หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 127 บุญคุณ
บทที่ 127 บุญคุณ
Ink Stone_Romance
เด็กๆ กลัวถึงเพียงนี้ ความสนใจของฮองเฮาจึงเบนไปที่พวกเขา มิได้อยู่ที่ท่าทีที่แปลกไปของอวี๋หวั่น แน่นอนว่าอวี๋หวั่นไม่ได้ปล่อยให้ตนแสดงท่าทีแปลกประหลาดเช่นนั้นนาน เธอเพียงแค่ปล่อยมือ แล้วนั่งด้วยสีหน้าปกติดังที่วั่นมามาเคยสอนไว้
ฮองเฮารีบสั่งหยุดการแสดง กล่าวด้วยความรู้สึกผิดว่า “พวกเขายังเด็ก เป็นข้าเองที่ไม่คิดให้รอบคอบ”
เด็กอายุสองขวบตกใจกลัวเสียงของกลอง องค์หญิงตัวน้อยอายุหนึ่งขวบก็ไม่กลัวแล้ว ฮองเฮาได้แต่ลอบส่ายหน้า ด้านหนึ่งก็รู้สึกเห็นใจอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉา กว่าจะให้กำเนิดผู้สืบสกุลมาได้ แต่กลับขี้ขลาดและเป็นใบ้
แน่นอนว่าฮองเฮามิได้มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น สภาพแวดล้อมที่นางอยู่และการอมรมสั่งสอนที่นางได้รับทำให้นางมิอาจทำเช่นนั้นได้ แต่คนในวังทำให้หัวใจของนางต้องแปรเปลี่ยน สมแล้วที่เป็นเด็กจากชนบท ทำให้อับอายขายหน้าเหลือเกิน กลัวแม้แต่เสียงกลอง
อวี๋หวั่นเห็นสายตาเย้ยหยันของผู้คนโดยรอบ เธอทนได้ถ้ามีใครว่าเธอ แต่เธอไม่อาจทนได้ถ้ามีใครเข้าใจลูกๆ ของเธอผิด คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ความเจ็บปวดอย่างลูกๆ ของเธอ จะไปเข้าใจเงามืดในจิตใจได้อย่างไร?
อวี๋หวั่นหายใจเข้าลึกๆ พยายามกดความรู้สึกที่โหมกระหน่ำอยู่ในใจ เธอลุกขึ้นยืน แล้วคำนับอย่างสง่างาม “ทำให้ฮองเฮาต้องขบขันแล้ว หม่อมฉันคิดว่าพวกเขาคงเล่นจนเหนื่อย จึงจะพาพวกเขากลับจวนก่อน วันหลังค่อยมาช่วยฮองเฮาเลือกชุดการแสดงเพคะ”
เดิมทีนี่ก็เป็นเพียงวิธีดึงอวี๋หวั่นและจวนคุณชายมาอยู่ฝั่งตน เท่านี้ก็นับว่าพอแล้วสำหรับนาง จะเลือกหรือไม่เลือกมิได้สำหลักสำคัญอันใด
เป็นไปดังคาด ฮองเฮามิได้เอ่ยปากรั้งพวกเขาไว้
อย่างไรก็ตามก่อนออกไป ฮองเฮามองรางวัลให้กับซูมู่ที่ปกป้องคุณชายน้อยอย่างภักดี
ฮองเฮาคิดว่าตนทำเพื่อไว้หน้าอวี๋หวั่น อย่างไรเสียสำหรับนางแล้ว ควรให้บ่าวเป็นคนดูแลลูกไป ไหนเลยจะมีคนชั้นสูงมาเช็ดอุจจาระปัสสาวะลูกด้วยตนเอง? นั่นมันนิสัยของคนจน ราชวงศ์จะไม่ทำเช่นนั้นหรอก
ครั้นองค์ชายใหญ่ยังวัยเยาว์ เมื่อเกิดเรื่อง คนแรกที่เข้ามาจะเป็นคนในวังหรือว่าแม่นม นางเป็นฮองเฮา ไม่อาจแสดงกิริยาไม่เหมาะสมได้ อวี๋หวั่นก็เช่นกัน สักวันเธอก็ต้องเป็นพระชายาของเยี่ยนอ๋อง จำต้องละทิ้งนิสัยของชาวบ้าน และทำความคุ้นเคยกับธรรมเนียมของชนชั้นสูง
