หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 110 หุยเหมิน
หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 110 หุยเหมิน
บทที่ 110 หุยเหมิน
Ink Stone_Romance
ค่ำคืนอันเงียบสงัด คนที่นอนหมอนถัดไปหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งจะคุยกันเรื่องตี้จีแห่งอาณาจักรหนานจ้าว แล้วจู่ๆ เสียงของอวี๋หวั่นก็เบาลง เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาหันไปมอง ก็เห็นว่าอวี๋หวั่นนอนหลับสนิทพร้อมกับตะแคงหันมาหาเขาเสียแล้ว
เตียงที่ว่างเปล่าราวกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกรำคาญ
เยี่ยนจิ่วเฉาผู้คุ้นเคยกับการอยู่อย่างสงบเงียบ ค่อยๆ หลับตาลงและเข้าสู่นิทราด้วยความสบายใจ
วันรุ่งขึ้น อวี๋หวั่นไม่ได้ไปที่ใด อยู่แต่ในบ้าน เรียนรู้กฎระเบียบกับลุงวั่น
ไม่นานก็มาถึงวันหุยเหมิน[1] อวี๋หวั่นตื่นแต่เช้าตรู่ แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเยี่ยนจิ่วเฉาตื่นแล้ว แปลกจริง คุณชายผู้รากมากดีเช่นเขา มิใช่ว่านอนจนดวงตะวันโด่งฟ้า ไม่เรียกไม่ตื่นหรอกรึ? ความจริงแล้ว ตั้งแต่แต่งงานกันมา เธอก็ยังไม่เคยเห็นเขานอนอยู่ข้างๆ เธอเลยสักครั้ง ไม่ว่าเธอจะตื่นเช้าเพียงใด เขาก็ตื่นเช้ากว่าเธอเสมอ
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้า อวี๋หวั่นก็มานั่งวาดคิ้วอยู่หน้ากระจกทองเหลือง คิ้วของเธอหนาได้รูปอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องวาด ทว่าลุงวั่นซื้อหมึกเขียนคิ้วมาแล้ว หากไม่ใช้คงน่าเสียดาย เมื่อเธอหันศีรษะกลับไป ก็เห็นเยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่ข้างหลัง
เธอหันตัวกลับมาและยื่นหมึกเขียนคิ้วให้เขา “ท่านอยากช่วยข้าวาดคิ้วหรือไม่?”
ใครๆ ก็บอกว่าบุรุษสมัยโบราณจะเขียนคิ้วให้กับสตรีที่เขารักมากเท่านั้นมิใช่หรือ?
เช่นนั้น นี่ก็น่าจะเป็นเรื่องที่โรแมนติกมากเลย?
เยี่ยนจิ่วเฉาถือใบรายการของขวัญสำหรับหุยเหมินไว้ในมือ สายตาของเขาเบนออกจากใบรายการ มาตกกระทบบนร่างของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นสวมชุดที่แม่นางเมิ่งกับลูกศิษย์ทำขึ้นในชั่วข้ามคืน กระโปรงผ้าโปร่งแขนกว้างสีแดงสลับขาว ช่วงเอวรัดแน่น ปลายแขนเสื้อกว้างใหญ่ สาบเสื้อทับกันในแนวทแยง เอวเรียวคาดด้วยเข็มขัดสีหยกแน่นหนา ทับด้วยเสื้อคลุมบางเบา เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าบอบบาง ด้านล่างกระดูกไหปลาร้า ผ้ารัดอกสีขาวที่คล้ายกับจะพันไม่อยู่ ผ่านไปไม่กี่เดือน ก็โตขนาดนี้แล้ว…
เยี่ยนจิ่วเฉากระอักกระอ่วน จับที่เท้าแขนของรถเข็น แล้วหมุมตัวกลับ “วาดเอง!”
อวี๋หวั่นเก็บหมึกเขียนคิ้วกลับคืน “วาดเองก็วาดเอง ต้องดุไปไยเล่า?”
