หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 121 สารภาพความจริง
หากจะบอกว่าไม่ตกใจกับการมาเยือนของหานจิ้งซูก็อาจเป็นการโกหก แม่นางทั่วไปหากเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ก็คงไม่กล้ามาเยือนถึงบ้าน แม้แต่เซียวจื่อเยว่ยังไม่กล้าแสร้งเป็นแขกมาหาถึงที่บ้าน แต่กลับวิตกกังวลจนล้มป่วยระหว่างทาง
เมื่อเห็นหานจิ้งซูบุ่มบ่ามมาแล้ว คนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่านางกับอวี๋หวั่นเป็นเพื่อนสนิทกัน
อวี๋หวั่นให้คนยกชามาให้
ในโถงบุปผามีคนอยู่ไม่มาก หานจิ้งซูเพียงแต่พาสาวใช้คนสนิทมา ข้างกายของอวี๋หวั่นมีสองพี่น้องหลีเอ๋อร์และเถาเอ๋อร์ คนอื่นๆ ล้วนถูกอวี๋หวั่นสั่งให้ออกไปแล้ว
“คุณหนูเชิญดื่มชา” อวี๋หวั่นพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ นางเป็นแขก ยิ่งไปกว่านั้นเธอกับหานจิ้งซูเป็นศัตรูหรือเป็นมิตรกันก็ยังบอกไม่ได้ เห็นทีคงจะทำอะไรไม่ได้ง่ายๆ
“ข้าไม่ได้มาดื่มชา” คุณหนูหานพูดอย่างใจเย็น สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่อวี๋หวั่นตั้งแต่ที่เธอเดินเข้ามาในห้อง จนบัดนี้ยังมิอาจละสายตาได้ ความรู้สึกประหลาดใจ ตกใจ อิจฉาริษยาล้วนระคนกันอยู่ในดวงตาของนาง
อวี๋หวั่นมองหยั่งเชิง แม้ว่าร่างนี้จะไม่ได้มีชาติกำเนิดเหมือนหานจิ้งซู แต่เนื้อหนังมังสาก็นับว่างามไม่แพ้นาง
“ที่แท้เจ้าก็ให้แม่นางเมิ่งทำชุดให้” หานจิ้งซูเอ่ยปาก
คำพูดนี้ทำให้อวี๋หวั่นแปลกใจ
หานจิ้งซูพูดว่า “แม่นางเมิ่งทำชุดให้ข้าเป็นประจำ ฝีมือของนางข้าย่อมจำได้”
เมื่อเป็นเช่นนี้ อาภรณ์ผ้าไหมเบาพลิ้วชุดนี้เป็นฝีมือของแม่นางเมิ่ง มิน่าเล่าถึงงามโดดเด่น ทำให้หานจิ้งซูดูสวยดุจเทพเซียน
ก่อนที่จะเข้ามาในจวน หานจิ้งซูคิดว่าตนงามประหนึ่งธิดาแห่งดวงจันทร์ จนนางเห็นอวี๋หวั่น ความหยิ่งผยองนั้นก็แตกละเอียดลงในพริบตา
“แม่นางเมิ่งเอ็นดูเจ้าเหลือเกินสินะ ถึงกับให้ชุดที่ออกแบบดีที่สุดแก่เจ้า” หานจิ้งซูพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
อวี๋หวั่นยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร จริงอยู่ว่าคนงามเพราะเสื้อผ้า กระนั้นคุณหนูหานคนนี้ก็ไม่ยอมรับว่าเธอดูโดดเด่นกว่านาง จึงจงใจโยนความผิดให้แม่นางเมิ่ง อวี๋หวั่นนึกถึงคุณหนูหานผู้ไร้เดียงสาเมื่ออยู่ต่อหน้าสวี่เสียนเฟย และผู้หญิงท่าทางเย็นชาตรงหน้าตอนนี้ ทั้งสองดูราวกับเป็นคนละคนกัน
ไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งที่นางแสดงออกมาและนิสัยใจคอจริงๆ เธอรู้เพียงว่าผู้หญิงคนนี้ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก
เมื่อเห็นว่าอวี๋หวั่นไม่ได้ตอบโต้ สีหน้าเย็นชาของหานจิ้งซูก็พลันอ่อนลง น้ำเสียงก็มิได้ฟังดูระคายหูเหมือนก่อนหน้าแล้ว “ฮูหยินเยี่ยนคงรู้ใช่หรือไม่ว่าข้ามาด้วยเหตุใด?”
