หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 137 เด็กน้อยตัวอ้วนฉุ
หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 137 เด็กน้อยตัวอ้วนฉุ
จวนสกุลเซียว
ซั่งกวนเยี่ยนตื่นแต่เช้าตรู่ ไปอีกเรือนหนึ่งเพื่ออวยพรฮูหยินผู้เฒ่า แล้วไปนั่งที่เรือนของฮูหยินใหญ่สักพัก จากนั้นจึงกลับไปยังเรือนของตนเอง ในตอนนี้เซียวเจิ้นถิงฝึกวรยุทธ์เสร็จและกลับห้องมาแล้ว
เซียวเจิ้นถิงเป็นบุรุษหยาบกระด้าง ไม่พิถีพิถัน ทว่าซั่งกวนเยี่ยนเป็นคนละเอียดพิถีพิถัน เขากังวลว่าเหงื่อไคลของตนจะทำให้นางไม่ชอบ เซียวเจิ้นถิงจึงมักจะไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมาหานาง
เขาอาบน้ำเย็นเฉียบ เปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าใหม่แล้วจึงไปนั่งกินอาหารเช้าซึ่งถูกจัดเตรียมไว้แล้ว ซั่งกวนเยี่ยนเก็บของอยู่ในห้อง
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ต้องรอ” เซียวเจิ้นถิงบอก
ซั่งกวนเยี่ยนยิ้มน้อยๆ “ข้าไม่หิว”
“กำลังเก็บอะไรอยู่หรือ?” เซียวเจิ้นถิงเดินเข้าไปถาม
“เสื้อผ้าที่จะให้พวกต้าเป่ามาถึงแล้ว อยู่ๆ ข้าก็นึกได้ว่าข้าเก็บเสื้อผ้าของฉงเอ๋อร์ตอนเด็กๆ เอาไว้สามสี่ชุด” ซั่งกวนเยี่ยนหยิบชุดยาวตัวเล็กขึ้นมา “เขาเคยใส่ตอนอายุสามขวบ”
เซียวเจิ้นถิงมองไปยังเสื้อผ้าและรองเท้าซึ่งวางอยู่บนเตียง ใบหน้านิ่งก็มีความอ่อนโยนพาดผ่าน ราวกับเด็กคนนั้นกำลังเดินต้อยๆ ตามหลังเขา
“ตอนที่เขายังเด็ก เขาชอบท่านมาก แต่น่าเสียดายที่เขาจำไม่ได้แล้ว” ซั่งกวนเยี่ยนยิ้มขมขื่น
ครั้นเซียวเจิ้นถิงยังหนุ่ม เขาเป็นแม่ทัพที่ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เขามักเข้าออกวังหลวงอยู่บ่อยครั้ง ครั้งแรกที่เห็นจิ่วเฉาตัวน้อยก็คือในเหมันตฤดูอันหนาวเหน็บ เขาและฮ่องเต้ไปเจาะน้ำแข็งบนสระไท่เยี่ยเพื่อตกปลา
ฮ่องเต้ไปเข้าห้องน้ำ
จิ่วเฉาตัวน้อยวิ่งเตาะแตะเข้ามา ดวงตาของเขากลมโตสีดำขลับ พูดด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูว่า “ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”
“เจ้าไม่กลัวข้าหรือ?” เซียวเจิ้นถิงถาม
“เหตุใดข้าต้องกลัวท่าน?” จิ่วเฉาตัวน้อยเอียงคอพลางเอ่ยถาม
เซียวเจิ้นถิงยิ้ม “ไม่มีอะไร เจ้ากล้าหาญมาก”
“ไม่ใช่สักหน่อย!” เยี่ยนจิ่วเฉายืดอกอย่างเย่อหยิ่ง เขาเดินไปที่โพรงบนน้ำแข็ง แล้วชะเง้อมองลงไปด้านล่าง “ในนี้มีปลาหรือเปล่า?”