ทุกคนล้วนคิดว่าซูมู่ทำถูกแล้ว แม้แต่อวี๋หวั่นเองก็ไม่อาจพูดได้ว่าซูมู่ทำผิด เด็กๆ ตกใจกลัว นางรุดเข้าไปกอดพวกเขา มีคนดูแลลูกๆ ของเธอดีถึงเพียงนี้ เธอควรดีใจถึงจะถูก ยิ่งไปกว่านั้น ลูกๆ ของเธอไม่ค่อยเข้าหาคน และไม่มีบ่าวคนใดที่เข้าหาพวกเขาได้ อยู่ๆ ก็มีคนที่พวกเขาชื่นชอบ เธอเป็นแม่ก็ควรจะดีใจสิ…
ความรู้สึกที่ทำอะไรไม่ได้แต่ก็โมโหไม่ลงนี่ไม่ดีเอาเสียเลย เธอรู้สึกว่าตนเองจิตใจคับแคบ
อวี๋หวั่นพาเด็กน้อยทั้งสามขึ้นรถม้า
ฝูหลิงและคนอื่นๆ ก็ขึ้นมานั่ง
ทันใดนั้น แม่นางชุยก็วิ่งมาด้วยสีหน้าร้อนรน “ฮูหยินน้อย ท่านลืมของเอาไว้”
เป็นแป้งชาดกล่องหนึ่ง ในบรรดาของที่ฮองเฮาให้มาไม่มีสิ่งนี้ ดูแล้วฮองเฮามีเรื่องจะบอกเธอ
อวี๋หวั่นจึงลงจากรถม้า แล้วเดินไปกับแม่นางชุย
เจียงไห่คอยระแวดระวัง ในกรณีที่มีผู้ใดดักฟัง
แม่นางชุยกล่าวเสียงเบาว่า “ฮูหยินน้อยรีบกลับ ฮองเฮายังมิทันได้บอกท่าน เป็นไปได้มากว่าราชทูตหนานจ้าวมาเพราะคุณชายเยี่ยน คุณชายและฮูหยินน้อยโปรดระวัง”
ฮองเฮาเคยบอกกับอวี๋หวั่นแล้วว่าราชวงศ์หนานจ้าวอยากให้เยี่ยนจิ่วเฉาตาย เมื่ออยู่ในฐานะฮองเฮา ย่อมต้องคิดว่าพวกเขาหมายจะลอบทำร้ายเยี่ยนจิ่วเฉา แต่จริงแล้ว เหตุผลที่พวกเขามา แปดในสิบส่วนก็เพราะมาตามหาเธอและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหนานจ้าวที่เธอครอบครองอยู่ แต่เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องบอกฮองเฮา
อวี๋หวั่นไม่ได้ถามฮองเฮาว่ารู้ข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างไร อย่างไรเสียหากไม่มีความสามารถสักหน่อย นางก็คงไม่อาจอยู่รอดปลอดภัยมาได้จนถึงตอนนี้
“ขอบพระทัยฮองเฮา” อวี๋หวั่นกล่าวขอบคุณ รับกล่องแป้งชาดแล้วขึ้นรถม้าไป
เด็กน้อยทั้งสามผล็อยหลับไปแล้ว
พวกเขาอยู่ในอ้อมอกของซูมู่
อวี๋หวั่นมีท่าทางเย็นชาไปตลอดทาง
เมื่อรถม้าเคลื่อนมาถึงจวนคุณชาย แม่นมทั้งสามก็มาอุ้มเด็กๆ กลับห้องไป
อวี๋หวั่นก็กลับห้องเช่นกัน
สาวใช้ทั้งสามส่งอวี๋หวั่นแล้วก็ลุกขึ้นและกลับห้องซึ่งใช้พักชั่วคราว
ทันใดนั้นเอง จื่อซูก็ดึงซูมู่เอาไว้ “เจ้าอยู่ก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
ฝูหลิงมองจื่อซูอย่างฉงนใจ จื่อซูจึงบอกว่า “ไม่ใช่เจ้า ถอยออกไป!”
