หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 111.2 ครอบครัวกลมเกลียว (2)
บทที่ 111 ครอบครัวกลมเกลียว (2)
Ink Stone_Romance
ป้าสะใภ้ใหญ่กล่าวอย่างเย็นชา “ไม่ต้องการติดต่อกับเจ้า แต่ชวนเจ้ามากินอาหารที่งานเลี้ยง ข้าเป็นบ้าไปแล้วรึ? แต่ที่เจ้ากล่าวก็ไม่ผิด ข้าในตอนนี้ไม่ต้องการติดต่อกับเจ้าอีกแล้ว ญาติพี่น้องเช่นพวกเจ้า สกุลอวี๋มิอาจเอื้อม”
กัวอวิ๋นเหนียงไม่คิดว่าพี่สาวคนโตที่ทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมาตลอดจะกล่าวคำพูดที่ไม่ไว้หน้าเช่นนี้ หรือว่าข่าวลือที่นางได้ยินมาเป็นความจริง สกุลอวี๋ในยามนี้เอื้อมถึงไม้กิ่งสูงของตระกูลใหญ่โตได้แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่สนใจสกุลหลัวอีกต่อไป?
ที่สวนหลังบ้าน อวี๋หวั่นก็ฟังการสนทนาของกัวอวิ๋นเหนียงกับป้าสะใภ้ใหญ่ของเธอไปพลาง และเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างสกุลกัวและสกุลหลัวให้เยี่ยนจิ่วเฉาฟังไปพลาง “…ไม่ใช่ว่าป้าสะใภ้ใหญ่ไม่มีเหตุผล ท่านอย่าได้เข้าใจผิดนางนะเจ้าคะ”
เธอเริ่มสนใจว่าเขาคิดอย่างไรกับครอบครัวของเธอ
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งเสียงตอบรับ
คุณชายแห่งเมืองเยี่ยนนั่งอยู่ในสวนหลังบ้านของบ้านไร่ ฟังเรื่องซุบซิบที่เยอะแยะวุ่นวายซับซ้อนของญาติๆ แต่เขาก็ยังตั้งใจฟังอย่างจริงจัง
“เจ้ามีเรื่องอะไรกันแน่?” ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยอย่างอารมณ์เสีย
กัวอวิ๋นเหนียงมองไปทางสวนหลังบ้าน “วันนี้อาหวั่นกลับบ้านสินะ? ไยข้าไม่เห็นนางเล่า? นางยังไม่กลับหรือว่า… “
ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยขัด “เจ้าอยากพบอาหวั่น หรือเจ้าอยากพบเขยใหม่ของเรากันแน่?”
แน่นอนว่าเป็นเขยใหม่ ดวงตาของกัวอวิ๋นเหนียงเป็นประกาย
ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าว่าข้าดูออก เจ้าคงได้ยินมาว่าอาหวั่นแต่งงานมีครอบครัวที่ดี ก็เลยวิ่งมาหาเรื่องให้ได้เงินใช่หรือไม่?”
กัวอวิ๋นเหนียงหน้างอ “พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้เอ่ยคำพูดเลวร้ายเช่นนี้เลย! ต่างก็เป็นญาติกันทั้งนั้น หาเรื่องให้ได้เงินอะไรกัน? ข้า…ข้าแค่มาดูพวกท่าน!”
“ตอนนี้เจ้าดูจบแล้ว ก็ไปได้แล้ว!” ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยไล่
“…” กัวอวิ๋นเหนียงอึกอักอยู่ตรงนั้น
อวี๋หวั่นฟังแล้วรู้สึกสะใจเป็นอย่างมาก เมื่อนึกถึงความโกรธของป้าสะใภ้ใหญ่ที่มีต่อสกุลหลัว ก็สมควรแล้วที่กัวอวิ๋นเหนียงจะถูกขับไล่ไสส่ง
“ท่านพี่ ท่านพี่! มีอะไรก็พูดกันดีๆ! อย่าได้ทำตัวน่าเกลียดเช่นนี้ เขยใหม่จะหัวเราะเยาะเอา!” กัวอวิ๋นเหนียงไม่ได้โง่ สกุลอวี๋จะมีเงินนั่งรถม้าราคาแพงขนาดนั้นได้หรือ? ม้าสี่ตัว ต้องเป็นข้าราชการระดับสูง จึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะนั่ง นางเด็กอวี๋หวั่นยกระดับตัวเองขึ้นมาได้แล้วจริงๆ!