“มีสิ” เซียวเจิ้นถิงมองดูเด็กน้อยหน้าตาน่ารัก แล้วตอบไปอย่างอารมณ์ดี
“เช่นนั้นท่านตกให้ข้าดูหน่อย” จิ่วเฉาตัวน้อยบอกด้วยท่าทางไร้เดียงสา
เซียวเจิ้นถิงร่างกายใหญ่โตกำยำ ดูประหนึ่งอสูรร้าย ไม่มีเด็กคนไหนกล้าเข้าใกล้เขา องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองเพียงเห็นเขาก็ตกใจกลัวจนร้องไห้ เด็กคนนี้กลับไม่กลัว ทั้งยังกล้าสั่งเขาด้วย เซียวเจิ้นถิงยิ้มออกมา
เดิมทีคิดว่าฮ่องเต้จะทรงตกปลาก็หมายความว่าให้ฮ่องเต้ทรงตกเอง แต่ในครั้งนี้เขากลับมิได้ใส่ใจ ตกปลาขึ้นมารวดเดียวสิบกว่าตัว จิ่วเฉาน้อยร้องลั่นด้วยความตื่นเต้น
ซั่งกวนเยี่ยนไม่รู้เรื่องนี้ แต่นางได้ยินเสียงลูกร้องอย่างร่าเริงมาจากสระไท่เยี่ย นางจึงให้บ่าวไปอุ้มลูกมา จากนั้นจึงเดินทางกลับ
“ที่แท้ก็เป็นท่านหรอกหรือ… ” ซั่งกวนเยี่ยนรำพัน
เซียวเจิ้นถิงพยักหน้า “นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบเจ้า”
เพียงมองเห็นแต่ไกล ก็จดจำได้ชั่วชีวิต หลังจากนั้นไม่ว่าสกุลเซียวจะทาบทามแม่นางคนใดให้เขา แต่ทุกคืนที่ข่มตาลง เขาก็จะเห็นแต่เพียงนาง
ซั่งกวนเยี่ยนทำตาโต “ท่านคิดถึงข้ามานานเท่าใด?”
เซียวเจิ้นถิงกระแอม ไม่กล้าตอบ
ซั่งกวนเยี่ยนมิได้เคืองโกรธ หากไม่ใช่เพราะเขาผู้นี้ยังคงถวิลหานาง ดึงนางไว้ในยามคับขัน นางคงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ เดิมทีแต่งงานกับเขาก็ไม่อยากติดค้าง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังติดค้างเขาอยู่ดี
ในตอนนั้นฮ่องเต้ตรงคัดค้านการแต่งงานเป็นอย่างมาก หนึ่งก็เพื่อรักษาหน้าของเยี่ยนอ๋องผู้ล่วงลับ สองก็เพราะกังวลว่าบุตรของนางและเซียวเจิ้นถิงจะทำให้ตำแหน่งของเยี่ยนจิ่วเฉาสั่นคลอน…จนสุดท้ายแล้วมาช่วงชิงทุกสิ่งที่เป็นของเยี่ยนจิ่วเฉา เพราะฉะนั้นจึงทรงพระราชทานยาขับลูกให้กับนาง
ซั่งกวนเยี่ยนไม่ได้นึกเสียใจที่ไม่มีลูก ชั่วชีวิตของนางมีฉงเอ๋อร์เป็นลูกเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว นางไม่เคยคิดจะมีลูกสืบสกุลให้เขา เขาชื่นชอบร่างกายของนาง นางก็มอบร่างกายให้เขา ส่วนเรื่องลูกนั้น…นางคิดว่าคงจะมีสตรีคนอื่นที่ยินดีให้กำเนิดบุตรสืบสกุลให้เขา
ไหนเลยจะรู้ว่าเขาไม่ต้องการ
ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่านางให้กำเนิดบุตรไม่ได้…ก็ยังไม่ต้องการ
……
ณ จวนคุณชาย เยี่ยนจิ่วเฉาตื่นนอนแล้ว เมื่อลืมตาตื่นก็พบว่าอวี๋หวั่นยังคงนอนอยู่ข้างกายเขา ศีรษะหนุนอยู่บนแขนข้างหนึ่ง มองมายังเขาอย่างไม่รีบร้อน
วันนี้ ตื่นสายกว่าวันอื่นๆ
เยี่ยนจิ่วเฉาถูกสายตาของอวี๋หวั่นทำให้รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองไปชั่วขณะหนึ่ง เขากระแอม ลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ทำไมมองข้าอย่างนั้น?”