ไม่ทันไรก็เผยนิสัยเอาแต่ใจของคุณหนูออกมาเสียแล้ว ฝูหลิงมิได้คิดมาก จึงเดินออกไป
โดยรอบไร้ผู้คน จื่อซูดึงมือกลับมาพร้อมกับชักสีหน้า “ตกลงเจ้าต้องการอะไร?”
ซูมู่มองไปยังจื่อซูด้วยสีหน้าราบเรียบ
จื่อซูขมวดคิ้ว “อย่ามาแกล้งโง่ สองวันมานี้เจ้าจงใจเอาอกเอาใจคุณชายน้อย เจ้าคิดจะทำอะไร? อยากเป็นสาวใช้ประจำตัวคุณชายน้อยหรือ? คุณชายน้อยมีแม่นมแล้ว ไม่ต้องการสาวใช้!”
จื่อซูนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงพูดว่า “…สาวใช้ประจำห้องหรือ ยังเร็วเกินไป!”
ซูมู่หันหลังโดยมิได้ต่อล้อต่อเถียง หมายจะเดินหนี
“นี่?” จื่อซูชะงักไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง จากนั้นก็ดึงนางเอาไว้อีกครั้ง “ข้าพูดกับเจ้า เจ้ากลับเมินเฉย! สาวใช้ลำดับสองกล้าชักสีหน้าใส่ข้ารึ? ข้าขอเตือนเจ้าไว้ ทางที่ดีเจ้าควรจะรู้ตัว อย่าไปสนิทสนมกับคุณชายน้อย!”
ซูมู่ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าก็แค่ทำหน้าที่ของข้าให้ดีที่สุด”
จื่อซูสีหน้าเย็นชา “เจ้าไม่เห็นหรือว่าฮูหยินไม่พอใจ? ทำให้เจ้านายไม่พอใจ หน้าที่ของเจ้าน่ะ มันมากเกินไป!”
ซูมู่มิได้ใส่ใจจื่อซูอีก นางหันหลังเดินออกไป
จื่อซูมองตามหลังนาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “คนแซ่ซู เจ้าอย่ามาทำเป็นหูทวนลมนะ! หากไม่ทำตามกฎอีก ระวังตัวไว้ ข้าจะลงโทษเจ้า!”
ซูมู่เดินจากไปแล้ว
จื่อซูกลับมายังห้องของตนเอง ท่าทางของซูมู่ทำให้นางมีโทสะ แม้แต่ตอนที่ปั้นซย่าพูดกับนาง นางก็ไม่สนใจปั้นซย่า
หลังจากอาหารเย็น จื่อซูก็เดินไปหาฝางมามาเพื่อเรียนรู้เรื่องในเรือนชิงเฟิงดังเคย ฝางมามาไม่ได้พำนักอยู่ในเรือนชิงเฟิง จื่อซูจึงต้องเดินอ้อมหลันฟางเก๋อ จากนั้นก็เดินไปตามทางเดินเล็กๆ อันเงียบสงัด ระหว่างทางต้องเดินผ่านสระน้ำ
ขณะที่จื่อซูเดินถือตะเกียงผ่านสระน้ำ ไม่รู้ว่านางไปเหยียบอะไรเข้า จู่ๆ ก็ลื่นตกลงไปในสระน้ำ
นางว่ายน้ำไม่เป็น ทันทีที่นางร่วงลงไปในน้ำ มือของนางก็คว้ากิ่งต้นหลิ่วข้างสระน้ำเอาไว้
กิ่งต้นหลิ่วนั้นเล็กเกินไป ไม่อาจรับน้ำหนักของนางได้ ทำให้นางค่อยๆ จมลงในน้ำ
“ช่วยด้วย…ช่วย…ชะ…”
นางจมลงไปในน้ำ ทั้งยังสำลักน้ำเย็นเข้าคอไป
นางตะเกียกตะกายขึ้นมา กิ่งต้นหลิ่วหักดัง ‘เปาะ’ นางจึงเอื้อมแขนคว้าหญ้ากอหนึ่งเอาไว้
วินาทีที่ต้นหญ้ากำลังจะขาดนั้นเอง เงาผอมก็ปรากฏขึ้นข้างสระน้ำ และเข้ามาในเส้นสายตาของจื่อซู
นางพยายามโผล่หน้าให้พ้นน้ำ แล้วก็เห็นใบหน้านิ่งราวกับวิญญาณ
“ซู…ซูมู่…”
แสงเย็นของดวงจันทร์ส่องสะท้อนใบหน้าของซูมู่ ทำให้นางดูหม่นหมองยิ่งกว่าเดิม ความหวาดกลัวโหมซัดขึ้นในใจของจื่อซู
ซูมู่ยื่นมือออกไปยังพืชน้ำที่จื่อซูจับอยู่
“เจ้าจะทำอะไร!” จื่อซูหน้าถอดสี
“คุณหนู!”
