หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 144 พิธีสมรส เทพแห่งการโอ้อวดลูก
หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 144 พิธีสมรส เทพแห่งการโอ้อวดลูก
หลายวันมานี้อวี๋หวั่นอยู่ในหมู่บ้าน เยี่ยนจิ่วเฉาใช้เวลาอยู่ในเมืองหลวงเป็นส่วนใหญ่ ทั้งสองไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง หลังจากกลับมาถึงจวนคุณชาย พวกเขาก็ป้อนข้าวเด็กน้อยทั้งสามและกล่อมจนหลับไป เมื่อเห็นว่าลูกๆ ตัวอ้วนฉุเช่นนี้ ในใจของเยี่ยนจิ่วเฉาก็ไม่อยากยอมรับ แต่เมื่อได้ยินอวี๋หวั่นบอกว่าครั้นเขายังเด็ก เขาก็ตัวอ้วนป้อมเช่นกัน เยี่ยนจิ่วเฉาก็พลันกระจ่างขึ้นมา
หลังจากที่เด็กๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา แม่นมก็มาอุ้มออกไป
ทั้งสองเดินย่อยอาหารอยู่ในลานบ้านสักพัก จากนั้นก็กลับเข้าห้องไปอย่างไม่รีบร้อน (ไม่รีบร้อนเลยสักนิด)
จื่อซูใบหน้าแดงก่ำ นางรีบบอกให้เหล่าสาวใช้ถอยออกไป ฝูหลิงเดินหน้าตาเหลอหลา ถือจานลูกพลัมซึ่งอวี๋หวั่นให้นางไปเก็บมา “ฮูหยินน้อยจะกิน”
“พรุ่งนี้เช้าค่อยเอามา!” จื่อซูถลึงตาใส่นาง แล้วดึงนางออกไป
อาจเป็นเพราะทั้งสองมีจิตใจเชื่อมถึงกัน หรืออาจเป็นเพราะเพิ่งแต่งงานใหม่ วันนี้เยี่ยนจิ่วเฉาทำให้อวี๋หวั่นหลงใหลเป็นพิเศษ ในสายตาของอวี๋หวั่นมีแต่เขา ใบหน้าหล่อเหลาของเขาในระยะประชิด รู้สึกได้ถึงความเริงรมย์ที่เขามอบให้ และเธอเองก็สัมผัสได้ถึงความสุขที่เขาได้รับจากเธอ
เธอคิดว่าเขาก็คงชอบมันเช่นกัน…เพียงแต่ชอบทำแบบนี้กับเธอคนเดียว
หัวใจของอวี๋หวั่นพลันรู้สึกชื่นมื่นขึ้นมา
ทั้งสองร่วมรักกันครึ่งค่อนคืน ยามสี่จึงได้พัก
……………….
วันที่ยี่สิบสามเดือนห้า ฤกษ์งามยามดี หมื่นหลี่ไร้เมฆ อากาศแจ่มใส
ฟ้ายังไม่สว่าง อวี๋หวั่นก็ถูกจื่อซูปลุกเสียแล้ว ครั้นอยู่ในหมู่บ้าน เธอเคยชินกับการตื่นแต่เช้าตรู่ แต่หลังจากเข้าหอ เธอก็มีท่าทีอิดออดราวกับกษัตริย์ผู้มัวมายอยู่ในกามารมณ์ไม่ยอมออกว่าราชการอย่างไรอย่างนั้น
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ” จื่อซูเกี่ยวผ้าม่านเอาไว้ “ได้เวลาตื่นแล้วเจ้าค่ะ”
“กี่โมงแล้ว?” อวี๋หวั่นมองไปยังหน้าต่างซึ่งเป็นสีดำ ย่างเข้าเดือนห้า ฟ้าสว่างเร็วขึ้น ตอนนี้ด้านนอกยังคงมืดสนิท เป็นไปได้ว่ายังไม่ถึงยามสี่
เป็นอย่างที่เธอคิด จื่อซูตอบว่า “ใกล้ยามสี่แล้วเจ้าค่ะ”
อวี๋หวั่นหันไปมองที่ว่างข้างกายเธอ “คุณชายละ?”