หน้าอกของเยี่ยนจิ่วเฉาเลื่อนขึ้นลงอย่างรุนแรง พลันผลักรถเข็นออกไป
หลังจากอวี๋หวั่นวาดคิ้วเสร็จแล้ว เด็กๆ ก็ตื่นแล้วเช่นกัน เมื่อพวกเขาลืมตาแล้วเห็นอวี๋หวั่นก็รู้สึกมีความสุขมาก ทั้งสามคลานลงจากเตียงด้วยร่างอันเปลือยเปล่า มาออดอ้อนขอจุมพิตใหญ่ๆ คนละทีจากอวี๋หวั่น
หลังอาหารเช้า ทั้งหมดก็ขึ้นรถม้ากลับไปยังหมู่บ้าน
สกุลอวี๋รู้ว่าวันนี้อวี๋หวั่นจะกลับมา จึงรีบตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง ตอนนี้โรงงานได้ย้ายไปที่ใหม่แล้ว จึงสามารถต้อนรับแขกที่บ้านได้โดยไม่ต้องหยุดงาน
อวี๋เฟิงและอวี๋ซงไปซื้ออาหารในตำบล ขณะที่เถี่ยตั้นน้อยยืนอยู่บนทางเดินนอกทางเข้าหมู่บ้าน มองไปยังเมืองหลวงด้วยสายตาที่เฝ้ารอ
สือโถวใช้กิ่งไม้สะกิดมดที่อยู่บนพื้น และถามว่า “พี่สาวเจ้าจะกลับมาได้หรือ? แม่ข้าบอกว่าเมืองหลวงอยู่ห่างไกลนัก!”
เถี่ยตั้นน้อยเท้าเอวตอบ “พี่สาวของข้าต้องกลับมาแน่! นางสัญญากับข้าไว้แล้ว!”
เถี่ยตั้นน้อยมาเร็วเกินไป หลังจากรอมาเนิ่นนาน ก็ยังไม่เห็นรถม้าของจวนคุณชาย รถม้าของหอจุ้ยเซียนผ่านไปสองคันแล้ว ทำให้เถี่ยตั้นน้อยรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก หลังจากนั้นอีกชั่วยาม ในที่สุดก็มองเห็นเงารถม้าคันที่คุ้นเคย เถี่ยตั้นน้อยกลับทำท่าทางกระฟัดกระเฟียด และวิ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมา
งานแต่งงานเมื่อสามวันก่อนลือกันไปทั่วพื้นที่แถบนี้ วันนี้อวี๋หวั่นกลับบ้าน ผู้คนมากมายถูกดึงดูดให้มาดูความตื่นเต้นร่วมกัน
ผู้คนในหมู่บ้านเหลียนฮวารู้แล้วว่าคุณชายวั่นไม่ได้แซ่วั่น แต่เป็นแซ่เยี่ยน กล่าวกันว่าเขาเป็นคุณชายจากตระกูลข้าหลวง
“ครอบครัวของเขาเป็นขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวง!” ป้าจางเอ่ยราวกับเป็นเช่นนั้น
ชุ่นฮวาเอ่ยด้วยดวงตากลมโต “ขุนนางชั้นสูงแค่ไหนรึ?”
ป้าจางถูกขอร้องให้หยุดเกาหัว “สูง สูงกว่านายอำเภอ!”
ในสายตาของพวกเขา นายอำเภอคือท้องฟ้าที่อยู่บนหัว ยังสูงกว่าท้องฟ้า นั่นก็สุดยอดมากๆ แล้ว
“นายอำเภออะไรกันละ? เขาเป็นพระญาติกับฮ่องเต้ ไม่รู้รึ?”
จู่ๆ เสียงของนางเสี่ยวเฉินก็ดังขึ้นข้างหลังทุกคนอย่างเงียบๆ ทุกคนตกใจตัวสั่นรีบหันไปมอง ป้าไป๋ถลึงตาใส่นาง “ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว เดินมาให้สุ้มให้เสียงหน่อยไม่ได้หรือไร?!”
