หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 107 ชีวิตแต่งงานใหม่
บทที่ 107 ชีวิตแต่งงานใหม่
Ink Stone_Romance
จวนคุณชายมีสวนผลไม้อยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีต้นผลไม้จำนวนมาก สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือต้นอิงเถา(เชอร์รี่)ซึ่งส่งกลิ่นหอมหวานชัดเจนสองสามต้นที่อยู่ด้านหลังสวน ผลอิงเถาสุกงอมแขวนอยู่บนกิ่งไม้ ราวกับโคมไฟสีแดงอันเล็กๆ ที่น่าดึงดูดใจ
สาวใช้คนใหม่สองคนที่เดินผ่านมา ไม่อาจกลั้นน้ำลายแห่งความอยาก จึงเลือกเก็บมาหนึ่งตะกร้า แน่นอนว่าทั้งสองไม่กล้าขโมยกิน พวกนางจึงคิดจะนำมันไปให้คุณชายและฮูหยินได้เป็นเกียรติ หลังจากเจ้านายได้ลิ้มรสแล้ว จึงค่อยให้เป็นรางวัลแก่พวกนาง
ทั้งสองเลือกผลที่แดงที่สุดและใหญ่ที่สุด นำมาล้างและใส่จานให้อวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉา
เวลานี้คุณชายกับฮูหยินควรจะตื่นแล้ว ทั้งสองเดินมาถึงเรือนชิงเฟิง ภายในเรือนเงียบสนิทราวกับไม่มีใครอยู่ ทั้งสองเพิ่งมาใหม่จึงไม่เข้าใจกฎของจวนคุณชาย และคิดว่าเหล่าคนรับใช้เหนื่อยหน่ายเกียจคร้าน พลางคิดในใจว่า จวนคุณชายใหญ่โตถึงเพียงนี้ ไยจึงควบคุมคนรับใช้เพียงไม่กี่คนไม่ได้? กระทั่งไม่รู้งานเท่าพวกนางสองคนที่มาใหม่ด้วยซ้ำ
พวกนางเป็นคนทำความสะอาดห้องหอ พวกนางรู้ว่าห้องหออยู่ที่ใด ลุงวั่นก็เพิ่งมา ประตูแง้มอยู่ ทั้งสองจึงคิดว่าคุณชายและฮูหยินตื่นนอนแล้ว พวกนางจึงรีบเปิดประตูเข้าไป ทว่าสิ่งที่มองเห็นคือหญิงสาวนอนอยู่บนเตียงสีแดงขนาดใหญ่ ร่างกายของนางถูกคลุมด้วยผ้านวมไหม แขนเรียวเหยียดออกมาจากผ้านวมห้อยลงมาข้างเตียง ผิวของนางเนียนละเอียดราวกับเครื่องเคลือบสีขาว เปล่งประกายชุ่มชื่นราวกับไข่มุก และมีชายผู้หนึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นที่อยู่ข้างๆ นาง
ชายผู้นั้น บุคลิกเยือกเย็น คล้ายกับว่ากำลังจ้องมองสตรีที่อยู่บนเตียงอยู่
เมื่อคล้ายว่าได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านหลัง ชายคนนั้นจึงหันมามองทั้งสองอย่างเย็นชา และตำหนิเสียงต่ำ “ออกไป!”
ทั้งสองคนสะดุ้งด้วยความตกใจ ผลอิงเถาสองผลกระเด็นหล่นลงมา ทว่าพวกนางกลับไม่สนใจหยิบขึ้นมาและรีบวิ่งหนีไป
“ยังจะแกล้งหลับอีกรึ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยอย่างเย็นชา ประโยคนี้ดูราวกับว่ากำลังเอ่ยกับอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นตื่นขึ้นมาเมื่อหนึ่งเค่อที่แล้ว แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเช้าตรู่ ก็ไม่รู้ว่าจะสู้หน้าเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างไร จึงได้แต่อดทนต่อความอับอายไปพลาง แกล้งทำหลับๆ ตื่นๆ ไปพลาง เธอตื่นขึ้นมาก็อยู่ในท่านี้แล้ว เพราะกลัวเยี่ยนจิ่วเฉาจะรู้จึงไม่กล้าขยับตัว แขนที่ห้อยลงมาข้างเตียงก็เริ่มจะชาแล้ว ทว่าเยี่ยนจิ่วเฉาก็ไม่ยอมไปไหน ยังคงนั่งบนรถเข็นและใช้สายตาประหัตประหารเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
คนที่แต่งงานคนใดจะขมขื่นใจเท่าเธอ…
เยี่ยนจิ่วเฉาเย้ยหยันอย่างเย็นชา “ข้าคิดว่าเจ้าคงอยากจะทำอีกครั้งกระมัง?”
“ไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นเอ่ยอย่างอ่อนแรง
มาถึงตอนนี้เธอไม่อาจแสร้งทำต่อไปได้แล้ว อวี๋หวั่นจึงขยับแขนข้างที่ชากลับขึ้นมาบนเตียงและดึงผ้านวมขึ้นคลุมโปง
เธอไม่ได้ตั้งใจ อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นครั้งแรกของเธอ งานแต่งงานครั้งแรก เข้าหอครั้งแรก ใครจะรู้ว่าระดูของตนใกล้จะมาแล้ว? เธอร้องครวญครางอย่างสุขสม เมื่อถึงคราวที่เขาจะกินอิ่ม ท้องของเธอก็พลันปวดขึ้นมา…
เธอยังจำสีหน้าของเขาในตอนนั้นได้…
อวี๋หวั่นปิดใบหน้าของเธอ หากรู้แต่แรกก็คงจะเชื่อฟัง ไม่ยั่วเย้าเขาและนอนหลับไปแต่โดยดี
ตอนนี้จบแล้ว ตนเองเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้แล้วแต่กลับปล่อยให้เขาหิวโหย กินไม่อิ่มท้องแม้เพียงครึ่งหนึ่ง เธอยังพักจิบชาหลังจากนั้นได้อย่างไร้ความปรานี เปลือกตาเคลื่อนปิดลง และหลับไปโดยไม่ได้ปลอบโยนสามีที่น่าสงสารของเธอแม้แต่น้อย
แต่จะว่าไป เรื่องนี้จะโทษเธอทั้งหมดก็ไม่ได้ เธอเหนื่อยมามากแล้ว จริงไหม? ใครให้เขาทำ…ทำนานขนาดนั้นแล้วยังไม่เสร็จละ…
อวี๋หวั่นเปิดช่องว่างใต้ผ้าห่มอย่างเงียบๆ เพื่อเหลือบมองส่วนที่ไม่อาจบรรยายได้ของตนเอง พลันดึงผ้านวมกระชับแน่นด้วยแก้มที่ร้อนผ่าว
อวี๋หวั่นรู้ตัวว่าผิด จึงคิดจะใช้ความน่าสงสารกลบเกลื่อน เธอยืดหัวเล็กๆ กลมๆ ออกจากผ้านวม พลางเอ่ยเสียงเบา “จริงๆ แล้วข้าก็ทรมานมากเลย รู้หรือไม่เจ้าคะ? ข้าเจ็บเจียนตายอยู่แล้ว”
“เจ็บที่ใด?”
“เจ็บเอวเจ้าค่ะ”
เยี่ยนจิ่วเฉา “…..!!!”
เมื่อลุงวั่นนำน้ำร้อนเข้ามา คู่บ่าวสาวก็ล้างหน้าแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ตามธรรมเนียมในท้องถิ่น เช้าวันแรกหลังจากเข้าหอ เจ้าสาวจะต้องกินแกงซื่อสี่ที่ทำจากเม็ดบัว ไป่เหอ(ลิลลี่) ถั่วแดงและอินทผาลัม มีความหมายว่านับจากวันนี้เป็นต้นไป เธอจะมีความรักที่หวานชื่นกับสามี และให้กำเนิดบุตรชายโดยเร็ว หวานชื่นหรือไม่ อวี๋หวั่นไม่ทราบ แต่เธอมีบุตรชายแล้ว แกงซื่อสี่ชามนี้…เธอทานหมดภายในคำเดียว เพราะมันอร่อยมากจริงๆ!
เยี่ยนจิ่วเฉามองเธออย่างเยือกเย็น “เจ้ายังกินลงอีกรึ”
อวี๋หวั่นเอ่ย “ใช้พลังเยอะไปน่ะเจ้าค่ะ”
เยี่ยนจิ่วเฉาที่ถูกทิ่มแทงหัวใจอีกครั้ง “…”
เมื่อตระหนักได้ว่าเอ่ยสิ่งที่ไม่ควร อวี๋หวั่นก็รีบกระแอมและเอ่ยว่า “ท่านรู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ? สบายดีขึ้นแล้วหรือไม่?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามกลับ
เขายังนั่งอยู่บนรถเข็น ดูเหมือนว่าพิษยังไม่ได้ถูกถอนออกไปอย่างสมบูรณ์ แต่คิดแล้วก็ไม่แปลก คำสาปพิษนี้อยู่กับเขามายี่สิบปีแล้ว พวกเขาเพิ่งลองเพียงครั้งเดียว อีกอย่างก็ยังไม่ได้ทำให้เขาถึงอกถึงใจ…
อวี๋หวั่นเอ่ยด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยน “เช่นนั้นรอข้าหายดีแล้ว เรามาลองกันใหม่นะเจ้าคะ”
เยี่ยนจิ่วเฉาหน้าแดง “ใครอยากลองกับเจ้ากัน!”
