หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 133.1 คู่ข้าวใหม่ปลามัน สั่งสอนองค์ชายรอง (1)
- Home
- หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]
- บทที่ 133.1 คู่ข้าวใหม่ปลามัน สั่งสอนองค์ชายรอง (1)
ถนนเส้นนี้ไม่นับว่าคึกคัก ผู้คนสัญจรไปมาน้อยนัก เมื่อมีรถม้าหรูมาจอดอีกคันหนึ่งก็เดาได้ไม่ยากว่าพวกเขามาเพราะเธอ ยิ่งไปกว่านั้นอวี๋หวั่นจดจำองครักษ์ซึ่งนั่งอยู่ข้างสารถีรถม้าได้
จวินฉางอันเดินตรงมาหาอวี๋หวั่น
อวี๋หวันยืนนิ่งไม่ไหวติง
ทว่าจื่อซูซึ่งยืนอยู่ด้านข้างกลับถูกท่าทางของจวินฉางอันทำให้ตื่นกลัว แต่เมื่อเขาเดินเข้ามาห่างจากอวี๋หวั่นประมาณสองสามก้าว ร่างของเจียงไห่ก็พุ่งเข้ามา
เจียงไห่มิได้สนใจว่าจวินฉางอันเป็นมิตรหรือศัตรู เขาพุ่งเข้าไปต่อยโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
จวินฉางอันได้สนทนากับอวี๋หวั่นหลายครั้ง เขาไม่เคยคาดคิดว่าข้างกายของเธอจะมียอดฝีมือ หากไม่ทันระวังก็คงจะถูกหมัดของเขาเล่นงานเข้าแล้ว โชคดีที่เจียงไห่กังวลว่าหมัดของตนจะทำให้อวี๋หวั่นได้รับบาดเจ็บ จึงไม่ได้ใช้แรงเต็มที่ จวินฉางอันเตะเท้าเพียงเล็กน้อย กระโดดถอยไปด้านหลัง
จวินฉางอันมองไปยังบุรุษแปลกหน้าที่จงใจโจมตีเขา บุรุษผู้นี้สวมชุดสารถีรถม้าของจวนคุณชายเยี่ยน แต่เขาไม่ยักเหมือนกับสารถี
“เจ้าเป็นใคร?” จวินฉางอันขมวดคิ้ว
อวี๋หวั่นก้าวไปข้างหน้า แล้วพูดกับจวินฉางอันด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถามชื่อของสารถีรถม้าข้าไปทำไมกัน? จะแย่งคนของข้าหรือ?”
จวินฉางอันมองไปยังเจียงไห่ด้วยสีหน้าซับซ้อน จากนั้นก็มองอวี๋หวั่น ไม่ได้ซักไซ้เรื่องของเจียงไห่ต่อ แล้วกลับเข้าประเด็น “องค์ชายรองมีเรื่องต้องการปรึกษา จะขอพูดคุยกับแม่นางอวี๋สักหน่อยได้หรือไม่?”
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ข้าแต่งงานแล้ว ไม่อาจใช้คำว่าแม่นางอวี๋ได้”
จวินฉางอันเหลือบไปมองรถม้าด้านข้างเล็กน้อย เหตุผลข้อนี้เขาเข้าใจดี แต่เห็นได้ชัดว่าอวี๋หวั่นไม่ได้พูดให้เขาฟัง ไม่รู้ว่าองค์ชายรองซึ่งยืนกรานให้เขาเรียกนางว่าแม่นางอวี๋แต่กลับถูกแดกดันกลับมา บัดนี้จะรู้สึกอย่างไรบ้าง
อวี๋หวั่นบอกกับจื่อซูว่า “เจ้าไปรอข้าบนรถม้า”
“เจ้าค่ะ” จื่อซูตอบรับ
จื่อซูเคยเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ นางรู้งานมากกว่าสาวใช้ทั่วไป กระนั้นเรื่องการใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างสตรีและบุรุษนั้นย่อมเคร่งครัดมากกว่าเช่นกัน เรื่องนี้มิใช่เรื่องที่นางสามารถปรับตัวได้ในระยะเวลาอันสั้น
แม้ว่าจื่อซูจะขึ้นรถม้าไปแล้ว แต่เจียงไห่กลับคอยอารักขาอวี๋หวั่นทุกฝีก้าว
เจียงไห่จ้องจวินฉางอันเขม็ง ราวกับว่าหากเขาล้ำเส้นเพียงนิดเดียว ตนก็จะอัดเขาให้รู้ดำรู้แดงกันไปข้างหนึ่ง
จวินฉางอันนึกสงสัย จวนคุณชายเยี่ยนมียอดฝีมือเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? เป็นหน่วยกล้าตาย? หรือเป็นองครักษ์เงา? แต่ทำไมมาเป็นสารถีรถม้าได้เล่า?
แม้จวินฉางอันและอิ่งสือซันมักจะบังคับรถม้าให้เจ้านายอยู่เนืองนิจ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางสวมชุดของสารถี เพราะฉะนั้นบุรุษผู้นี้เป็นใครกัน?