จื่อซูหยิบเสื้อผ้ามาคลุมสวมให้อวี๋หวั่น “คุณชายตื่นแล้วเจ้าค่ะ ไปห้องคุณชายน้อยแล้ว”
เป็นคนในราชวงศ์ก็ไม่ง่าย ต้องไปตั้งแต่เช้ามืด นั่นเป็นเพราะฤกษ์ดีคือตอนเช้า กระนั้นพวกเขาก็จำต้องไปตั้งแต่ยามห้า แม้จะเป็นพิธีสมรสของราชวงศ์ แต่นี่เป็นพิธีระหว่างสองดินแดน ก่อนพิธีจะต้องบวงสรวงสรรค์ในวังหลวงก่อน ฮ่องเต้ ฮองเฮา ราชวงศ์ รวมไปถึงข้าราชการทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ล้วนแต่มาเข้าร่วม
อวี๋หวั่นเปลี่ยนไปสวมชุดทางการของพระชายาเยี่ยนอ๋อง เห็นได้ชัดว่าเป็นชุดที่ตัดพอดีกับตัวเธอ แต่กระดุมด้านหน้าเกือบติดไม่ได้
จื่อซูมองสาบเสื้อแรงๆ ก็ลอบคิดว่าฮูหยินน้อยโตเร็วเหลือเดิน ไม่ได้อ้วนขึ้น แต่ก็มีเนื้อหนังในจุดที่ควรมีเพิ่มขึ้น นางอยากให้บุรุษทำอะไรๆ หรือ?
สวรรค์ นางกำลังคิดอะไรอยู่กันนี่?
จื่อซูแอบหยิกตนเองครั้งหนึ่ง ปล่อยวางความคิดฟุ้งซ่าน แล้วสวมอาภรณ์ให้อวี๋หวั่น
ปั้นซย่าเป็นคนหวีผม
อย่างไรเสียปั้นซย่าก็เป็นสาวใช้ในตระกูลใหญ่มาแต่เดิม งานเช่นนี้เป็นงานถนัดของนาง นางทำได้ดีกว่าจื่อซู
ปั้นซย่าทำผมให้อวี๋หวั่น จากนั้นจึงลงมือแต่งหน้า อวี๋หวั่นผิวดีเหลือเกิน ต่อให้ปราศจากการตกแต่งก็ยังทำให้
ตกตะลึงได้ หลังจากแต่งหน้าเพียงเล็กน้อยก็ดูงดงามโดดเด่น
ปั้นซย่าไม่เคยเห็นผู้ใดงามถึงเพียงนี้มาก่อน
ไม่ถูก ท่านแม่ของฮูหยินน้อยก็งดงามมากเช่นกัน
เพียงแต่ร่างกายอ่อนแอ ป่วยกระเสาะกระแสะ
ยามสี่ ณ จวนคุณชาย…
เมื่ออวี๋หวั่นแต่งตัวเสร็จ เยี่ยนจิ่วเฉาก็จูงเด็กน้อยทั้งสามซึ่งยังตื่นไม่เต็มตาเข้ามา
มือข้างซ้ายของเขาจูงต้าเป่า ต้าเป่าจูงเอ้อร์เป่า เอ้อร์เป่าจูงเสี่ยวเป่า มองจากมุมนี้ ดูราวกับเยี่ยนจิ่งเฉากำลังจูงถังหูลู่ลูกอ้วนๆ กลมๆ ไม้หนึ่ง
ถังหูลู่แต่ละลูกหาววอดๆ
แม้จะถูกปลุกมาแต่เช้า แต่ก็ไม่งอแงเหมือนเด็กทั่วไป พวกเขาเพียงแต่ท่าทางงัวเงีย อวี๋หวั่นปวดใจแทนเหลือเกิน
อวี๋หวั่นมองไปยังผู้ชายซึ่งกำลังจูงเด็กน้อยทั้งสาม เธอเปลี่ยนไปสวมชุดของพระชายา เขาก็เปลี่ยนไปสวมชุดของเยี่ยนอ๋อง สง่างามราวกับว่าคุณชายเอาแต่ใจผู้นี้มีพลังครอบครองใต้หล้าภายในชั่วข้ามคืน อวี๋หวั่นจ้องมองเขาอย่างไม่อาจละสายตาได้
เยี่ยนจิ่วเฉาก้าวไปข้างหน้าอวี๋หวั่น ส่งเด็กน้อยทั้งสามให้เธอ แล้วกระซิบข้างหูเธอว่า “บ้าผู้ชาย!”