นางเสี่ยวเฉินกะเทาะเมล็ดแตง “…อ้อ”
รถม้าหยุดลงที่หน้าประตูบ้าน อวี๋หวั่นเดินไปนำรถเข็นมา ทว่าเยี่ยนจิ่วเฉากลับปฏิเสธ เขารั้นที่จะเดินลงไป หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ก้าว ร่างกายของเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
อวี๋หวั่นเข้าใจว่าเขาไม่ต้องการให้ครอบครัวของเธอกังวล หากกังวลเรื่องสุขภาพของเขา ก็ต้องกังวลว่าเธอได้แต่งงานกับสามีที่ไร้ความสามารถ อวี๋หวั่นรับน้ำใจของเขาและมองเขาด้วยความซาบซึ้ง
ภายในห้องโถง อวี๋หวั่นเห็นท่านพ่อ ท่านแม่ ลุงใหญ่ ป้าสะใภ้ใหญ่ และเด็กหญิงตัวเล็กๆ
“แล้วพวกพี่ใหญ่เล่า?” อวี๋หวั่นถาม
ป้าสะใภ้ใหญ่ยิ้มและเอ่ยว่า “ไปจ่ายกับข้าว เดี๋ยวก็กลับมา”
อวี๋หวั่นเปลี่ยนไปสวมชุดของคนเมือง พวกเขาแทบจำเธอไม่ได้เมื่อแรกเห็น และยังคิดว่าเป็นสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลใหญ่โตคนใด ไม่ใช่สิ สตรีสูงศักดิ์คนใดที่สามารถนั่งรถม้าของลูกเขยได้?
ป้าสะใภัใหญ่จับมืออวี๋หวั่น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความปลื้มปีติยินดี
นางเจียงมองบุตรสาวอย่างอ่อนโยน
มีเพียงอวี๋เซ่าชิงเท่านั้นที่ขมขื่นใจ และอยากจะโยนลูกเขยออกไป!
ลุงใหญ่นำขนมเหนียวออกมา
นี่เป็นประเพณีของหมู่บ้าน ในวันหุยเหมิน คู่หนุ่มสาวต้องกินขนมเหนียวชามโตที่ปรุงด้วยน้ำตาลทรายแดง ขนมเหนียวก้อนกลมๆ นี้ทำจากแป้งข้าวเหนียว ขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ นำไปทอดในกระทะก่อน จากนั้นจึงนำมาต้มในน้ำตาลทรายแดงให้ดูดน้ำ สัมผัสนุ่มนวล รสชาติเหนียวหวานมัน อวี๋หวั่นไม่ชอบอาหารหวาน แต่เพราะเป็นธรรมเนียมให้เกิดความเป็นมงคล อวี๋หวั่นจึงกินอย่างเชื่อฟัง
เยี่ยนจิ่วเฉากินโดยไม่พูดพร่ำใดๆ
ข้อเสียอย่างเดียวของขนมเหนียวนี้คือ ย่อยยาก คนในชนบทไม่เป็นไร แต่หากเยี่ยนจิ่วเฉาที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดีมาตลอดกินมากไป ต้องรับได้ยากเป็นแน่ อวี๋หวั่นรีบยัดขนมในชามของตนลงท้อง จากนั้นก็แย่งชามของเยี่ยนจิ่วเฉามากิน
“ไอ้หยา เพิ่งแต่งงานกันไปไม่กี่วัน ก็ปกป้องสามีขนาดนี้แล้วรึ?” ป้าจางที่อยู่นอกประตูอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ
อวี๋หวั่นหน้าแดง ทุกคนต่างหัวเราะออกมา
ในขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะขำขัน ก็มีเสียงการเคลื่อนไหวดังสนั่นเกิดขึ้นจากห้องของนางเจียง ราวกับมีบางอย่างตกพื้น
อวี๋หวั่นวางชามลงแล้วถามด้วยความงุนงง “เกิดอะไรขึ้น?”
ป้าสะใภ้ใหญ่ตอบ “เถี่ยตั้นน้อยน่ะ”
“เขาอยู่บ้านหรือ?” ตอนที่เธอถามเรื่องพวกอวี๋เฟิง ป้าสะใภ้ใหญ่บอกว่าไปจ่ายกับข้าว อวี๋หวั่นจึงเข้าใจว่าเถี่ยตั้นน้อยไปด้วย
อวี๋หวั่นวางชามเกลี้ยงเกลาลง แล้วลุกไปที่ห้องของนางเจียง
เก้าอี้ที่เถี่ยตั้นน้อยทำล้มอย่าง ‘ไม่ระวัง’ ถูกยกขึ้นแล้ว เถี่ยตั้นน้อยนั่งหันหลังให้อวี๋หวั่นอยู่บนเตียง
“เถี่ยตั้น” อวี๋หวั่นเดินเข้าไป
เถี่ยตั้นน้อยไม่สนใจ
อวี๋หวั่นเดินไปด้านข้าง เขาก็หันตัวหนี ไม่ให้อวี๋หวั่นได้เห็นหน้าตรงๆ ของเขา
อวี๋หวั่นนั่งลงข้างๆ “เจ้าโกรธพี่หรือ?”