“เกี่ยวกับองค์ชายรอง?” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม
หานจิ้งซูถอนหายใจเบาๆ “ที่สระไท่เยี่ย เจ้าจงใจดึงข้าลงน้ำไปใช่หรือไม่?”
แม้จะถูกเปิดโปง แต่อวี๋หวั่นกลับไม่ได้ตื่นตระหนก เธอยกยิ้มมุมปาก “ทำให้คุณหนูหานตกใจเสียแล้ว”
หานจิ้งซูมิได้คาดคิดว่าอวี๋หวั่นจะยอมรับอย่างง่ายดาย ทว่าความประหลาดใจก็ไม่ได้ปรากฏบนใบหน้าของนางนานนัก นางพูดต่อ “ในเมื่อเจ้าทำร้ายข้า เพื่อเป็นการชดใช้ความผิด เจ้าต้องตอบคำถามเหล่านี้กับข้ามา”
คุณหนูหานคนนี้ไม่ได้ดูเศร้าสลดแม้แต่น้อย เห็นอยู่ว่านางมีเรื่องขอร้องเธอ แต่กลับทำเหมือนสิ่งที่นางทำเป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว หรือว่านี่จะเป็นลักษณะนิสัยอย่างหนึ่งของคนตระกูลใหญ่
ทว่าตอนนี้อวี๋หวั่นไม่ใช่หญิงชาวบ้านที่จะยอมถูกโขกสับได้แล้ว เธอเป็นฮูหยินของจวนคุณชายเยี่ยน ฐานะของเธออยู่เหนือกว่าหานจิ้งซูด้วยซ้ำไป เธอจะต้องยอมให้หานจิ้งซูมาจูงจมูกหรือ
“คุณหนูหาน” อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้น “เป็นแม่สามีของเจ้าที่ทำร้ายข้าก่อน ข้าก็เพียงตอบกลับแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันเท่านั้น หากเจ้าจะกล่าวโทษใคร ก็ควรจะกล่าวโทษแม่สามีที่แสนดีของเจ้า เหตุใดนางต้องมาทำร้ายข้าต่อหน้าเจ้าด้วยเล่า?”
หากจะบอกว่าไร้เดียงสา…บนโลกนี้ไหนเลยจะมีความไร้เดียงสาอันแสนบริสุทธิ์เช่นนั้น? นับตั้งแต่หานจิ้งซูกับสวี่เสียนเฟยและเยี่ยนไหวจิ่งลงเรือลำเดียวกัน นางก็ได้กลายเป็นอริของจวนคุณชายไปเรียบร้อย
หานจิ้งซูตกตะลึงกับท่าทีของอวี๋หวั่น “เช่นนั้น…เจ้าก็ไม่คิดจะบอกข้าหรือ?”
อวี๋หวั่นตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณหนูหานมีคำตอบอยู่ในใจ เหตุใดจะต้องมาถามข้าถึงที่นี่?”
หานจิ้งซูเงียบไป
“พวกเจ้ารู้จักกันได้อย่างไร?” ครั้งนี้น้ำเสียงของนางอ่อนลงกว่าเดิมมาก
อวี๋หวั่นเห็นว่านางไม่ได้มีท่าทางจองหองแล้ว จึงไม่รังเกียจที่จะตอบคำถาม “ที่สวี่โจวเมื่อสามปีก่อน องค์ชายรองบาดเจ็บหนัก ข้าช่วยเขาไว้”
“สามปี…” หานจิ้งซูหลับตาลง “เขาไว้ทุกข์ให้ไทเฮาเมื่อสามปีก่อน”
ไทเฮาองค์นั้นไม่ใช่ย่าแท้ๆ ของเยี่ยนไหวจิ่ง หากแต่เป็นสนมของฮ่องเต้พระองค์ก่อน องค์ชายทั่วไปไว้ทุกข์เพียงครึ่งปีก็นับว่ากตัญญูมากแล้ว แต่เขากลับไว้ทุกข์เป็นเวลานานเช่นนี้ ใครจะกล้าพูดได้เล่าว่านางไม่ใช่ผู้มีพระคุณของเยี่ยนไหวจิ่ง?
