวห้าม สตรีข้องเกี่ยวกับงานของบุรุษทว่าก็เป็นธรรมเนียมที่ผู้คน ต่างรับรู้กัน ไม่ว่าจะเป็นนางกำนัล หรือหญิงสาวสามัญชน ก็ตาม อีกอย่างเหตุใดนางจึงขวัญกล้าถึงเพียงนี้ ถึงขั้นไป ขัดขวางรับสั่งของท่านพ่อเพียงเพื่อช่วยหมอหลวงท่าน หนึ่งเท่านั้น
แม้จะตกใจเพียงใดเขาก็ยังรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของนางอีกด้วย ท่านพ่อเข้มงวดมาตลอด พวกเขาซึ่ง เป็นลูกเองยามเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักต์ยังไม่กล้าแม้แต่จะ เอ่ยขัดพระองค์ด้วยซ้ำ
“ข้าก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดท่านพ่อจึงให้ข้าอ่านมัน ทั้ง ยังถามวิธีแก้ปัญหาของข้าอีกด้วย ข้าไม่เข้าใจแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่กล้าพูดจาส่งเดชออกไปจึงได้แต่มาขอร้องท่าน!”
พูดไปนางก็ดึงมือเขามาเหย่าไปมาเบาๆ ส่งเสียงออด อ้อนน่าสงสาร “ท่านจะช่วยข้าใช่หรือไม่”
“เจ้านี่นะ จากนี้ไปห้ามหาเรื่องใส่ตัวเองอีกเข้าใจหรือไม่” เขาเอ่ยอย่างระอา
ชูเซี่ยยกยิ้มประจบ ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้วเจ้าค่ะ!” นางลุก ขั้นยืน “ข้าให้อ๋องเจิ้นหยวนและใต้เท้าหยางรออยู่ข้างนอก พวกเราไปหารือกับพวกเขากันเถิด”
“เดี๋ยวก่อน!” หลี่เฉินเย่นหยุดนางไว้
“ทำไมหรือเจ้าคะ” นางหันกายกลับมามองเขา
“เจ้าช่วยข้าอาบน้ำแต่งกายให้เรียบร้อยหน่อยเถิด!”
ชูเซี่ยหน้าแดงวูบวาบไปหมด “อาบน้ำพอได้ ทว่าแต่งตัว ให้ท่าน เรียกขันที่ให้มาช่วยดีหรือไม่เจ้าคะ”
หลี่เฉินเย่นปรายตามองนาง “มีส่วนใดของข้าที่เจ้าไม่เคย เห็นหรือ”
ชูเซี่ยกัดริมฝีปากของตนเองเบาๆ นางรู้สึกอายเป็นอย่าง มาก เหตุการณ์ครั้งก่อนนางไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากเจ็บมี หรือจะมานั่งสำรวจตรวจตราเขา
นางจัดเตรียมเสื้อผ้าให้เขาวางเรียบร้อยแล้วใบหน้างาม ขึ้นสีแดงระเรื่อไปทั้งหน้ายามช่วยเขาถอดเสื้อผ้าออกจาก ร่าง สีหน้าของนางดูลำบากใจและกังวลอย่างยิ่ง “เจ้าไป เตรียมน้ำอุ่นเช็ดตัวให้ข้า”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างทันที “เช็ด…เช็ดตัวหรือ”
“รีบไป!” หลี่เฉินเย่นส่งเสียงหนักแน่นให้นาง
ชูเซี่ยรับคำก่อนจะรับหันกายไปเยกคนมาเตรียมน้ำ
นางรู้สึกอับอายิ่งนักยามที่ออกมาเห็นอ๋องเจิ้นหยวน และใต้เท้าหยางยืนอยู่หน้าตำหนัก ทั้งสองคนคงได้ยิน บทสนทนาของพวกนางก่อนหน้านี้หมดแล้ว แต่กลับแกล้ง ทำเป็นไม่ได้ยินเป็นแน่
“ท่านทั้งสองโปรดรอสักครู่ ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ” นางเอ่ย เบาๆอย่างเขินอาย
อ๋องเจิ้นหยวนเพียงเอ่ยรับคำนางเท่านั้น ไม่เป็นไรหรอก เป็นหว่างและใต้เท้าหยางรอได้ เจ้า เปลี่ยน…เสร็จแล้ว ค่อยส่งคนมาเรียกพวกเราก็แล้วกัน”
ชูเซี่ยเขินอายอย่างมากก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาวิ่งเข้ามา ภายในตำหนักอย่างรวดเร็ว
นางกำนัลจัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้เรียบร้อย ชูเซียเดินทาง หยุดตรงหน้าอ่างล้างหน้าอย่างลังเล “เช่นนั้น…
“ข้าต้องการให้เจ้าปรนนิบัติ!” ราวกับว่าเขาอ่านใจนาง ออกจึงสั่งให้นางกำนัลออกไปให้หมด
นางยืนอยู่หน้าอ่างไม้ ทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง ยามที่นางอยู่ โรงพยาบาลนางก็เคยเช็ดตัวให้คนไข้มาก่อน ไม่เป็นไรหรอก
นางบิดผ้าหมาดๆ ก่อนเดินมาตรงหน้าเขาเริ่มจากการ ช่วยทำความสะอาดเช็ดหน้าให้เขา นางอดไม่ได้ที่จะ แสดงท่าทางซุกซนออกมาโดยการนิ้วของนางเชยปลาย คางของเขาขึ้นมาพร้อมหยิกแก้มเบา “นายท่าน ข้าน้อย ปรนนิบัติท่านสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”
หลี่เฉินเย่นค่อยเปิดเปลือกตาขึ้นจ้องมองนางก่อนจะ ค่อยๆเอ่ยออกมา “ยังต้องปรับปรุง”
“กางแขนออก!” เมื่อนางบิดผ้าเสร็จก็เอ่ยสั่งเขา
หลี่เฉินเย่นก็เชื่อฟังอย่างยิ่ง ยอมกางแขนตามที่นางสั่ง แต่โดยดีแล้วจ้องมองนางเงียบๆ
นางเช็ดผ้าไปตามร่างกายของเขาอย่างช้าๆ ก่อนจะเอ่ย ยั่วเย้า “อ้า ชาตินี้ไม่เคยอาบน้ำหรืออย่างไรทำไมตัวเหม็น เช่นนี้”
หลี่เฉินเย่นก็เอ่ยตอบนางทันที ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้งั้นก็ ช่วยข้าอาบน้ำเสียเลยดีหรือไม่”
“อ้อ เมื่อดมดีๆแล้วไม่ใช่กลิ่นเหม็นหรอก กลิ่นหอมต่าง หากเล่า!” นางรีบเปลี่ยนคำพูดทันที