อวี๋หวั่นหรี่ตา “เยี่ยนจิ่วเฉา เมื่อคืนท่านฝันร้ายใช่ไหม?”
“เปล่า” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
อวี๋หวั่นมองเขาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ดึงจนคนหลับลึกอย่างเธอสะดุ้งตื่น ถ้าไม่ใช้ฝันร้ายแล้วจะเรียกว่าอะไร?
เยี่ยนจิ่วเฉาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขาก้มสวมรองเท้าแล้วบอกว่า “องค์ชายที่เหลือก็จะได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้วเช่นกัน เจ้าเตรียมของขวัญไว้ให้พร้อม มีราชโองการลงมาเมื่อไรก็นำของขวัญส่งไปได้”
“แล้วท่านละ?” อวี๋หวั่นเท้าคางพลางเอ่ยถาม
เยี่ยนจิ่วเฉาชะงักไปครู่หนึ่ง
อวี๋หวั่นมองแผ่นหลังของเขา “พวกเขาได้รับการแต่งตั้ง ฝ่าบาทก็คงไม่ทรงละเลยท่าน ครั้งนี้ท่านยังคิดจะปฏิเสธอยู่ไหม?”
ผู้อื่นได้อ้อนวอนขอตำแหน่งของเยี่ยนอ๋อง เขากลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้แต่ตำแหน่งผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์เขาก็ไม่ต้องการ คนที่รู้เรื่องราวก็จะบอกว่าเขายังคงโกรธฮ่องเต้ แต่คนที่ไม่รู้จักก็จะคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ตอบ
อวี๋หวั่นลงจากเตียง หยิบเสื้อให้เขาเปลี่ยน “เยี่ยนจิ่วเฉา ท่าน…ท่านยอมรับเรื่องการจากไปของเยี่ยนอ๋องไม่ได้มาตลอดใช่หรือไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉาชะงัก แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะลองคิดดู”
อวี๋หวั่นรู้สึกแปลกใจ เขาตอบมาว่าจะลองคิดเรื่องการสืบทอดตำแหน่งท่านอ๋อง อวี๋หวั่นสายหน้า “อย่าบังคับใจตัวเองเลย ต่อให้ท่านไม่สืบทอดตำแหน่งก็ไม่เป็นไร ข้าแต่งงานกับท่านก็เพราะตัวท่าน ไม่ใช่เพราะตำแหน่งท่านอ๋อง”
เยี่ยนจิ่วเฉาพึมพำว่า “ตำแหน่งชายาของเยี่ยนอ๋องมีเงินเดือน”
อวี๋หวั่นก้มหน้าลง “ท่านคิดดีๆ!”
เยี่ยนจิ่วเฉา “…”
เป็นเพราะงานแต่งของเฉิงอ๋องและองค์หญิงซยงหนูใกล้เข้ามาแล้ว เมืองหลวงจึงเริ่มใช้กฎอัยการศึก ได้ยินว่าราชทูตจากหนานจ้าวกำลังจะมาถึงเมืองหลวงแล้ว หลังจากนี้สักสองสามวัน เกรงว่าราษฎรทั่วไปคงจะเข้าออกเมืองหลวงไม่ง่าย อวี๋หวั่นจึงรีบไปรับเด็กๆ มาก่อน
“ฮูหยินน้อย ซื้อขนมมาแล้วเจ้าค่ะ” จื่อซูถือกล่องอาหารกล่องใหญ่สองกล่อง
“ของโจวจี้หรือ?” อวี๋หวั่นถาม
โจวจี้คือร้านขนมที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ขนมกุ้ยฮวาของพวกเขาอร่อยมาก อวี๋หวั่นเคยกินครั้งหนึ่ง และคิดว่าต้องถูกปากเด็กๆ จึงให้เจียงเสี่ยวอู่และเจียงไห่ไปซื้อมา
“ผ้าต่วนและชุดน้ำหมึกก็เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” จื่อซูให้คนยกกล่องใบใหญ่เข้ามา ผ้าต่วนใช้สำหรับตัดเป็นเสื้อผ้าของคนสกุลอวี๋ ชุดน้ำหมึกสำหรับให้เถี่ยตั้นน้อย ไม่ได้กลับบ้านไปนาน ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กน้อยจะเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อคิดถึงน้องชาย รอยยิ้มก็วาดผ่านใบหน้าอวี๋หวั่น
“นั่นคืออะไร?” สายตาของอวี๋หวั่นไปหยุดอยู่ที่กล่องใบหนึ่ง
จื่อซูกล่าวด้วยความงุนงง “เป็นของที่คุณชายให้องครักษ์อิ่งนำมา บอกว่าเป็น…กระบี่ บ่าวไม่มั่นใจเจ้าค่ะ”
น่าจะนำไปให้ท่านพ่อ อวี๋หวั่นลอบยิ้มมุมปาก “เก็บไว้ก็พอ ใช่สิ วันก่อนฮองเฮาทรงให้คนนำแป้งชาดมาให้ ใส่ลงไปหรือยัง?”
