หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 129.1 พี่จิ่ว : ไม่มีผู้ใดรังแกนางได้ (1)
- Home
- หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]
- บทที่ 129.1 พี่จิ่ว : ไม่มีผู้ใดรังแกนางได้ (1)
บทที่ 129 พี่จิ่ว : ไม่มีผู้ใดรังแกนางได้ (1)
Ink Stone_Romance
ดวงตาของซูมู่มิได้งัวเงียแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้เพิ่งตื่น
นางดันมือของเถาเอ๋อร์ซึ่งพาดอยู่บนตัวนางออก ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง สวมเสื้อคลุมสีดำ แล้วคลำหามีดสั้นเย็นเฉียบขึ้นมาจากใต้เตียง
นางถือมีดสั้นแล้วออกจากห้องไป
ราตรีเงียบสงัด ฝีเท้าของนางเบาหวิว
แสงจันทร์สาดส่องลงบนใบหน้าไร้ความรู้สึกของนาง ทำให้นางดูประหนึ่งรูปสลัก
ชายกระโปรงของนางโบกพลิ้วขึ้นจากพื้นระเบียงทางเดิน เสียงแผ่วเบากลืนหายไปในสายลมแห่งรัตติกาล
นางเดินอ้อมทางเดินไปจนถึงห้องหลักด้านหน้า
นางมองประตูห้องซึ่งปิดสนิท ชักมีดออกจากฝัก แสงสว่างเย็นเฉียบสาดสะท้อนบนดวงตาของนาง
ซูมู่สอดปลายมีดเข้าไปในช่องประตู จากนั้นจึงค่อยๆ ดันกลอนประตูขึ้น ในตอนนั้นเอง ฝูหลิงซึ่งนอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ยาวก็ถูก ‘กระตุ้น’ จนตื่น ที่นอนเช่นนี้ สาวใช้ทั่วไปสามารถนอนได้ แต่สำหรับนางนั้นแคบเกินไป เมื่อนางยืดขาออกไปก็ชนกำแพง เมื่อยืดแขนออกไปก็ชนหัวเตียง
ฝูหลิงจึงคิดว่าจะออกไปเข้าห้องน้ำ
ฝูหลิงไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวจากด้านนอก ทว่าคนจากด้านนอกได้ยินเสียงของนาง
เสียงสาวเท้ายาวๆ เช่นนี้ แค่ได้ยินก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นฝูหลิง
ฝูหลิงร่างใหญ่แขนขายาว แต่ความคิดของนางไม่ซับซ้อน นางกินเยอะแต่ทำอะไรไม่ได้มาก หลอกนางได้แต่ก็มิได้หลอกง่าย นั่นเป็นเพราะไม่ว่าจะพูดสิ่งใดกับนางก็ล้วนแต่ดูไร้เหตุผลไปเสียทุกอย่าง
ซูมู่ชักมีดกลับ นางหันหลังแล้วเดินกลับห้องไป
……
ฟ้าสว่างแล้ว อวี๋หวั่นตื่นขึ้นตามความเคยชิน เมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่อยู่ ในตอนนั้นเธอจึงตระหนักได้ว่าเมื่อคืนเขาออกไปข้างนอก
องครักษ์ที่นำความมารายงานไม่ได้บอกรายละเอียดว่าไปทำอะไร แต่เธอเดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับราชทูตจากหนานจ้าว
อวี๋หวั่นตื่นมาได้ไม่นาน เด็กน้อยทั้งสามก็ตื่นขึ้น อวี๋หวั่นสวมเสื้อผ้าให้ทั้งสาม พวกเขารีบปีนลงจากเตียง เดินไปล้างหน้าบ้วนปากที่ห้องด้านข้าง จากนั้นก็ไปกินข้าวอย่างรู้ความ
อวี๋หวั่นเห็นว่าพวกเขากินอิ่มแล้ว อวี๋หวั่นเองก็รู้สึกอิ่มเอมใจ เธอลูบศีรษะน้อยๆ ของพวกเขา “วันนี้แม่ไม่มีคาบเรียน จะพาพวกเจ้าออกไปเที่ยวดีหรือไม่?”
นัยน์ตาของเด็กน้อยทั้งสามพลันเป็นประกาย
อวี๋หวั่นมองปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเขา ก็คิดในใจว่าเธอตัดสินใจถูกแล้ว เธอง่วนอยู่กับการเรียนจนละเลยความรู้สึกของพวกเขา เธอสามารถขอวั่นมามาลาหยุดได้ หลังจากนี้เธอจะหาเวลาอยู่กับพวกเขามากกว่าเดิม
อวี๋หวั่นเลิกคิ้วแล้วถามว่า “อยากไปไหม?”
อ่านนิยาย
ทั้งสามก้มหน้าน้อยๆ ความสับสนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา
เห็นได้ชัดว่าอยากไป แต่ที่ลังเลอย่างนี้…เป็นเพราะซูมู่หรือ?