“เช่นนี้เหตุใดเจ้าถึงแต่งงานกับเยี่ยนจิ่วเฉา?” หานจิ้งซูถาม
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยคิดอะไรกับองค์ชายรอง”
บุรุษที่ตนปรารถนา กลับหลงรักสตรีอีกคนหนึ่งข้างเดียว ไม่มีสิ่งใดทำลายความมั่นใจในตัวเองของนางได้มากเท่านี้อีกแล้ว
หานจิ้งซูพูดไม่ออกราวกับว่ามีบางอย่างติดอยู่ในลำคอ “ในวันแต่งงาน องค์ชายรองมาหาเจ้าใช่ไหม? ข้าไม่ได้มีเจตนาละลาบละล้วง หากฮูหยินลำบากใจ คิดเสียว่าข้าไม่เคยถามก็ย่อมได้”
อวี๋หวั่นตอบ “ไม่เป็นไร ต่อให้บอกเจ้า แล้วเจ้าเอาไปพูดต่อก็คงไม่มีใครเชื่อ” ในวันนั้นที่จวนคุณชาย ‘เธอ’ และ ‘เยี่ยนจิ่วเฉา’ ไหว้ฟ้าดินและเข้าเรือนหอ เธอมีพยานที่อยู่ครบถ้วน
“ใช่ เขาไปหาข้า บอกว่าจะลักพาตัวข้าไป ข้ารู้ว่าวันนั้นคุณหนูหานล้มป่วย สวี่เสียนเฟยจึงให้องค์ชายรองไปดูเจ้าให้ได้ เขาไป แต่ข้าเดาว่าเขาคงไม่ได้รั้งอยู่ที่จวนอัครมหาเสนาบดีนาน ข้าพูดถูกต้องหรือไม่?”
เขารีบร้อนอยากจะออกไป ที่แท้ก็เป็นเพราะจะไปหาสตรีที่ถูกตนลักพาตัวมาหรอกหรือ? หานจิ้งซูไม่ได้เคลือบแคลงว่าอวี๋หวั่นกำลังยั่วยุและแทรกแซงความสัมพันธ์ของนางและเยี่ยนไหวจิ่ง อย่างไรเสียเรื่องที่นางแกล้งป่วยก็ยังไม่ได้แพร่งพรายออกไป ถ้าหากไม่ได้ยินกับหู จะสามารถพูดได้กระจ่างเพียงนี้ได้อย่างไร?
หานจิ้งซูกำมือแน่น “ตอนนั้นเจ้าอยู่กับองค์ชายรองตลอดเลยหรือ?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ไม่เช่นนั้นข้าจะรู้เรื่องที่คุณหนูไม่สบายได้อย่างไร?”