“อยู่นี่เจ้าค่ะ ฮูหยินน้อย” จื่อซูเปิดกล่องใบที่สอง แล้วหยิบกล่องไม้เถามู่ออกมา
แป้งชาดดีหรือไม่อวี๋หวั่นไม่รู้ แต่กล่องดูสวยจริงๆ
“คุณชายเล่า?” อวี๋หวั่นถามต่อ
จื่อซูปิดฝากล่อง “คุณชายเข้าวังไปแล้วเจ้าค่ะ วันนี้คุณชายจะไปหมู่บ้านเหลียนฮวาหรือไม่ ฮูหยินต้องการให้ส่งคนไปดูไหมเจ้าคะ?”
อวี๋หวั่นบอกว่า “มิจำเป็น ข้ากลับไปคนเดียวได้”
ไม่ใช่วันสำคัญอะไรสักหน่อย เยี่ยนจิ่วเฉาไปหรือไม่ไปก็ไม่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้นหลายวันมานี้ราชสำนักวุ่นวายเหลือเกิน ได้ยินว่าคนจากหงหลูซื่อไม่พอ จนฮ่องเต้ทรงต้องลากเฉิงอ๋องซึ่งกำลังจะแต่งงานมาเติมให้ครบจำนวน
แน่นอนว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ง่วนอยู่กับเรื่องนี้แต่อย่างใด เขาทำให้องค์ชายรองบาดเจ็บหนักจนทำงานไม่ได้ ยังแย่งคดีของโจวไหวมาอย่างไร้ยางอาย ต่อให้คนที่เป็นเจ้าหน้าที่ได้เพียงไม่กี่วันไปสืบคดีที่คุกหลวง ก็คงไม่วายมีข้อมูลมากพอที่จะขนมากองทับร่างเขาได้ กระนั้นฮ่องเต้ก็ยังคงหลับตาข้างลืมตาข้าง ปล่อยให้เยี่ยนจิ่วเฉาวุ่นวายอยู่ในคุกหลวงต่อไป
เมื่อนึกบางอย่างออก อวี๋หวั่นก็ถามว่า “คุณชายได้ดื่มยาก่อนออกไปข้างนอกหรือไม่?”
พิษในร่างกายของเขายังไม่ถูกขจัดออกไปหมด ยังต้องใช้เวลาปรับสมดุลอีกประมาณสามถึงห้าเดือน
จื่อซูตอบว่า “ดื่มแล้วเจ้าค่ะ ตามคำสั่งของฮูหยิน บ่าวเห็นกับตาว่าคุณชายดื่มยาแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี” อวี๋หวั่นพยักหน้า คล้ายกับไม่มีเรื่องจะสั่งแล้ว “เจ้าอยู่ที่นี่เถิด ให้ฝูหลิงกับปั้นซย่าไปกับข้า”
“เจ้าค่ะ” จื่อซูตอบ แล้วเดินออกไปเรียกปั้นซย่าและฝูหลิง
เดิมทีอวี๋หวั่นคิดว่าจะไปรับอวี๋ซงด้วย น่าเสียดายที่การสอบของเดือนนี้กำลังใกล้เข้ามาแล้ว อวี๋ซงต้องทบทวนบทเรียน หลังจากอาหารเช้า อวี๋หวั่นจึงพาฝูหลิงและปั้นซย่าขึ้นรถม้ากลับหมู่บ้าน
ในใจของอวี๋หวั่นรู้สึกตื่นเต้นเหลือเกิน
คิดไปคิดมา เธอไม่ได้พบหน้าลูกมาครึ่งเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง กินข้าวอย่างว่าง่ายหรือไม่? ผอมลงหรือเปล่านะ?