เถี่ยตั้นน้อยนิ่งเงียบ
อวี๋หวั่นดึงแขนเล็กๆ ของเขา เถี่ยตั้นน้อยก็ใช้มือปัดออก แต่เขาหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของอวี๋หวั่นได้? อวี๋หวั่นดึงร่างเล็กๆ ของเขาหันกลับมาด้วยแรงเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะตัวแข็งทื่อ แต่หัวยังคงดิ้นหนีไปมา
อวี๋หวั่นหันหัวเล็กๆ ของเขากลับมาอีกครั้ง และเห็นว่ารอบดวงตาของเขาเป็นสีแดง หยดน้ำตาใสดุจเพชรพลอยไหลกลิ้งอยู่ในดวงตา เก็บกลั้นไว้ไม่ให้มันร่วงลงมา
“ยังโทษพี่สาวอยู่หรือ?”
“ท่าน…ท่านบอกแล้วว่าจะกลับมา!” เถี่ยตั้นน้อยเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว น้ำเสียงสะอึกสะอื้น
อวี๋หวั่นกล่าว “พี่ก็กลับมาแล้วอย่างไรเล่า”
เถี่ยตั้นน้อยขยับตัว หยดน้ำตาก็ร่วงเผาะๆ
อวี๋หวั่นรู้สึกเจ็บปวด เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนี้เป็นคนแรกที่เธอพบในอีกโลกหนึ่ง เธอยังจำได้ ในฤดูหนาวเดือนสิบสอง ผมของเขาฟูยุ่ง สวมเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง ร่างกายซูบผอมจนเห็นกระดูก จุดไฟต้มน้ำมาดูแลเธอด้วยตัวคนเดียว
อวี๋หวั่นยกมือขึ้นปาดน้ำตาเขา “เจ้ากำลังโทษที่พี่มาช้าหรือ?”
เถี่ยตั้นน้อยเริ่มร้องไห้ “ข้ารอท่าน…ท่านก็ยังไม่กลับ! ยังไม่กลับ! กลับมาแล้วก็ไม่มาหาข้า! ท่านสนใจคุยแต่กับพวกเขา!”
“พี่ไม่ดีเอง พี่คิดว่าเจ้าไปที่ตำบล…” หัวใจของอวี๋หวั่นคล้ายจะแตกสลายด้วยเสียงร้องไห้ของน้องชาย เธอกอดเขาไว้กับตัก
เด็กน้อยทั้งสามเดินเตาะแตะเข้ามาข้างใน มองน้าตัวน้อยที่กำลังร้องไห้ด้วยสีหน้างวยงง
“ฮือ ฮือ…” เถี่ยตั้นน้อยร้องไห้กระหืดกระหอบในอ้อมแขนของอวี๋หวั่น ราวกับกำลังระบายความคับแค้นใจ ที่สูญเสียพี่สาวไปอย่างกะทันหันในวันแต่งงาน
อวี๋หวั่นรอให้เขาร้องไห้จนพอใจ พลางลูบหลังของเขา “พี่รับเจ้าไปอยู่ด้วยดีหรือไม่?”
“รับไปที่ใด?” เถี่ยตั้นน้อยถามด้วยเสียงสะอื้น
อวี๋หวั่นเอ่ยเสียงเบา “ที่บ้านใหม่ของพี่”
น้ำตาเถี่ยตั้นไหลทะลัก “ที่นี่ไม่ใช่บ้านของท่านแล้วหรือ?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ใช่สิ แน่นอนว่าใช่ ที่นี่จะเป็นบ้านของพี่ตลอดไป”
“เช่นนั้น…เช่นนั้น หากข้าไปบ้านใหม่ของท่าน จะได้กลับมาอีกหรือไม่?”
“ได้สิ”
“เช่นนั้น…ท่านยังต้องสอนหนังสือให้ข้าต่อหรือไม่?”
อวี๋หวั่นยิ้มอย่างรู้ใจ “แน่นอนสิ”
“…โอ้” เถี่ยตั้นน้อยลงจากตัวเธอ “เช่นนั้นก็มิไปแล้ว”
อวี๋หวั่น “…”
……………………………………………
[1] หุยเหมิน 回门 คือ วันที่สามีภรรยาต้องกลับบ้านไปคารวะพ่อแม่และญาติพี่น้องฝ่ายหญิง