เสียงของปั้นซย่าดังมาแต่ไกล
ซูมู่คว้าข้อมือเรียวของจื่อซู แล้วดึงนางขึ้นจากน้ำ
“คุณหนู…คุณหนู! เป็นคุณหนูจริงๆ ด้วย!” ปั้นซย่ากระวีกระวาดเข้ามา เป็นเพราะนางร้อนใจจนลืมตัว ทำให้หลุดพูดคำเรียกเดิมออกมา
จื่อซูเนื้อตัวเปียกปอน ร่างสั่นเทิ้ม
“เกิดอะไรขึ้น?” ลุงวั่นรีบตามมาดูเหตุการณ์
ปั้นซย่ากอดจื่อซูเอาไว้ “เมื่อครู่…”
ซูมู่เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้าออกมาเก็บอิงเถากับปั้นซย่า คุณชายน้อยอยากกิน พวกเราเดินมาแถวนี้ก็ได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วย ปั้นซย่าบอกว่าฟังดูคล้ายกับเสียงของจื่อซู พวกเราจึงมาดูสักหน่อย และพบว่าจื่อซูตกน้ำ”
ลุงวั่นและจื่อซูมองไปยังปั้นซย่าพร้อมกัน ปั้นซย่าพยักหน้า เป็นเพราะคุณชายน้อยทำท่าอยากกินอิงเถา ซูมู่จึงพานางมาเก็บอิงเถาที่สวนผลไม้
ลุงวั่นเข้าใจทันที และมิได้นึกสงสัยแต่อย่างใด จากนั้นก็มองไปยังจื่อซูแล้วถามว่า “แล้วเจ้าเกิดอะไรขึ้น?”
จื่อซูตอบไปตามความจริงว่า “ข้าจะไปหาฝางมามา ไม่ทันระวังจึงลื่นตกน้ำ”
“เป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังเดินไม่ดูทางอีกหรือ ครั้งนี้โชคดีมีคนผ่านมา ไม่เช่นนั้น…” คำพูดอัปมงคลเช่นนี้ลุงวั่นจำต้องกลืนลงคอไป “เอาเถอะ แยกย้ายได้แล้ว เจ้าไม่ต้องไปหาฝางมามา ข้าจะไปบอกนางเองว่าวันหลังให้สอนเจ้าตอนกลางวัน เจ้ายังไม่ต้องทำงานอื่นชั่วคราว ตั้งใจเรียนกับฝางมามาไปก่อน”
“ขอบคุณพ่อบ้านวั่น” จื่อซูค้อมตัว
แม้จะเป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่ก็นับว่าอันตราย ลุงวั่นสั่งพวกนางสองสามประโยคแล้วก็กลับห้องไป
หลังจากกลับเรือนชิงเฟิง จื่อซูไปแช่น้ำร้อน เปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าแห้ง จากนั้นนางเปิดห่อผ้า หยิบปิ่นปักผมทองมา แล้วเดินไปยังห้องของเถาเอ๋อร์ซึ่งอยู่ถัดไป
เถาเอ๋อร์และหลีเอ๋อร์ไปอยู่คอยปรนนิบัติอวี๋หวั่นที่ห้อง ผู้ที่มาเปิดประตูคือซูมู่
“ดึกป่านนี้ มีอะไรหรือ?” ซูมู่ถาม
จื่อซูกำปิ่นในมือแน่น ยื่นให้ซูมู่ “ให้เจ้า ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้า”
………………………………..