กัวอวิ๋นเหนียงกล่าวไม่ผิด ไม่อาจปล่อยให้เยี่ยนจิ่วเฉาเห็นเรื่องตลกขบขันของบ้านฝั่งแม่นางได้ ป้าสะใภ้ใหญ่พยายามระงับเพลิงโทสะที่พลุ่งพล่าน
กัวอวิ๋นเหนียงคว้าโอกาสกอบโกยผลประโยชน์ “ท่านพี่ ที่ผ่านมาข้าผิดเอง ข้าไม่ควรหมางเมินท่านพี่ เพราะฟังคำพูดใส่ร้ายของพี่ชายและพี่สะใภ้ ท่านพี่ตำหนิข้าก็สมควรแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเราก็เป็นพี่น้องกัน ความสัมพันธ์ระดับนี้ของเราจะขาดกันไม่ได้นะ”
ป้าสะใภ้ใหญ่มองนางด้วยสายตาเยียบเย็น
กัวอวิ๋นเหนียงคิดว่าตนทำพี่สาวหวั่นไหวได้สำเร็จ จึงเอ่ยพลางทำท่าเช็ดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริง “บอกตามตรง ชีวิตในสกุลหลัวไม่ดีนัก เป็นเพียงภาพภายนอก ในความมืดมีผู้ใดที่ไม่หัวเราะข้าที่เป็นสตรีบ้านนอกไม่มีความรู้บ้างเล่า? ท่านพี่ ข้าเป็นเช่นนี้มาตลอดชีวิต ข้ายอมรับได้ แต่บุตรชายของข้าจะเป็นเช่นนี้ไม่ได้! จงเอ๋อร์และเฉิงเอ๋อร์ต่างเป็นนักเรียนที่ดี เรียนไปเพียงไม่กี่ปีก็สอบผ่านถงเซิง[1]! จงเอ๋อร์ป่วยจึงมาด้วยไม่ได้ วันนี้ข้าพาเฉิงเอ๋อร์มาด้วยเพราะหวังว่าท่านพี่จะช่วยหลานชายทั้งสองหาทางออกได้”
ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ย “ในเมื่อพวกเขาเก่งถึงเพียงนี้ ยังต้องการให้ข้าหาทางออกให้อีกหรือ? แล้วข้าจะหาทางให้อย่างไร? เจ้าอาจจะให้ความสำคัญกับข้ามากเกินไป”
กัวอวิ๋นเหนียงกล่าวอย่างขัดเขิน “ไม่ใช่ว่าใกล้สอบระดับมณฑลในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้วหรือ? ข้าคิดว่า…”
ป้าสะใภ้ใหญ่เยาะเย้ย “คิดว่าข้าจะขอร้องเขยใหม่ให้หาลู่ทาง เพื่อพวกเขาจะได้ผ่านสอบระดับมณฑลรึ?”
ดวงตาของกัวอวิ๋นเหนียงประกายวาบ “เขยผู้นี้คงจะมีความสามารถทำเรื่องนี้ได้กระมัง?”
พูดราวกับว่าหากเยี่ยนจิ่วเฉาไม่อาจจัดการเรื่องนี้ได้ก็คงไม่มีความสามารถพอ อวี๋หวั่นโกรธจนแก้มของเธอป่องคล้ายกับหนูแฮมสเตอร์ตัวน้อย
เยี่ยนจิ่วเฉาเฝ้ามองเธอที่กำลังเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขา ในดวงตามีประกายรอยยิ้มวาบผ่านโดยไม่ได้ตั้งใจ
ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยด้วยความโกรธ “เจ้าหมายให้เขยใหม่ใช้เส้นสายเพื่อลูกเจ้า เจ้าคิดว่าเขาเป็นคนอย่างไร?!”
กัวอวิ๋นเหนียงกล่าวตอบ “ไอ้หยา ท่านพี่ ท่านอย่าโกรธไปเลย ท่านดูลูกของเราพี่น้องสามคนสิ มีเพียงจงเอ๋อร์กับเฉิงเอ๋อร์ที่เรียนหนังสือ หากต่อไปพวกเขามีอนาคตที่ดี จะไม่เป็นหน้าเป็นตาแก่พี่ใหญ่หรอกหรือ?”
