หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 108 แต่งงานใหม่ เข้าวัง
บทที่ 108 แต่งงานใหม่ เข้าวัง
Ink Stone_Romance
ลุงวั่นพึงพอใจกับปฏิกิริยาของอวี๋หวั่นมาก แม้เขาเพิ่งได้คุ้นเคยกับอวี๋หวั่นในช่วงนี้ก็ตาม แต่เขาก็ได้เข้าใจเกี่ยวกับตัวอวี๋หวั่นในระดับที่ลึกซึ้ง เธอไม่ใช่คนที่น่าละอายเกินกว่าจะพาไปให้ใครรู้จัก แม้จะเติบโตในชนบท ทว่ารูปลักษณ์กิริยาท่าทางกลับไม่ได้ด้อยไปกว่าบุตรีของตระกูลใหญ่ เพียงแต่มีบางสิ่งที่ไม่อาจมองออกได้จากภายนอก มิใช่เรื่องง่ายที่หญิงแต่งงานใหม่ในราชวงศ์จะทำได้เช่นนี้ เนื้อความที่หลบซ่อนอยู่ภายใน บางครั้งก็สำคัญกว่าอารมณ์ที่แสดงออกมา
เธอไม่ปฏิเสธการจัดเตรียมของเขา แสดงให้เห็นว่าเธอเองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง และการสำนึกตัวเช่นนี้ก็นับว่าหาได้ยากแล้ว
ตั้งแต่เมื่อก่อน ลุงวั่นก็เอ็นดูเธออยู่แล้วเพราะเห็นเธอเป็นเหมือนลูกหลาน ทว่ายามนี้เขากลับรู้สึกว่าบางทีเธออาจมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นภรรยาของคุณชาย
อวี๋หวั่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยต่อ “ข้าเพิ่งมาใหม่ มีหลายอย่างที่ข้ายังมิเข้าใจ ต้องขอคำแนะนำจากลุงวั่นด้วย หากข้าทำสิ่งใดผิดพลาดไป ลุงวั่นต้องเตือนข้านะ”
ลุงวั่นตอบ “ฮูหยินกล่าวเกินไปแล้ว”
อวี๋หวั่นมองไปที่ลุงวั่นแล้วเอ่ยว่า “หากจำเป็นต้องเรียนรู้กฎ รบกวนลุงวั่นช่วยสอนข้าด้วย”
ลุงวั่นไม่นึกมาก่อนว่าเธอจะคิดถึงเรื่องนี้ ลุงวั่นมองเข้าไปในดวงตาของเธออย่างกล้าหาญ และเห็นว่ามีความจริงใจอยู่ในนั้น ไม่เหมือนการจงใจอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อเสแสร้ง ลุงวั่นอดจะรู้สึกชื่นชมเธอมากขึ้นไม่ได้ ตอนแรกเขาให้เกียรติเธอเพราะคุณชายและคุณชายน้อย คุณชายและคุณชายน้อยต่างดูสูงส่งและโดดเดี่ยว อวี๋หวั่นเป็นคนแรกที่เข้าใกล้พวกเขาได้ แต่ลุงวั่นไม่เคยคาดหวังว่าอวี๋หวั่นจะได้อยู่ในตำแหน่งฮูหยิน แม้ว่าคุณชายจะแต่งงานกับเธอ แต่ในความคิดของเขา เธอก็เป็นเพียงสตรีอีกผู้หนึ่งที่ต้องการให้พวกเขาดูแล
ทว่าตอนนี้ จู่ๆ เขาก็ไม่รู้สึกเช่นนั้น
แน่นอนว่าการสนใจเป็นเรื่องดี แต่ความสามารถเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอก ว่าเธอสามารถโอบอุ้มจวนเยี่ยนอ๋องทั้งหมดได้หรือไม่
