หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 143 หางาน
หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 143 หางาน
บัดนี้นักบวชผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าปีศาจ ผู้พิทักษ์ทั้งซ้ายและขวา รวมไปถึงวายร้ายอันดับหนึ่งของเผ่ากำลังประสบปัญหาขาดแคลนเงินค่าเดินทาง เมื่อทั้งสี่เห็นเงินบนโต๊ะซึ่งเหลืออยู่เพียงหนึ่งเหรียญทองแดง ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้แต่นั่งเงียบ
เป็นเพราะไม่รู้จักประหยัดอดออม พวกเขาใช้เงินที่มีอยู่อย่างสุรุ่ยสุร่าย อีกทั้งยังไม่ทำการค้า รายได้น้อยกว่ารายจ่าย สุดท้ายแล้วก็ใช้เงินที่มีอยู่จนหมด
นี่เป็นความจริงอันแสนเจ็บปวด
“ได้ยินว่าชาวคนจงหยวนนั้นงมงาย ข้าสามารถทำนายดวงชะตาให้พวกเขาได้” อาม่าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เป็นถึงนักบวชผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าปีศาจ โหราศาสตร์เป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนัก คงจะหาเงินได้มากพอสมควร
ชิงเหยียนกล่าวว่า “ชาวจงหยวนนิยมการเขียนพู่กัน ข้ามีวิชาความรู้มากที่สุดในเผ่า ข้าสามารถขายภาพเขียนตัวอักษรได้”
อาม่าพยักหน้า เป็นความคิดที่ดี
เยวี่ยโกวเอ่ยขึ้นว่า “พรสวรรค์ของข้าคือพละกำลัง ข้าไปเป็นคนคุ้มกันสินค้าได้”
อาม่าพยักหน้าอีกครั้ง ก็ไม่เลว
ดูเถิด พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้มีความสามารถ หาเงินมิใช่เรื่องยาก ไม่นานพวกเขาก็หาเงินค่าเดินทางกลับบ้านได้แล้ว
เป็นวันที่อากาศดีอีกวันหนึ่ง คนในหมู่บ้านเหลียนฮวาต่างง่วนอยู่กับงาน งานในโรงงานเริ่มแล้ว บ้านใหม่สามห้องนอนก็กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้าง คนสกุลอวี๋กำลังปวดเศียรเวียนเกล้ากับผู้คนจำนวนมาก คนส่วนใหญ่มาที่นี่หลังจากรู้ข่าว ผู้ที่เดินทางมาแสดงความยินดีให้ไปที่บ้านเดิมสกุลอวี๋ ผู้ใดที่มาหางานทำให้ไปที่บ้านใหม่สกุลติง
เยี่ยนจิ่วเฉาออกเดินทางไปที่ว่าการตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ไม่นานอวี๋หวั่นก็ตื่นนอน และปล่อยให้เด็กน้อยทั้งสามนอนหัวไปทางหางไปทางอยู่บนเตียง
ในโถงกลางบ้านมีชาวบ้านมารอกันอย่างคับคั่ง มีทั้งคนในหมู่บ้านและคนนอกหมู่บ้าน ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถึงตาของอาเว่ย
อาเว่ยเดินไปด้านหน้า
อวี๋หวั่นยิ้มด้วยความดีใจ “อาเว่ย เจ้าก็มาหางานหรือ?”
“ไม่ใช่ข้า” อาเว่ยบอก “พวกข้า”
อาเว่ยหันหลัง แล้วชี้ไปยังอีกสามคนซึ่งติดตามมาด้วย “นี่คือพี่ใหญ่ข้า นี่คือพี่รองข้า นี่คือท่านปู่ข้า”
“…” สองคนแรกยังพอเข้าใจได้ อวี๋หวั่นมองไปยังผู้เฒ่าผมสีขาวโพลน ทะ…ทำงานได้หรือ?
ครอบครัวของอาเว่ยได้รับการว่าจ้างทุกคน ไม่ใช่เพราะอาเว่ยช่วยชีวิตเธอไว้ แต่เป็นเพราะคนในครอบครัวของเขาล้วนแต่มีความสามารถ
ชิงเหยียน พี่ชายคนโตของอาเว่ยฉลาดหลักแหลม มีปฏิภาณไหวพริบ เหมาะแก่การอยู่ในห้องบัญชี
เยวี่ยโกว พี่ชายคนรองของอาเว่ยมีร่างกายแข็งแรง พละกำลังดุจโคถึก เหมาะแก่การขุดเหมือง
ท่านปู่ของอาเว่ย เห็นเขาอายุมากเช่นนี้ แต่ก็มีวิชาความรู้มาก ในหมู่บ้านไม่มีสำนักการศึกษา เด็กๆ ก็โตแล้ว อวี๋หวั่นคิดว่าจะลงทุนเปิดโรงเรียน เถี่ยตั้นน้อยจะได้ไม่ต้องไปเรียนในตำบล เด็กๆ ในหมู่บ้านจะได้เรียนหนังสือด้วย
ในส่วนของอาเว่ยนั้น…
อวี๋หวั่นมองไปยังเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนซึ่งกำลังเกาะขาของอาเว่ย เธอยกยิ้มมุมปากแล้วถามว่า “เจ้ายินดีจะเป็นอาจารย์สอนวิชายุทธ์ให้พวกเขาหรือไม่?”