เอ่ยจบ เขาก็เข็นรถเข็นไปที่ห้องตำรา
อวี๋หวั่นมองผลอิงเถาสดใสเปล่งปลั่งที่วางอยู่บนโต๊ะ ก็อดหยิบขึ้นมาชิมสักสองสามผลไม่ได้ ผลอิงเถาสดมาก เนื้อผลไม้เต็มคำเข้มข้น ชุ่มฉ่ำด้วยรสเปรี้ยวหวาน อร่อยกว่าที่เธอเคยกินในชาติที่แล้วเสียอีก ภูเขาด้านหลังหมู่บ้านเหลียนฮวาก็มีต้นอิงเถา แต่เป็นอิงเถาป่า รสชาติไม่ดีเท่าลูกที่เธอกินอยู่ตอนนี้ อวี๋หวั่นเหลือไว้ให้บุตรชายครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งก็ให้คนนำไปให้เยี่ยนจิ่วเฉา
“คุณชาย” อิ่งสือซันเดินเข้ามา
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวว่า “ข้าอยากอยู่คนเดียว”
อิ่งสือซันมองเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยสายตาซับซ้อน จากนั้นก็ถอยออกไปอย่างเงียบๆ
ดูเหมือนว่าอาการของคุณชายจะไม่ดีขึ้น เห็นได้ชัดว่าราชันสัตว์พิษของฮูหยินไร้ผลกับคุณชาย ผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ได้เป็นที่แปลกใจ ปรมาจารย์พิษของหนานเจียงผู้นั้นคุยโวไว้มาก แต่จะสามารถแก้ได้หรือไม่ เขาเองก็ยังไม่เคยลอง
อิ่งสือซันรู้สึกเศร้าแทนคุณชาย แต่ก่อนไม่อยากมีชีวิตอยู่ จึงปล่อยให้ร่างกายตัวเองอ่อนแอลง มายามนี้อยากมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุข กลับหาทางรักษามิได้
“คุณชายอยู่ที่ใดรึ?” ลุงวั่นเดินมาพร้อมกับจานอิงเถา
อิ่งสือซันพยักหน้าเล็กน้อย มองอิงเถาในมือของเขาและเอ่ยว่า “คุณชายอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวขอรับ”
ลุงวั่นผงะไปครู่หนึ่งและเข้าใจในทันที พลันเอ่ยอย่างผิดหวัง “ไม่มีทางแก้หรือนี่…”
ลุงวั่นไม่เอ่ยพร่ำเพรื่อ เขาวางอิงเถาลงบนโต๊ะ และบอกว่าฮูหยินให้นำมาให้ จากนั้นก็ไปทำงานของตนเองต่อ
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่อาจรับรู้รสชาติ แต่เนื่องจากอวี๋หวั่นนำมาให้ เขาจึงชิมสักลูก เขาบังเอิญหยิบผลที่ยังไม่สุกงอมดีเข้าปาก น้ำจากผลอิงเถาที่ออกมาในปากนั้นเย็นฉ่ำ รสเปรี้ยวติดที่ปลายลิ้น เขาก็พลันขมวดคิ้ว
ไม่ได้กินเปรี้ยวมาหลายปีแล้ว…
เดี๋ยวนะ
เปรี้ยว?
เยี่ยนจิ่วเฉากะพริบตาอย่างไม่อยากเชื่อ เขาคายเมล็ดออกมา แล้วหยิบมาอีกลูกหนึ่ง ครานี้เป็นผลที่รสชาติหวานบริสุทธิ์ แต่เขาไม่รับรู้รสชาติ จึงเปลี่ยนไปหยิบลูกครึ่งแดงครึ่งเหลืองอีกครั้ง ลิ้นจึงสัมผัสถึงรสเปรี้ยวเล็กน้อย
เขาลิ้มรสความเปรี้ยวของผลไม้ได้แล้ว เขา…เขาเริ่มดีขึ้น
อวี๋หวั่นยังคงไม่รับรู้ข่าวดีอันยิ่งใหญ่นี้ ลุงวั่นกำลังพาเธอไปที่โถงบุปผาที่อยู่หน้าเรือน โดยทั่วไปเจ้าสาวควรยกน้ำชายามเช้าให้กับพ่อสามีในวันแรกหลังแต่งงาน ทว่าเยี่ยนอ๋องจากไปแล้ว ซั่งกวนเยี่ยนก็แต่งงานใหม่ ขั้นตอนนี้จึงต้องข้ามไป
จวนคุณชายมีนายหญิงเพิ่มเข้ามา ตามกฎแล้ว คนรับใช้ทุกคนต้องมาคำนับเธอ
อวี๋หวั่นมาที่จวนคุณชายกี่ครั้ง มากที่สุดก็แค่เรือนของเยี่ยนจิ่วเฉา เพื่อช่วยให้เธอคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมมากขึ้น ลุงวั่นจึงพาเธอเดินไปรอบๆ จวน
เรื่องอาการปวดเอวที่อวี๋หวั่นบอกกับเยี่ยนจิ่วเฉานั้นเป็นเรื่องจริง ใครใช้ให้ขาของเขาขยับไม่ได้เล่า เอวของเธอแทบจะหักอยู่แล้ว รู้หรือไม่?