ลุงวั่นกล่าว “ในเมื่อฮูหยินสนใจ คราหน้าข้าจะเลือกกูกูผู้ชี้แนะที่เหมาะสมมาให้ฮูหยิน” หลังจากนี้ฮูหยินต้องพบไปวงศาคณาญาติ มารยาทในราชวงศ์เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้
หลังจากนั้น ลุงวั่นก็พาเธอไปที่ห้องครัว โกดัง โถงบุปผา สวนผลไม้ บ่อปลา และอีกหลายที่ หลังจากอวี๋หวั่นได้เห็น เธอก็ให้ซองสีแดงกับทุกคนที่พบ นี่เป็นสิ่งที่ไป๋ถังบอกเธอมา
ทุกคนได้รับซองแดงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ ทว่าเมื่อเห็นจำนวนเงินด้านในกลับต้องตกใจ เดิมทีคิดว่าหญิงจากชนบทคงไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินไป แต่ไหนเลยจะรู้ว่าซองแดงที่เล็กที่สุดยังมีถึงสิบตำลึง นี่ไม่ใช่การตบรางวัล แต่เป็นการละลายทรัพย์กระมัง…
สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือเธอไม่ได้วางอำนาจกดข่มผู้คน พวกเขาเคยทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นต่อไป เธอไม่ได้กุมอำนาจไว้ในมือ และเธอก็ไม่ได้แต่งตั้งหญิงรับใช้ไว้ติดตามทุกที่ในจวน
สิ่งนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ในครอบครัวอื่นๆ
ในไม่ช้า ทุกคนก็รู้ว่าฮูหยินไม่มีหญิงรับใช้ติดตาม เธอแต่งงานเข้ามาที่นี่คนเดียว อนุภรรยาในตระกูลเล็กๆ ยังไม่ยากจนข้นแค้นถึงเพียงนี้
“คนในชนบท สินเดิมก็มีไม่เท่าไร จะเอาหญิงรับใช้ติดตามมาจากที่ใดกัน?”
“ใช่ไหมเล่า? สินเดิมเหล่านั้นก็ยังเป็นสินสอดที่เรายกไปให้”
การคืนส่วนหนึ่งของสินสอดให้เป็นสินเดิมเป็นเรื่องปกติของสามัญชน แต่ไม่ใช่สำหรับครอบครัวขุนนาง ยามที่บุตรีของตระกูลใหญ่โตมีหน้ามีตาออกเรือน ยิ่งต้องมีสินเดิมมากกว่าใคร หากสินเดิมของฝ่ายภรรยามีมาก ไม่เพียงแต่ครอบครัวของฝ่ายสามีจะมีความมั่นใจ แต่พวกเขายังมีหน้ามีตาด้วย ไม่มีการให้คนมาดูหมิ่นง่ายๆ เช่นอวี๋หวั่น
หลังพุ่มไม้ อวี๋หวั่นกำลังพาสาวใช้ใหม่ทั้งสองกลับไปที่เรือนชิงเฟิง แต่ก็บังเอิญได้ยินคำเอ่ยของหญิงรับใช้สองคนที่กำลังกวาดพื้นอยู่พอดี
เถาเอ๋อร์และหลีเอ๋อร์มองอวี๋หวั่นอย่างระมัดระวัง ถูกคนวิจารณ์เพียงนี้ ฮูหยินต้องโกรธเป็นแน่ ป้าสองคนนี้โชคร้ายเสียแล้ว แต่ไหนเลยจะรู้ว่าอวี๋หวั่นกลับไม่ได้สะทกสะท้าน และเดินผ่านสวนไปเพียงเท่านั้น
ทั้งสองเดินตามอวี๋หวั่นพลางมองหน้ากันและกัน
เท้าของอวี๋หวั่นหยุดชะงัก “พวกเจ้าต้องการถามข้าใช่หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงไม่ลงโทษพวกนาง?”