คำพูดเหล่านี้แทงใจดำของป้าสะใภัใหญ่ นางให้กำเนิดบุตรชายสองคน ทั้งสองล้วนเป็นชาวนาบ้านนอก คุณค่าอื่นใดหรือจะเทียบการเรียนหนังสือได้ มิแปลกที่กัวอวิ๋นเหนียงจะกดหัวนางทุกอย่าง
“เรื่องแบบนี้ใช้เส้นสายได้หรือ?” อวี๋หวั่นถามเยี่ยนจิ่วเฉา
“ไม่ได้” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด
ชื่อเสียงเกียรติยศไม่อาจซื้อได้ เว้นแต่การสอบแทนหรือข้อสอบรั่วไหล
แน่นอนว่าหากคุณชายเยี่ยนยินยอม นี่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแต่เยี่ยนจิ่วเฉาไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้
กัวอวิ๋นเหนียงกล่าวอีกครั้ง “เอาละ เอาละ ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรคิดเรื่องนี้แล้ว เช่นนั้น…เขยใหม่ผู้นั้นมาจากเมืองหลวง ให้เขาหาอาจารย์ดีๆ ในเมืองหลวงให้จงเอ๋อร์กับเฉินเอ๋อร์ก็คงไม่มีปัญหากระมัง? ท่านช่วยบอกเขยใหม่ให้ข้าสักหน่อย แค่ให้จงเอ๋อร์และเฉิงเอ๋อร์ไปอยู่ที่บ้านเขา…”
ป้าสะใภัใหญ่ไม่อาจทนฟังต่อไปได้อีก
มิต้องพูดถึงว่าอาหวั่นเป็นเพียงหลานสาวของสามีนาง ต่อให้เป็นหลานสาวแท้ๆ ของนาง ก็ไม่มีทางให้มาใช้กลอุบายเช่นนี้หรอกไหม?
กัวอวิ๋นเหนียงเห็นเขยใหม่เป็นอะไร? คนโง่ที่หลอกได้ง่ายๆ รึ? ทั้งจะให้ไปอยู่ด้วย ทั้งให้หาอาจารย์ แล้วยังจะบอกว่าไม่ได้มาหาผลประโยชน์ จะมากเกินไปแล้ว!
ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่สนใจแล้วว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะเห็นเรื่องน่าอับอายหรือไม่ นางจับไหล่ของกัวอวิ๋นเหนียงลากออกไป
“นี่! ท่านพี่! ท่านพี่!”
“ท่านปล่อยแม่ข้านะ!”
หลัวเฉิงผลักป้าสะใภ้ใหญ่ พี่น้องอวี๋เฟิงอวี๋ซงรีบวิ่งออกไปพร้อมไม้ในมือ หลัวเฉิงตกใจเยี่ยวรดตดหาย วิ่งหนีกระโดดขึ้นรถม้า!
ป้าสะใภ้ใหญ่ลากกัวอวิ๋นเหนียงออกจากบ้านสกุลอวี๋ “กัวอวิ๋นเหนียง หากเจ้ามาหาข้าจริงๆ ข้าจะเลี้ยงเจ้าด้วยเหล้าและอาหารชั้นดี แต่ถ้าเจ้าคิดจะหลอกใช้อาหวั่นและเขยใหม่ อย่าโทษที่ข้าโกรธจนไม่ไว้หน้าเจ้า!”
กัวอวิ๋นเหนียงโกรธจัด “กัวอาเซียง! พอเจ้ามีเงินก็ไม่เห็นญาติพี่น้องอยู่ในสายแล้วกระมัง?!”
“นั่นข้าไม่ได้เรียนรู้มาจากเจ้าหรอกหรือ?” ป้าสะใภ้ใหญ่ถามกลับ
กัวอวิ๋นเหนียงสำลักน้ำลายอีกครั้ง
ป้าสะใภ้ใหญ่ตะโกน “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก! อยากให้คนขับเจ้าออกไปใช่รึไม่!”