หานจิ้งซูหน้าซีดเผือด
อวี๋หวั่นไม่ได้จงใจทำให้แม่นางน้อยคนนี้หมั่นไส้ เธอเพียงแต่พูดไปตามความจริง เยี่ยนไหวจิ่งไม่ใช่เยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉามีแต่ชื่อเสียงในทางไม่ดี ถ้าคนที่ทำเรื่องนี้เป็นเขา ก็คงไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจ ทว่าในสายตาผู้คนแล้ว เยี่ยนไหวจิ่งเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง ลักพาตัวคนในวันแต่งงานหรือ? ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นภรรยาของน้องชาย ไม่ว่าอย่างไรก็ฟังดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ
อย่างไรก็ตามอวี๋หวั่นเข้าใจเขา คนบางคนเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจโดยธรรมชาติ ขณะที่บางคนก็เพียงแสดงออกว่าเป็นเช่นนั้น เยี่ยนไหวจิ่งถูกกดดันมานาน ตนจึงกลายเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกประหนึ่งถูกปลดปล่อย ตัวตนของเขาที่อัดอั้นเอาไว้มาตลอดยี่สิบกว่าปีจึงเปิดเผยออกมา
ทว่าแม้แต่อวี๋หวั่นเองก็ยังไม่รู้ว่าเยี่ยนไหวจิ่งสนใจเธอจริง หรือเพียงใช้เธอเพื่อปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงของเขากันแน่
หานจิ้งซูขอบตาแดงก่ำ เสียงของนางสั่น “ข้าควรทำอย่างไรดี…”
อวี๋หวั่นถอนหายใจ ในเมื่อรู้ว่าผู้ชายไม่ได้รักตัวเอง ก็ควรหาวิธียกเลิกการแต่งงาน จะใช้ความรักเปลี่ยนใจผู้ชายได้จริงหรือ? ความตั้งใจจริงสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้จริงหรือ?
อวี๋หวั่นจนปัญญาที่จะตัดสินใจแทนนาง
หานจิ้งซูร้องไห้ออกมา นางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นแล้วพูดกับอวี๋หวั่นว่า “รบกวนเจ้าแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
“คุณหนูหานค่อยๆ เดิน” อวี๋หวั่นก้มศีรษะน้อยๆ
หานจิ้งซูให้สาวใช้ช่วยพยุงไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หยุดฝีเท้าลงแล้วหันหลังกลับมา “แม้ข้าจะรู้ว่าเจ้าบริสุทธิ์ใจ แต่ว่า…”
นางลังเล คล้ายกับไม่อยากพูดต่อ อวี๋หวั่นจึงยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยปากพูดแทนนางว่า “แต่ว่าเจ้ายังคงไม่สบายใจ หลังจากนี้พวกเราจึงไม่ควรเป็นเพื่อนกัน”
หานจิ้งซูพยักหน้า แล้วเดินออกไปจากโถงบุปผา
สองพี่น้องหลีเอ๋อร์และเถาเอ๋อร์ออกมาจากห้องด้านข้าง เมื่อครู่ตอนที่คุณหนูหานอารมณ์ไม่ดี อวี๋หวั่นโบกมือให้ทั้งสองถอยออกไป แต่ห้องด้านข้างนั้นไม่ห่างออกไป ทั้งสองมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ได้ยินบทสนทนาชัดเจนไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว
หลีเอ๋อร์พูดขึ้นด้วยความรู้สึกว่าฮูหยินบ้านตนไม่ได้รับความเป็นธรรม “ใครอยากเป็นเพื่อนกับนางกัน!”
อวี๋หวั่นหลุดหัวเราะ “มีออกถมไป”
แต่ว่า…
อวี๋หวั่นลอบส่งสายตาดุดันให้ทั้งสอง ทั้งสองรีบก้มหน้า หลีเอ๋อร์ยืนตัวสั่นพลางเอ่ยขึ้นว่า “พวกบ่าวไม่พูดออกไปหรอกเจ้าค่ะ!”
สาวใช้สองคนนั้นเพียงคุยกันในสวนดอกไม้ว่าฮูหยินไม่มีสินเดิมติดตัว ก็ถูกคุณชายจัดการแล้ว พวกนางทั้งสองจะกล้าเอาเรื่องที่ฮูหยินถูกลักพาตัวในวันแต่งงานออกไปพูดได้อย่างไรกัน?
คุณชายได้ตามฆ่าพวกนางน่ะสิ!