“องค์ชายรองมีอะไรก็รีบพูดเถิด หากไม่มีอะไร ข้าจะได้ไป” อวี๋หวั่นจะรีบไปต้มน้ำแกงบำรุงกำลังให้เยี่ยนจิ่วเฉา ไม่มีเวลามาเสวนากับเยี่ยนไหวจิ่ง
เยี่ยนไหวจิ่งลงจากรถม้า
เขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แต่เขาก็มิได้มองเจียงไห่ สายตาของเขามิได้ละไปจากอวี๋หวั่น ทันทีที่เขาเห็นรอยแดงใต้คอเสื้อของอวี๋หวั่นโดยมิได้ตั้งใจ สีหน้าของเขาก็ถมึงทึงขึ้นทันที
ไม่นานเขาก็เบนสายตาออกไป มองใบหน้าของอวี๋หวั่น ใบหน้าของนางก็ยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่ความเป็นดรุณีน้อยได้จางไป กลับมีรอยแดงเพิ่มเข้ามา เยี่ยนไหวจิ่งกำหมัดดัง ‘กร็อบ’
อวี๋หวั่นถอนหายใจ “องค์ชายรอง ข้ามีสามีแล้ว ท่านก็มีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว ท่านยังคงมองข้าเช่นนี้เหมาะสมหรือ? หากใครรู้เข้าข้าเองไม่กลัวหรอก แต่องค์ชายรองไม่กังวลว่าคุณหนูหานจะไม่สบายใจหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาพยายามกดอารมณ์เอาไว้ “นางไปหาเจ้า?”
นี่ไม่ใช่น้ำเสียงปกติ
เรื่องที่เขาไม่ได้ถาม อวี๋หวั่นก็ไม่อาจเอ่ยปากบอก แต่เขาพูดออกมาเช่นนี้ อวี๋หวั่นก็ไม่อาจโกหก
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ใช่ ว่าที่ภรรยาขององค์ชายรองมาหาข้า ดังนั้นเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด องค์ชายรองเข้าประเด็นเถิด”
“ที่นี่ไม่เหมาะสมแก่การพูดคุย” เยี่ยนไหวจิ่งมองไปรอบๆ
อวี๋หวั่นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เห็นทีองค์ชายคงจะมีเรื่องให้พูดเยอะ เช่นนั้นต้องขออภัยด้วย ข้าไม่มีเวลา” ไม่ใช่สามีของเธอ จะมาให้เธอขึ้นไปหาที่สงบๆ สนทนาหรือ?
อวี๋หวั่นค่อยๆ เดินไปขึ้นรถม้าของตน
เยี่ยนไหวจิ่งโทสะพลุ่งพล่าน เมื่อเช้านี้ถูกเยี่ยนจิ่วเฉากลั่นแกล้งเรื่องไข่ไก่สีแดงก็มากพอที่จะทำให้เขาโมโหแล้ว บัดนี้ยังต้องถูกอวี๋หวั่นหมางเมินอีก…
“พบตัวโจวไหวแล้ว!”
เยี่ยนไหวจิ่งมองตามหลังของอวี๋หวั่นซึ่งคล้ายกับกำลังจะเดินขึ้นรถม้าไป
อวี๋หวั่นหยุดฝีเท้าลง แล้วหันหลังไปมองเขา
เจียงไห่ไม่รู้ว่าโจวไหวคือใคร เหตุใดอวี๋หวั่นจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะลอบมองอวี๋หวั่นด้วยความงุนงง
อวี๋หวั่น “แต่ว่า?”
เยี่ยนไหวจิ่งตามสืบเส้นทางรถม้าและมาดักรอเธอกลางทางเช่นนี้ แสดงว่าเรื่องนี้มีการหักมุม?
“ไม่บอกก็ช่างเถอะ” อวี๋หวั่นก้าวขึ้นรถม้าอีกครั้ง
เดิมทีคิดไว้ว่าเมื่อตนมีโจวไหวอยู่ ก็จะเป็นแรงกระตุ้นความอยากรู้ของอวี๋หวั่น แต่เขามิได้คาดคิดเลยว่าเธอยังคงทำตามอำเภอใจตนเองดังเคย เยี่ยนไหวจิ่วขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โจวไหวไม่อาจเป็นพยานให้พ่อเจ้าได้”
“เพราะเหตุใด?” อวี๋หวั่นถาม
เยี่ยนไหวจิ่งตอบว่า “โจวไหวเป็นคนสนิทของเซียวเหยี่ยน ก่อนหน้านี้เป็นขอทานเร่ร่อน และถูกเซียวเหยี่ยนเก็บมา บุญคุณของเซียวเหยี่ยนที่มีต่อเขานั้นยิ่งใหญ่ แต่เซียวเหยี่ยนตายต่อหน้าพ่อของเจ้า โจวไหวจึงคิดมาตลอดว่าพ่อของเจ้าทำให้เซียวเหยี่ยนตาย”
อวี๋หวั่นใคร่ครวญเล็กน้อย “เขาคิดว่าท่านพ่อของข้าเป็นคนฆ่าแม่ทัพเซียว หรือคิดว่าที่แม่ทัพเซียวตายเป็นเพราะท่านพ่อข้า?”