อวี๋เฟิงและอวี๋ซงเงื้อไม้ที่อยู่ในมือ กัวอวิ๋นเหนียงรีบกระโดดขึ้นรถม้าจากไปอย่างเศร้าหมอง
คนในหมู่บ้านต่างหัวเราะขำขัน
หาผลประโยชน์ไม่ได้ คนทั้งหมู่บ้านก็เห็นเป็นเรื่องตลก กัวอวิ๋นเหนียงโกรธแทบกระอักเลือด
ความโกรธของวันนี้หมดไป แต่ป้าสะใภ้ใหญ่กังวลว่าเรื่องของนางกับกัวอวิ๋นเหนียงจะทำให้อาหวั่นขายหน้า นางจึงเดินไปที่สวนหลังบ้านและอธิบายกับเยี่ยนจิ่วเฉา “ให้หลานเขยเห็นเรื่องน่าอับอายแล้ว”
นางไม่รู้ว่าหากคนในเมืองเจอปัญหาเช่นนี้จะจัดการอย่างไร แต่คงไม่ใช่แบบนี้เป็นแน่
“มิเป็นไรหรอก” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ย จากนั้นก็มองไปที่สองพี่น้องอวี๋เฟิงอวี๋ซงที่เดินมายังสวนหลังบ้าน “ให้เขาไปเรียนที่เมืองหลวงกับข้า”
เขา?
ทุกคนหันมองตามสายตาของเยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋ซง?
“ท่านเข้าใจผิดแล้วกระมัง? นี่เป็นพี่รอง ส่วนนี่สิถึงเป็นพี่ใหญ่” อวี๋หวั่นชี้ไปที่อวี๋เฟิง
สองพี่น้องสกุลอวี๋ในช่วงปีแรกก็เข้าเรียนในโรงเรียนของหมู่บ้านเช่นกัน ทว่าน่าเสียดายที่ไม่ได้เรียนต่อ ต่างกลับมาทำสวนที่บ้าน พวกเขาไม่ใช่เด็กรักเรียน แต่หากต้องเลือกคนใดคนหนึ่ง ก็ต้องเป็นอวี๋เฟิง
อวี๋เฟิงสงบเยือกเย็นและฉลาดเฉลียวเชื่อฟัง แต่อวี๋ซงกลับไม่สามารถแม้แต่จะนั่งนิ่งๆ
“ไม่ผิด ก็พี่ชายคนที่สองของเจ้านั่นละ” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างมั่นใจ
ป้าสะใภ้ใหญ่โบกมือ “เสี่ยวซงไม่ใช่เด็กรักเรียน เขาอ่านหนังสือไม่ออก”
เยี่ยนจิ่วเฉาให้อวี๋หวั่นหยิบหนังสือมาหนึ่งเล่ม เขาสุ่มพลิกหน้าเปิดและชี้ไปที่คำคำหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “อ่าน”
เชื้อพระวงศ์ผู้ยิ่งใหญ่แผ่กลิ่นอายกดข่มจนอวี๋ซงไม่กล้าโกหก อวี๋ซงอ่านอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้อ”
“อ่าน”
“ไน่”
เยี่ยนจิ่วเฉาชี้ที่คำศัพท์อีกสองสามคำ และอวี๋ซงก็อ่านถูกต้องทั้งหมด เยี่ยนจิ่วเฉาให้เขาท่องบทอาขยานหนึ่งพันตัว เขาก็สามารถท่องได้อย่างคล่องแคล่วเสียยิ่งกว่าเถี่ยตั้นน้อย
คนสกุลอวี๋ตกตะลึง ป้าสะใภ้ใหญ่อ้าปากค้าง บุตรชายคนเล็กของนางอ่านหนังสือออก? เมื่อไรกัน?!
อวี๋หวั่นถาม “พี่รองท่านไปเรียนมาเมื่อใด?”
อวี๋ซงเกาหัว “ก็…ก็ตอนที่เจ้าสอนเถี่ยตั้น ข้าได้ยิน…”
แค่ฟังไม่กี่ครั้งก็จำได้แล้ว…ใครบอกว่าพี่รองของเธอไม่ใช่เด็กรักเรียน? นี่มันถุงหนังสือเดินได้ชัดๆ!
………………………………………
[1] การสอบถงเซิง หรือ นักศึกษารุ่นเยาว์ คือนักเรียนที่สอบผ่านระดับอำเภอ และระดับจังหวัด