……
เรื่องที่ซูมู่ถูกย้ายไปประจำที่เรือนจู๋เยวี่ยนั้นได้แพร่สะพัดออกไป ผู้คนล้วนแต่อดรู้สึกตกใจไม่ได้ สาวใช้ที่มีไหวพริบปฏิภาณเช่นนี้ ฮูหยินไม่ยักเก็บนางไว้ข้างกาย กลับส่งนางไปที่เรือนจู๋เยวี่ยเนี่ยนะ?
หากกล่าวให้น่าฟังสักหน่อย เรือนจู๋เยวี่ยเป็นที่พักของคุณชายรองสกุลอวี๋ แต่ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าคุณชายรองอยู่แต่ที่สำนักบัณฑิตกั๋วจื่อเจียน เขาไม่เคยกลับมาพัก ไปอยู่ที่นั่นจะไปทำอันใด? คงได้แต่นั่งไปวันๆ ไม่มีงานการให้ทำ
“เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน?” ปั้นซย่าถามซูมู่อย่างไม่เข้าใจ “เมื่อวานที่ฮูหยินน้อยเรียกเจ้าไป ไม่ได้ให้รางวัลเจ้า แต่กลับลงโทษเจ้าหรอกหรือ?”
ซูมู่กำลังเก็บของเงียบๆ “ไม่ได้ลงโทษข้า ฮูหยินชมว่าข้าฉลาดเฉลียวมือไม้คล่องแคล่ว จึงให้ข้าไปดูแลแปลงดอกไม้ที่เรือนจู๋เยวี่ย”
“เรือนชิงเฟิงของพวกเราไม่มีแปลงดอกไม้หรืออย่างไร? อีกอย่างถ้าเจ้าไปแล้ว คุณชายน้อยจะทำอย่างไรเล่า?” แม้แต่ปั้นซย่ายังฟังออกว่านี่หาใช่คำชมจากใจไม่ “เมื่อคืนเจ้าพูดอะไรไม่เข้าหูหรือไม่?”
ซูมู่ตอบเสียงค่อย “ข้าก็ไม่รู้”
จื่อซูอยากพูดบางอย่างแต่ก็ห้ามใจไว้ เรื่องบางเรื่องนางก็ไม่ควรออกความเห็น
ไม่นาน เถาเอ๋อร์และหลีเอ๋อร์ก็มาเช่นกัน
หลังจากเกิดเรื่องของจื่อซู ทั้งสองยังคิดเสียอีกว่าฮูหยินจะตบรางวัลให้ซูมู่ ไม่แน่ว่าอาจเลื่อนตำแหน่งให้ซูมู่เป็นหัวหน้าสาวใช้ลำดับสอง ไหนเลยจะรู้ว่าในเวลาชั่วข้ามคืน ซูมู่กลับถูกลดตำแหน่งเสียแล้ว
“ฮะ…ฮูหยินไม่ชอบ…ไม่ชอบซูมู่ใช่หรือไม่?” เถาเอ๋อร์อายุน้อยที่สุด จึงพูดออกมาโดยมิทันได้ยั้งคิด แต่ว่าเหตุใดจึงไม่ชอบนั้น ทุกคนล้วนแต่มีข้อสันนิษฐานอยู่ในใจ ซึ่งก็คือซูมู่ประจบประแจงคุณชายน้อยมากเกินไป ภายภาคหน้าก็คงประจบประแจงคุณชาย และไม่เห็นฮูหยินอยู่ในสายตา
หากซูมู่มีความคิดเช่นนั้นจริง ทุกคนก็คิดว่านางหาเรื่องใส่ตัวเอง แต่ซูมู่เป็นคนเรียบง่าย จิตใจดี ทั้งยังมีน้ำใจ ไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่านางคิดจะหลอกล่อคุณชายน้อยและยั่วยวนคุณชาย
สุดท้ายแล้วอวี๋หวั่นก็ไม่ได้พาเด็กทั้งสามออกไปข้างนอก เธอเก็บของเพื่อไปเรียนกับวั่นมามาที่หลันฟางเก๋อ เดินไปได้ครึ่งทาง ก็พบกับลุงวั่นซึ่งกำลังรอเธออยู่
ลุงวั่นมีสีหน้าซับซ้อน เขาคำนับเธอหนึ่งครั้งแล้วพูดว่า “ฮูหยินน้อย”
อวี๋หวั่นมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “ลุงวั่นตั้งใจมารอข้าที่นี่หรือ?”
ลุงวั่นมิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่า…ฮูหยินน้อยให้ซูมู่ไปอยู่ที่เรือนจู๋เยวี่ยหรือ?”
คลิก
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “ลุงวั่นมาเพื่อเรื่องนี้หรอกหรือ? ข้าย้ายนางไปที่เรือนจู๋เยวี่ยไม่เหมาะสมหรือ?”