อวี๋หวั่นนั่งอยู่ในโถงบุปผาอยู่ครู่หนึ่ง ต้าเป่า เอ้อร์เป่า และเสี่ยวเป่าสะพายตะกร้าใบเล็กเข้ามา ตะกร้าด้านหลังของทั้งสามเต็มไปด้วยอิงเถาลูกแดงและใหญ่
ทั้งสามคนส่งอิงเถาให้อวี๋หวั่นราวกับส่งสมบัติล้ำค่าให้
อวี๋หวั่นยิ้มอย่างอ่อนโยน “ตัวเล็กแค่นี้ก็รู้จักทำงานแล้ว เก่งจริงๆ”
อวี๋หวั่นเคยกินอิงเถาบรรณาการแล้ว แต่ก็ไม่อร่อยเท่าอิงเถาของที่บ้าน อย่างไรเสียวันนี้ก็ไม่มีธุระ อวี๋หวั่นจึงเก็บอิงเถาหนึ่งตะกร้าเพื่อนำไปให้อวี๋ซง
รถม้าเคลื่อนมาจอดที่ตรอกข้างสำนักบัณฑิต อวี๋หวั่นเลิกม่านขึ้น ทว่าคนที่เธอเห็นกลับไม่ใช่อวี๋ซง แต่เป็นจ้าวเหิง
จ้าวเหิงยืนอยู่ข้างรถม้าอีกคันหนึ่ง ร่างของเขาถูกบดบัง แต่บนพื้นมีเงาของคนสองคน ดูจากเสื้อผ้าแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นกระโปรงของสตรี
อวี๋หวั่นไม่ได้อยากแอบฟังเรื่องของจ้าวเหิง กระนั้นตั้งแต่ที่เธอครอบครองราชันสัตว์พิษ ความสามารถในการฟังของเธอก็เพิ่มขึ้นมาก
“เป็นอิงเถาบรรณาการ ส่งมาจากวังหลวง หาซื้อไม่ได้ตามท้องตลาด เจ้าลองชิมดู”
เป็นเสียงของเซียวจื่อเยว่ อ่อนหวานนุ่มนวลเหลือเกิน
นางไม่ได้เสแสร้ง อวี๋หวั่นเคยคุยกับนาง อีกฝ่ายเป็นดรุณีน้อยที่เสียงเพราะจริงๆ
จ้าวเหิงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเก็บไว้กินเองเถิด”
“ที่บ้านข้ายังมีอยู่” เซียวจื่อเยว่ตอบ
“ข้าไม่ชอบกิน” จ้าวเหิงยังคงบอกปัด
ไม่ชอบก็แย่แล้ว อวี๋หวั่นคิดในใจ
เสียงของเซียวจื่อเยว่อ่อนหวานกว่าเดิม “เช่นนั้นก็ให้แม่นางจ้าวและคุณหนูจ้าวกิน”
“ข้า…” จ้าวเหิงยังคิดปฏิเสธ แต่อวี๋หวั่นเห็นว่าเงาของเซียวจื่อเยว่ยัดตะกร้าใส่มือของจ้าวเหิง
เซียวจื่อเยว่ขึ้นรถม้า รถม้าเคลื่อนออกจากตรอกไป ประตูใหญ่สำนักบัณฑิตอยู่ที่ปลายตรอก จ้าวเหิงเดินถือตะกร้ากลับไป ระหว่างเดินผ่านรถม้าของอวี๋หวั่นเขาก็เหลือบมองตามสัญชาตญาณ และพบว่าอวี๋หวั่นนั่งนิ่งราวกับพระพุทธรูป เขาชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ตกใจจนเกือบร้องออกมา
“ตกใจขนาดนั้น ไปทำอะไรผิดมาหรือ?” อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ
จ้าวเหิงหน้าซีดเผือด เขามองออกไปยังรถม้าของสกุลเซียวซึ่งลับสายตาไปแล้ว จึงตั้งสติแล้วพูดกับอวี๋หวั่นว่า “เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล ชื่อเสียงของข้าจะเสื่อมเสียได้”
อวี๋หวั่นหัวเราะ “คนที่ชื่อเสียงเสื่อมเสียจะเป็นใครกันแน่? ถ้าหากมีคนอื่นที่ไม่ใช่ข้ามาเห็นเข้าเล่า? เจ้าคิดว่าพวกเขาจะเก็บเรื่องนี้ไว้ ไม่นำไปแพร่งพรายอย่างข้าหรือ?”