เยี่ยนไหวจิ่งตอบว่า “เซียวเหยี่ยนได้รับบาดเจ็บหนัก โจวไหวดูแลเขาสามวันสามคืนไม่ได้หลับตานอน หลังจากที่พบพ่อเจ้า โจวไหวก็ทนไม่ไหว ก่อนจะล้มตัวลงนอนเขาบอกพ่อเจ้าว่าเซียวเหยี่ยนตื่นเมื่อไรให้ปลุกเขาด้วย”
“แต่ท่านพ่อข้าไม่ได้ปลุกหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
“มิผิด” เยี่ยนไหวจิ่งตอบ
อวี๋หวั่นชะงักไปครู่หนึ่ง “นั่นต้องเป็นคำสั่งของแม่ทัพเซียวอย่างแน่นอน คำสั่งทางการทหารยิ่งใหญ่ดังขุนเขา ท่านพ่อข้าจะกล้าขัดได้อย่างไร?”
เยี่ยนไหวจิ่งถอนหายใจ “เหตุผลนี้ข้าเข้าใจดี แต่ถ้าหากไม่พบกับพ่อเจ้า ไม่สั่งเสียและมอบยาทั้งหมดให้เขา เซียวเหยี่ยนก็อาจจะยังมีชีวิตรอด…อย่างน้อยโจวไหวก็คิดเช่นนั้น”
เมื่อนึกบางอย่างออก อวี๋หวั่นก็พูดว่า “เขาได้บอกหรือไม่ว่าที่ท่านพ่อข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อความดีความชอบ?”
เยี่ยนไหวจิ่งพยักหน้า
อวี๋หวั่นบ่นว่า “เป็นคนที่ไร้เหตุผลเสียจริง”
เห็นได้ชัดว่าโจวไหวยังทำใจกับการจากไปของเซียวเหยี่ยนไม่ได้ การโยนความผิดให้ท่านพ่อของเธอช่วยให้เขายอมรับมันได้มากขึ้นอีกสักหน่อย
“เช่นนั้นท่านบอกเรื่องเหล่านี้กับข้า อยากให้ข้าตอบรับเงื่อนไขใด?”
“สิ่งที่ข้าอยากบอกเจ้าไม่ได้มีเพียงเท่านี้ คดีของพ่อเจ้าล่าช้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโจวไหว ทั้งยังเป็นเพราะฝ่าบาททรงไม่ยอมรับ เหยียนหรูอวี้ทำเรื่องพรรค์นั้น ทว่าฝ่าบาททรงไม่เคืองโกรธสกุลเหยียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด?”
อวี๋หวั่นบุ้ยใบ้ให้เขาพูดต่อ
เยี่ยนไหวจิ่งค่อยๆ พูดต่อ “สกุลเหยียนถูกใส่ร้ายว่าสมคบคิดกับศัตรูทรยศแผ่นดิน ฝ่าบาทยังทรงละอายใจ ทรงต้องการชดเชยให้สกุลเหยียน หากพลิกคดีของท่านพ่อเจ้าอีก ฝ่าบาทก็จะทรงสิ้นหนทางช่วยสกุลเหยียน”
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “ฝ่าบาททรงละอายใจ หรือบอกให้ทุกคนรู้ว่าทรงละอายใจ?”
ฮ่องเต้ที่จิตใจดี จะเป็นที่รักของราษฏรมากกว่าฮ่องเต้ที่จิตใจเหี้ยมโหด
“ฝ่าบาททรงไม่อาจพลิกคดีมิใช่เพียงเพราะเรื่องนี้” เยี่ยนไหวจิ่งพูดต่อ สายตาอันซับซ้อนไปหยุดบนใบหน้าของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นพูดว่า “เกี่ยวข้องกับข้าหรือ?”
เยี่ยนไหวจิ่งตอบตามตรงว่า “พระชายาของเยี่ยนอ๋องที่ฝ่าบาททรงหมายตาไว้คือคุณหนูจากจวนข้าหลวงใหญ่”
อวี๋หวั่นร้อง ‘โอ้’ แล้วถามต่อว่า “ฝ่าบาททรงต้องการบังคับให้ข้าสละตำแหน่งภรรยาหลวง จึงจะคืนความยุติธรรมให้ท่านพ่อข้าหรือ?”
เยี่ยนไหวจิ่งกระแอม “ขอเพียงเจ้ายินยอม ฝ่าบาททรงมีวิธีทำให้โจวไหวเปลี่ยนคำให้การ”
อวี๋หวั่นหัวเราะแดกดัน “ดังนั้นวันนี้ท่านจึงมาพูดแทนฝ่าบาทหรือ? หากเป็นเช่นนั้น ท่านก็กลับไปได้ ไม่ต้องบอกว่าข้าไม่เห็นด้วย ท่านพ่อข้าเองก็คงไม่มีทางยอมใช้สถานะและชื่อเสียงของลูกมาเปลี่ยนแปลงชะตาของตนอย่างแน่นอน”
ท่านพ่อของเธอไม่ใช่คนอย่างนั้น
และเธอก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ผู้อื่นมาบังคับง่ายๆ