ทั้งสองไม่กล้าเอ่ย
อวี๋หวั่นยิ้มจางๆ “พวกนางเอ่ยถูกนี่นา ข้าไม่มีสินเดิมอะไรจริงๆ”
“หือ?” ทั้งสองไม่คิดว่าอวี๋หวั่นจะตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้
อวี๋หวั่นเอ่ยอย่างสบายๆ “ในเมื่อมันเป็นความจริง ก็ไม่มีสิ่งใดให้ลงโทษ ไปกันเถิด พวกเด็กๆ คงจะตื่นกันแล้ว”
อวี๋หวั่นเดินไปข้างหน้า ปล่อยให้สาวใช้ทั้งสองตะลึงปากอ้าตาค้าง
เถาเอ๋อร์มองเงาหลังของอวี๋หวั่นและพึมพำ “ฮูหยิน นาง…”
“เป็นคนที่แปลกมาก ใช่ไหม?” หลีเอ๋อร์ที่อายุมากกว่าหนึ่งปีเกิดความคิดบางอย่าง หากเป็นคนธรรมดาคงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อเจอเรื่องแบบนี้ ทว่าฮูหยินกลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย “ไม่เหมือนกับผู้สูงศักดิ์ที่เราเคยเจอสักนิด”
แต่ไม่เหมือนเพราะแสร้งทำหรือไม่ก็ยังเอ่ยยากอยู่
หลีเอ๋อร์กล่าวว่า “ต่อไปเราต้องทำอะไรอย่างระมัดระวังให้มากขึ้นแล้ว”
เถาเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “เข้าใจแล้ว น้องหลีเอ๋อร์”
เรื่องที่เกิดขึ้นในสวนไม่รอดพ้นสายตาเยี่ยนจิ่วเฉา คนของอวี๋หวั่นยังมาไม่ถึงเรือนชิงเฟิง คนรับใช้ปากเสียทั้งสองถูกลุงวั่นขับไล่ออกไปแล้ว ถึงตอนนี้ ไม่มีผู้ใดในจวนกล้าวิพากษ์วิจารณ์ฮูหยินลับหลังอีก
ขณะนี้ อวี๋หวั่นยังไม่รู้เรื่องนี้ แต่เธอรู้สึกว่าคนรับใช้ในเรือนชิงเฟิงดูเคารพเธอมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ กระทั่งยังทำความเคารพเธอบ่อยครั้งขึ้นด้วย หรือเพราะว่าตนไปพบกับผู้จัดการของจวนมา จึงนับว่าผ่านบททดสอบแล้ว พวกเขาถึงได้นอบน้อมต่อเธอมากขึ้น?
อวี๋หวั่นเลิกคิ้วและเดินเข้าไปในห้อง
เด็กน้อยทั้งสามตื่นนอนแล้วจริงๆ พวกเขาถูกบิดากดตัวให้นั่งกินอิงเถาบนเก้าอี้ เยี่ยนจิ่วเฉาเลือกผลสีแดงทั้งหมดออกมาให้พวกเขา ส่วนตนเองก็กินลูกครึ่งเหลืองครึ่งแดงไป อวี๋หวั่นเห็นผลอิงเถาที่ยังไม่สุกเหล่านั้นก็พลันรู้สึกเปรี้ยวเข็ดฟัน ทว่าเยี่ยนจิ่วเฉากลับกินอย่างออกรส
หลังจากมื้อกลางวัน ขันทีวังก็มาพบ
เขามารับอวี๋หวั่นเข้าวัง เจ้าสาวของราชวงศ์ต้องไปคารวะฮองเฮาที่วังหลวงหลังงานแต่งงาน เป็นกฎที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เยี่ยนจิ่วเฉาไม่อาจปฏิเสธแทนอวี๋หวั่นได้ มิฉะนั้นจะเป็นการทำร้ายเธอ แต่เขาก็ยังเป็นห่วงร่างกายของอวี๋หวั่น จึงไม่ปล่อยให้เธอออกเดินทางทั้งที่ยังนอนไม่อิ่ม เขาให้คนส่งสารไปถึงวังหลวง ว่าตนเองตกจากเตียงขาหักเมื่อเช้า ภรรยาของเขาร้องไห้ทั้งน้ำตาและบอกว่าอย่างไรก็จะไม่ปล่อยเขาไว้คนเดียว รอให้เขาหายดีแล้วจะไปเข้าวังพร้อมกับนาง
มุมปากขันทีวังกระตุก คนเสียสติเช่นเขาเท่านั้นถึงจะหาข้ออ้างที่ไร้ยางอายเช่นนี้ได้…
ร้องไห้ทั้งน้ำตา? โอ้ ดูใบหน้าที่แดงระเรื่อของนางอวี๋ ดูเหมือนผ่านการร้องไห้มารึ?
มิใช่แค่หนุ่มสาวที่หมกมุ่นกับเรื่องในมุ้งหรอกรึ? ใครจะดูไม่ออกกัน!
ขันทีวังเชื่อว่าเยี่ยนจิ่วเฉาโกหก ดังนั้นเมื่อเยี่ยนจิ่วเฉานั่งรถเข็นทำทีว่าเดินไม่ได้ ขันทีวังก็หัวเราะออกมา เสแสร้ง ยังจะทำเสแสร้งอีก!