ข้าไม่ยินดี อาเว่ยแอบคิดเช่นนี้ในใจ เขาเกลียดเด็กยิ่งกว่าสิ่งใด
อวี๋หวั่นยิ้ม “เดือนละสิบตำลึง”
งานวันแรกที่บ้านสกุลอวี๋ของนักบวชผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าปีศาจ ผู้พิทักษ์ทั้งซ้ายและขวา รวมไปถึงวายร้ายอันดับหนึ่งของเผ่าก็เริ่มต้นอย่างเรียบง่ายด้วยประการฉะนี้
……
บ้านสกุลอวี๋มีงานมากขึ้น อวี๋หวั่นจึงอยู่ต่ออีกหนึ่งวัน ทว่างานแต่งของเฉิงอ๋องและองค์หญิงซยงหนูใกล้เข้ามาแล้ว เธอจำเป็นต้องกลับเมืองหลวงไปเตรียมตัว
“เด็กๆ ต้องไปด้วยหรือ?” ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยถามขณะเก็บข้าวของ
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ต้องไปด้วย”
เด็กๆ กลับไปอยู่เมืองหลวงนานแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยออกงานสาธารณะให้ผู้ใดเห็นหน้า ครั้งนี้ก็ควรไปพบปะผู้คนบ้าง ไม่เช่นนั้นผู้คนจะคิดได้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ใส่ใจที่จะพาเลือดเนื้อเชื้อไขที่เธอให้กำเนิดไปเปิดหูเปิดตา
ป้าสะใภ้ใหญ่ถอนหายใจ เด็กในเมืองนั้นย่อมแตกต่าง อายุสามขวบก็ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว อย่างไรก็ดีฐานะของสกุลอวี๋ก็ดีขึ้นทุกวัน สักวันหนึ่งเถี่ยตั้นน้อยและเจินเจินก็จะมีโอกาสออกไปดูโลกกว้างบ้าง
ลุงใหญ่ตุ๋นเนื้อพะโล้หม้อใหญ่ และทำอาหารว่างอีกหลายชนิด อวี๋เฟิงขึ้นเขาไปตกปลาตัวอวบอ้วนจากลำธารมาสามสี่ตัว จวนคุณชายมิได้ขาดแคลนอาหารแต่อย่างใด แต่ของเหล่านี้คือน้ำใจของพวกเขา ครอบครัวของป้าจางทำน้ำพริกอร่อย ป้าสะใภ้ใหญ่จึงให้อวี๋หวั่นไปหนึ่งไห นางยังฝากรองเท้าไปให้อวี๋ซงอีกสองคู่
อวี๋หวั่นบอกว่า “เดี๋ยวข้าจะเอาไปให้พี่รอง”
ป้าสะใภ้ใหญ่รีบกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าก่อน มีเวลาค่อยเอาไปให้เขา”
เวลาได้ล่วงเลยไปครึ่งค่อนวันแล้ว กว่าจะเข้าเมืองหลวงก็คงมืดพอดี อีกทั้งตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน บุตรชายคนเล็กอยู่ในเมืองหลวง แม้อาหวั่นจะไม่ได้พูด แต่ป้าสะใภ้ใหญ่ก็รู้ว่าเธอดูแลอวี๋ซงเป็นอย่างดี ที่จริงนางไม่จำเป็นต้องฝากรองเท้าไปให้อวี๋ซงด้วยซ้ำ เพียงแต่นางคิดถึงลูกก็เท่านั้น
“เป็นทางผ่านพอดี” อวี๋หวั่นตอบด้วยรอยยิ้ม
ป้าสะใภ้ใหญ่นำของใส่บนรถม้าไปไม่น้อย เมื่อใส่ของไม่พอแล้ว นางจึงหยุด
อวี๋หวั่นพาเด็กน้อยทั้งสามขึ้นรถม้า
ป้าสะใภ้ใหญ่บอกว่า “ใช่สิ ต้นเดือนอย่าลืมกลับบ้าน พวกเราจะจัดงานเลี้ยงให้พ่อเจ้า”
“เจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นตอบรับ อีกด้านหนึ่ง รถม้าของเยี่ยนจิ่วเฉาก็เคลื่อนเข้ามาถึง
“ลุงใหญ่ ป้าสะใภ้ใหญ่” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยทักทายทั้งสอง จากนั้นก็เข้าไปในบ้านเพื่อกล่าวทักทายท่านพ่อท่านแม่ของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นถามเขาว่า “ท่านมาทำอะไร? ข้าบอกแล้วนี่ว่าข้ากลับเอง”
“เป็นทางผ่านพอดี” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
คนสกุลอวี๋หลุดหัวเราะ อวี๋หวั่นออกเรือนกับผู้ที่มีฐานะสูงกว่า พวกเขายังอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าอวี๋หวั่นจะเป็นทุกข์เมื่อเข้าไปอยู่ในจวนคุณชาย ทว่าดููจากท่าทางของเขยผู้นี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเขารักอวี๋หวั่นมาก เช่นนี้พวกเขาก็วางใจ
มีเพียงอวี๋เซ่าชิงซึ่งทำหน้าบูดบึ้ง เขามองไปยังคู่รักตรงหน้า แล้วกล่าวกับนางเจียงด้วยความรู้สึกหดหู่ว่า “ลูกไม่เคยยิ้มแบบนี้ให้ข้าเห็นเลย…”
นางเจียงยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้าก็ไม่เคยยิ้มแบบนี้กับลูกเขยเลย”
อวี๋เซ่าชิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เจ้าเคย”
นางเจียง: แหะๆ
………………………………….