จ้าวเหิงขมวดคิ้ว
เขาระวังตัวมากแล้ว ไม่ต้องการให้ผู้ใดพบเห็น แต่เขาไม่ได้เป็นคนเชิญคุณหนูเซียวมา เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของเขาเช่นกัน
อวี๋หวั่นมองเขาหัวจรดเท้า “เจ้ามักจะเอาเปรียบผู้อื่นตลอด ก่อนหน้านี้เป็นข้า ตอนนี้เป็นคุณหนูเซียว ข้างกายเจ้าไม่เคยว่างเว้นการมีสตรีคอยประคบประหงมเลยนะ”
สีหน้าของจ้าวเหิงเปลี่ยนไปทันที “เจ้า…เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นคุณหนูเซียว?”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” อวี๋หวั่นตอบ
จ้าวเหิงชะงักไป นัยน์ตาพลันเย็นเยียบ “จะ…เจ้าสืบเรื่องของข้า!”
อวี๋หวั่นนึกอยากตบเรียกสติเขาสักฉาด เขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร? เธอจะไปสืบเรื่องเขาทำไม? เพราะเธอยังลืมเขาไม่ลงอย่างนั้นหรือ?
จ้าวเหิงเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “อวี๋หวั่น ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่ายุ่งกับคุณหนูเซียว เจ้ามีอะไรก็มาจัดการข้านี่!”
“ได้สิ คืนเงินข้ามา” อวี๋หวั่นแบมือ
จ้าวเหิงหน้าแดงก่ำ
อวี๋หวั่นตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่มีเงินคืนแล้วยังจะพูดจาเสียใหญ่โต? อีกอย่าง คำพูดนี้ข้าควรเป็นคนพูดเสียมากกว่า คุณหนูเซียวเป็นหลานสาวแท้ๆ ของเซียวเจิ้นถิง เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเซียวเหยี่ยน เจ้าเป็นบัณฑิตยากจน พึ่งพาเงินจากสตรี อย่าได้หาประโยชน์จากนาง”
“จื่อเยว่ไม่เหมือนเจ้า”
“คิดว่าข้าสนหรือ?”
อวี๋หวั่นพูดจบ ก็ปล่อยม่านลง หยิบตะกร้าอิงเถาลูกสวยน่ากินลงจากรถม้า แล้วเดินไปยังสำนักบัณฑิต
จ้าวเหิงเถียงแพ้อวี๋หวั่น จึงรู้สึกคับแค้นใจเหลือเกิน เขาอยากบอกอวี๋หวั่นว่าเขาไม่ได้ใช้เงินของเซียวจื่อเยว่ เงินที่ใช้จ่ายในครอบครัวล้วนเป็นเงินที่ได้มาจากการเรียนของเขา เซียวจื่อเยว่เป็นสตรีที่เพียบพร้อม ไม่เหมือนกับอาหวั่น นางฉลาดเฉลียว งดงาม สง่า ใจกว้าง ทั้งยังมีชาติกำเนิดสูงส่ง แต่กลับไม่โอหังจนทำให้ผู้อื่นรู้สึกอึดอัด
ที่สำคัญที่สุด นางไร้มลทิน
เขาอาจรู้สึกผิดต่ออาหวั่นในอดีต แต่ไม่ใช่สำหรับอาหวั่นในตอนนี้
สำหรับเขา อาหวั่นได้ตายไปแล้ว
เขาเพียงแต่อยากบอกสตรีผู้นั้นว่า เขามิใช่บุรุษที่ไม่ยินดีทุ่มเทเพื่อสตรี แต่นางไม่ควรค่าแก่ความทุ่มเทนั้น
เขาจริงจังกับเซียวจื่อเยว่ เขารู้อยู่เต็มอกว่าตัวเขาในตอนนี้ไม่คู่ควรกับนาง เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องพยายาม เมื่อใดที่เขาสอบผ่าน เขาก็จะไปสู่ขอเซียวจื่อเยว่ทันที
……………………………………