“ขันทีวังดูจะไม่เชื่อว่าขาของท่านเดินไม่ได้ นี่ถือเป็นการจับพลัดจับผลูตีถูกที่ เรื่องที่ท่านติดพิษจะให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้ มิเช่นนั้นคนร้ายเหล่านั้นคงไม่นั่งเฉยๆ และหาทางเล่นงานเป็นแน่ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการถอนพิษ อย่าให้ใครมาวุ่นวายมากนักจะดีกว่า” อวี๋หวั่นกระซิบข้างหูเยี่ยนจิ่วเฉาในขณะที่เธอเข็นรถเข็นออกไป
เธอไม่ต้องการให้ขันทีวังได้ยิน จึงเอ่ยอย่างแนบชิดกับเยี่ยนจิ่วเฉา ลมหายใจอุ่นๆ ลูบไล้ใบหูของเขา สิ่งที่เธอกล่าวก่อนหน้า เยี่ยนจิ่วเฉาฟังจับใจความไม่ได้ เขาตื่นตระหนกกับใบหูที่ร้อนผ่าว จนถึงประโยคสุดท้าย คำว่า ‘ถอนพิษ’ เสมือนกุญแจไขปอดกลอนประตูต้องห้ามบางอย่าง เช้าตรู่ที่คล้ายจะสว่างแต่ไม่สว่าง ท่าทางหอบหายใจของเธอที่อยู่บนร่างของเขา…ทันใดนั้นก็แจ่มชัดขึ้นในห้วงความคิด เขาหายใจอย่างร้อนรุ่ม…
“ไอ้หยา ไม่ดีแล้ว! คุณชายเลือดไหลแล้ว!”
เถาเอ๋อร์ตะโกน
วันแรกหลังจากแต่งงาน คุณชายเยี่ยนผู้ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลกเลือดกำเดาไหลทะลัก ต่อหน้าต่อตาผู้คน…
อวี๋หวั่น “…”
ขันทีวัง “…”
ทุกคน “…”
เยี่ยนจิ่วเฉาเปลี่ยนเสื้อผ้าไปเข้าวังหลังจากนั้นเกือบครึ่งชั่วยาม ครานี้ไม่มีอุบัติเหตุใดเกิดขึ้นอีก
หลังจากเจ้าสาวของราชวงศ์ได้เข้าพบฮองเฮาแล้ว จึงจะได้รับตราประทับสีทองของภรรยาราชนิกูล แม้ว่าตราประทับสีทองนี้จะไม่มีอำนาจใด ทว่าสำหรับอวี๋หวั่นซึ่งเป็นสตรีที่เยี่ยนจิ่วเฉาแต่งงานด้วยแบบไม่เป็นทางการ ก็จะกลายเป็นพระชายาที่ราชวงศ์ต้าโจวยอมรับ
ฮองเฮาไม่เป็นที่โปรดปรานมานานหลายปี อำนาจในวังหลังทั้งหกตกอยู่ในมือของสวี่เสียนเฟยนานแล้ว แต่การรับรองภรรยาราชนิกูลยังคงต้องให้ฮองเฮารับหน้าที่จัดการอยู่
แม้ไม่ได้มีอำนาจใด ส่วนใหญ่เป็นเพียงการเดินผ่านฉากฉากหนึ่งเท่านั้น อย่างไรเสียการแต่งงานของราชวงศ์ คนมากกว่าครึ่งต่างพยักหน้า ต่อให้ฮองเฮาไม่มอบตราประทับสีทองให้ ก็คงมิได้มีปัญหากระมัง?
“อีกครู่จะได้พบฮองเฮา มิต้องกลัว เพียงแค่โค้งศีรษะ คำนับฮองเฮา ฮองเฮาถามอย่างไรก็ตอบอย่างนั้น อย่าเอ่ยมากเกินไป หากฮองเฮาจะตบรางวัลให้ ก็อย่าได้ปฏิเสธ” ขันทีวังเตือนอย่างหวังดี
อวี๋หวั่นพยักหน้า
ขันทีวังมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่อยู่ด้านข้างอีกครั้ง “คุณชายโปรดติดตามกระหม่อมไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเถิด”
เยี่ยนจิ่วเฉามองอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านไปเถิด”
เยี่ยนจิ่วเฉาพาเถาเอ๋อร์ที่หน้าซีดเผือดออกไป ทิ้งไว้เพียงหลีเอ๋อร์ที่ดูสงบนิ่งมากกว่า ให้ติดตามอวี๋หวั่นไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักเฟิ่งชี
…………………………………………