ลุงวั่นกล่าวด้วยความเกรงใจว่า “มิใช่ว่าไม่เหมาะ เพียงแต่ข้าอยากถามว่าเพราะเหตุใด”
อวี๋หวั่นมองเขา แล้วพูดว่า “หากเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนทำเรื่องนี้ ท่านจะถามหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”
“…”
ลุงวั่นอ้าปากค้าง แน่นอนว่าไม่ถาม
การตัดสินใจของคุณชาย ไม่มีผู้ใดกล้าสงสัย
“ข้าทำเพื่อฮูหยิน ฮูหยินเพิ่งมาได้ไม่นาน ไม่เหมือนคุณชายที่…”
“ไม่เหมือนคุณชายที่เป็นเจ้านายที่แท้จริงของพวกท่าน แต่ข้าเป็นเพียงแขกคนหนึ่ง”
นี่เป็นเรื่องจริง แต่ก็เป็นคำพูดที่เกิดจากโทสะเช่นกัน อวี๋หวั่นรู้อยู่แก่ใจว่าตนเป็นผู้มาใหม่ ภูมิหลังไม่ดี การเอาชนะใจคนย่อมสำคัญกว่าการเชือดไก่ให้ลิงดูเป็นไหนๆ ลุงวั่นคิดแทนอวี๋หวั่นจึงพูดกับเธอตามตรง แต่ลุงวั่นไม่ได้มีใจปกป้องซูมู่จริงหรือ?
ลุงวั่นบอกด้วยความจริงใจ “ฮูหยิน ท่านเป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาตามธรรมเนียม ทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายแก่คุณชายถึงสามคน หนึ่งในนั้นเป็นบุตรชายคนโต ตำแหน่งของท่านย่อมไม่สั่นคลอนง่ายๆ ท่านทำใจให้กว้างอีกสักหน่อย สาวใช้เพียงคนเดียว ไม่ควรค่าให้ท่านมีโทสะ”
อวี๋หวั่นฟังคำพูดเช่นนี้กลับยิ่งโมโหกว่าเดิม ในความคิดของลุงวั่น เธอหาวิธีจัดการสาวใช้คนหนึ่งเพียงเพราะเธอไม่ชอบนางหรือ?
“อยู่ๆ คุณชายน้อยชื่นชอบคนแปลกหน้าเช่นนี้ ลุงวั่นไม่คิดว่าแปลกหรือ? ไม่สงสัยหรือว่านางใช้ลูกไม้อะไร?”
ลุงวั่นถอนหลายใจ “ก่อนหน้านี้ที่อยู่ๆ คุณชายน้อยก็สนิทสนมกับฮูหยินขึ้นมา ก็เป็นเพราะฮูหยินใช้ลูกไม้อะไรเช่นกันหรือ?”
อวี๋หวั่นรู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมา
ลุงวั่นตระหนักได้ว่าตนพูดผิดไป จึงรีบขอโทษขอโพย “ข้ามิได้ตั้งใจ ฮูหยินโปรดอย่าถือโทษ”
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขื่นขม “ตอนนั้นในสายตาของพวกท่าน เป็นเพราะข้าใช้ลูกไม้อะไรจึงสนิทสนมกับลูกแท้ๆ ของตนเองสินะ?”
ลุงวั่นไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เขาเพียงเปรียบเปรย เพื่อบอกอวี๋หวั่นว่าไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใกล้คุณชายน้อยจะมีเจตนาร้าย ก่อนหน้านี้คืออวี๋หวั่น ตอนนี้ก็คือซูมู่
“ข้าไม่รู้แล้ว จัดการจัดสาวใช้เพียงคนเดียว…ยากเสียเหลือเกิน” พูดจบ อวี๋หวั่นก็เดินเข้าหลันฟางเก๋อไป
ลุงวั่นยังอยากจะกล่าวบางอย่างอีก วั่นมามาก็เดินออกมาพอดี นางถลึงตาใส่ลุงวั่น “นางเป็นทาสที่ขายขาดสัญญาไถ่ตัว เจ้านายให้นางตาย นางก็ต้องตาย แต่นี่กลับกล้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ข้าว่าพระชายาจากไปนานเกินไป คนจากจวนเยี่ยนอ๋องไม่รู้กฎเสียแล้ว!”
ลุงวั่นส่ายหน้า นี่ไม่ได้เรียกว่าไม่รู้กฎสักหน่อย แต่แม่นางซู…นางเป็นคนดีจริงๆ นี่
ยิ่งไปกว่านั้น หากฮูหยินทนสาวใช้เพียงคนเดียวไม่ได้ ต่อไปหากคุณชายมีอนุจะทำอย่างไรเล่า?
เยี่ยนจิ่วเฉากลับมาในตอนสายของวันที่สาม เขามีธุระเร่งด่วนจริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่ทิ้งภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่ไว้หลายวัน เมื่อเขาทำภารกิจเสร็จก็รีบห้อตะบึงกลับจวนทันที หายใจยังไม่ทันทั่วท้องก็รีบตรงไปยังเรือนชิงเฟิง แต่เมื่อเข้าไปในลานบ้านแล้วก็รู้สึกคล้ายกับขาดบางอย่างไป เขามองไปรอบๆ ก็ไม่พบลูกลิงน้อยทั้งสาม ลานบ้านที่เคยครึกครื้นบัดนี้กลับเงียบสงัด
……………………………………………..