เรื่องนี้ทำให้เธอกังวล เมื่อนึกถึงครั้งก่อนที่เด็กน้อยทั้งสามซูบผอมไป หัวใจของอวี๋หวั่นก็รู้สึกผิดขึ้นมา ไม่ควรให้พวกเขาอยู่ที่หมู่บ้านนานเกินไป เธอควรจะรับพวกเขากลับมาดูแลให้ดี
ขณะที่คิดอยู่นั้น รถม้าก็มาถึงหมู่บ้าน
“ฮูหยิน บ้านหลังไหนหรือขอรับ?” เจียงเสี่ยวอู่เอ่ยถาม เขากับเจียงไห่ไม่เคยมาที่นี่ ไม่รู้ว่าบ้านของอวี๋หวั่นอยู่ที่ใด
“บ้านหลังนั้นที่อยู่ทางทิศตะวันออกที่สุด” อวี๋หวั่นพูดจบ ก็ชี้ไปยังบ้านเดิมสกุลอวี๋ “จอดที่บ้านลุงใหญ่ข้าก่อน”
“ขอรับ!” เจียงเสี่ยวอู่ตวัดแส้ รถม้าจอดลงที่หน้าบ้านเก่าสกุลอวี๋ คนในหมู่บ้านไปทำงานที่โรงงาน บ้านเดิมจึงว่างเปล่า ฝูหลิงลงจากรถม้าก่อน จากนั้นก็พยุงอวี๋หวั่นและปั้นซย่าลงมา
“ใครมาหรือ?” เสียงของป้าสะใภ้ใหญ่ดังมาจากในครัว
“ข้าเอง ป้าสะใภ้ใหญ่” อวี๋หวั่นยืนยิ้มอยู่ในโถงกลางบ้าน
“อาหวั่น?” ป้าสะใภ้ใหญ่วางมือจากเสื้อผ้าที่เพิ่งซักไปได้ครึ่งเดียว แล้วรีบร้อนเดินออกมา “เป็นอาหวั่นจริงๆ ด้วย! ข้าคิดว่าข้าหูฝาดเสียอีก!”
“ป้าสะใภ้ใหญ่” อวี๋หวั่นเดินไปข้างหน้า
ป้าสะใภ้ใหญ่จับมือของอวี๋หวั่นไว้ด้วยความตื่นเต้น “พวกเขาไปโรงงานกันหมด เด็กๆ อยู่ที่ลานหลังบ้าน!”
อวี๋หวั่นรีบเดินไปยังสวนหลังบ้าน อวี๋หวั่นมองอยู่นานก็หาลูกของตนไม่เจอ “เอ๋…อยู่ไหนหรือ?”
“นี่ไง! อยู่นี่ไง!” ป้าสะให้ใหญ่แตะไหล่เด็กซึ่งกำลังนั่งยองเล่นน้ำอยู่ที่พื้น “ต้าเป่า แม่เจ้ามาแล้ว!”
ต้าเป่าหันมาด้วยสีหน้างุนงง
อวี๋หวั่นตะลึงงัน
ไม่นานเอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่าก็วิ่งออกมาจากห้องครัว ทั้งสองถือข้าวอยู่กำมือหนึ่ง พวกเขากำลังจะไปให้อาหารปลาในอ่าง
อวี๋หวั่นแทบจะเป็นลม
ดะ…เด็กน้อยตัวอ้วนฉุสามคนนี้ คือลูกของเธอจริงๆ หรือ?!
…………………………………