“ฮูหยินอยากหยุดพักหรือไม่ขอรับ?” ลุงวั่นสังเกตเห็นอวี๋หวั่นจับเอวของตนเองไว้อยู่
อวี๋หวั่นไม่อวดดีจึงพยักหน้ารับ
ลุงวั่นให้คนยกหวากันมา หวากันคือเสาไม้ไผ่สองท่อนที่ด้านบนมีเก้าอี้ตัวหนึ่ง ซึ่งจะใช้บุรุษร่างกำยำสองคนช่วยกันแบก
อวี๋หวั่นเอ่ยในใจ ไยไม่บอกว่ามีสิ่งนี้ก่อนหน้านี้? เธอเหนื่อยจะตายอยู่แล้วรู้ไหม?
อวี๋หวั่นนั่งหวากันไปยังโถงบุปผา
รากฐานของเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ที่จวนเยี่ยนอ๋อง ในทางกลับกันจำนวนคนในครอบครัวของจวนคุณชายมีเยอะมาก ผู้จัดการคือลุงวั่น คนถัดไปก็คือนายบัญชี รองผู้จัดการชั้นนอก ซึ่งแบ่งเป็นคนแซ่อู๋กับคนแซ่หู แล้วก็มีสาวใช้ แล้วยังมีฝางมามาซึ่งเป็นมามาผู้ดูแลของเรือนชิงเฟิง หลี่มามา หวังมามาและจางมามาที่เป็นคนดูแลคุณชายน้อยทั้งสาม คนเหล่านี้อวี๋หวั่นได้พบหมดแล้ว คนที่ไม่คุ้นเคยคือสาวใช้ที่มาใหม่สองคน คนที่มีหน้ากลมนามว่าเถาเอ๋อร์ ส่วนคนที่มีหน้าแหลมนามว่าหลีเอ๋อร์ ก็คือผีเคราะห์ร้ายตัวน้อยที่ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาไล่ตะเพิดออกไป หลังจากบุกเข้าไปในห้องหอเมื่อเช้านี้ด้วยความเข้าใจผิด
ทั้งสองตกใจกลัวเยี่ยนจิ่วเฉา ในยามนี้ยังไม่กลับคืนสติ ใบหน้าเล็กๆ ซีดจนเป็นสีขาว
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ค่อยใช้งานสาวใช้มากนัก พวกนางถูกซื้อมาเพื่อมาดูแลอวี๋หวั่น เถาเอ๋อร์อายุสิบสาม หลีเอ๋อร์อายุสิบสี่ ลักษณะค่อนข้างดูสะอาดสะอ้าน ในด้านการทำงานก็ไม่เลว ทว่าขี้ขลาดไม่อาจทนต่อความหวาดกลัวได้
ลุงวั่นอธิบาย “เวลาเร่งรีบไม่อาจค่อยๆ เลือกได้ ฮูหยินใช้ไปก่อนนะขอรับ คราหน้าข้าจะเลือกอันที่ดูดีกว่านี้มาให้”
อวี๋หวั่นมิได้คุยโวว่า ดูดีหรือไม่มิได้สำคัญ จิตใจซื่อสัตย์จงรักภักดีก็พอแล้ว อะไรพวกนั้น ไม่ว่าเธอจะหยิ่งยโสเพียงใดก็ยังรู้ตัวเองดี ช่องว่างระหว่างราชวงศ์กับสามัญชนไม่อาจเติมให้เต็มได้ด้วยการใช้ชีวิตเพียงไม่กี่ปีของเธอ เธอเป็นคนครึ่งๆ กลางๆ หากคนรับใช้ข้างกายไม่รู้เรื่องอะไรเช่นเดียวกับเธอ หน้าตาของจวนคุณชายก็คงไม่จำเป็นแล้ว
…………………………………………