อวี๋หวั่นตั้งสติได้ทันใด เธอทำตาโต มั่นใจเต็มร้อยว่าเธอเห็นการหยอกล้อและอารมณ์ขันในสายตาของเขา อวี๋หวั่นไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใด บ้าผู้ชายแต่ผู้ชายคนนั้นเป็นสามีของเธอเองก็เป็นเรื่องที่ดีแล้วไม่ใช่หรือ?
ฝูหลิงยกอาหารเช้าเข้ามา บนโต๊ะมีอาหารหลากหลายชนิดจัดวางจนเต็ม นางมีแรงมาก เพียงครู่เดียวก็ยกอาหารมาจัดวางจนครบ
อวี๋หวั่นป้อนโจ๊กลูกๆ ทั้งสามยังคงหลับตา หลังจากกินโจ๊กหมด พวกเขาก็ฟุบหลับลงกับโต๊ะ
จื่อซูและเถาเอ๋อร์แก้ขนาดเสื้อผ้าของพวกเขาภายในคืนนั้น ใครให้พวกเขาไปอยู่ที่หมู่บ้านเพียงยี่สิบวันแต่อ้วนขึ้นเป็นเท่าตัวได้เล่า พุงของต้าเป่าเป็นก้อนกลมจนกระดุมเสื้อระเบิดออก
อวี๋หวั่นทั้งโมโหทั้งรู้สึกขบขัน เธออุ้มต้าเป่ามาแล้วติดกระดุมให้เรียบร้อย แม่นมเข้ามาอุ้มเด็กๆ จากนั้นก็พบว่าอุ้ม! พวกเขา! ไม่! ขึ้น! แล้ว!
เป็นอิ่งสือซันที่อุ้มต้าเป่าและเอ้อร์เป่า ส่วนอิ่งลิ่วอุ้มเสี่ยวเป่า ดูประหนึ่งเป็นครอบครัวซึ่งมีลูกสามคนอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาเดินขึ้นรถม้าไป
อวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาขึ้นรถม้าอีกคันหนึ่ง
อิ่งลิ่วมองเด็กน้อยในอ้อมอกของตน หลังจากนั้นก็มองไปยังอิ่งสือซันซึ่งนั่งข้างเขาและเด็กน้อยอีกสองคน คิ้วโก่งได้รูปขมวดเป็นปม ไฉนจึงรู้สึกแปลกๆ บอกไม่ถูก!
หลังจากเดินทางมาถึงวังหลวง อวี๋หวั่นก็ไปยังตำหนักเจาหยางก่อน เธอไม่ได้มาเป็นคนแรก พระชายาองค์ใหญ่ พระชายาขององค์ชายสาม รวมไปถึงบรรดาเชื้อพระวงศ์ต่างก็มาสนทนากับฮองเฮา
“ฮองเฮา ฮูหยินน้อยเยี่ยนมาแล้วเพคะ”
ฮองเฮากำลังจับมือลูกสะใภ้ นางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เข้ามาเร็ว!”
ผู้คนต่างรอคอยการมาถึงของฮูหยินซึ่งมาจากครอบครัวชาวบ้านทั่วไปผู้นี้ ในพิธีสมรสไม่มีโอกาสได้เห็นรูปโฉมของนางชัดๆ วันนี้เป็นโอกาสดีที่จะได้มองสักหน่อย ได้ยินฮองเฮาทรงเล่าว่าเป็นสตรีซึ่งงดงามปานเทพเซียน พวกนางไม่อยากเชื่อ ดรุณีน้อยจากชนบทจะไปงามปานเทพเซียนได้อย่างไร?
ทว่าวินาทีที่อวี๋หวั่นเดินเข้ามา ฝูงชนต่างเงียบลงทันที
ผู้มาเยือนสวมอาภรณ์ทางการสีกรมท่าของพระชายาเยี่ยนอ๋อง สาบเสื้อ แขนเสื้อ และชายเสื้อมีขอบสีทอง อาภรณ์ชุดนี้ถูกออกแบบมาให้ดูหรูหราและสง่างาม แต่มันก็เลือกผู้สวมใส่ หากไม่ระวังก็อาจสวมออกมาแล้วดูแก่และเชยก็เป็นได้ แต่อวี๋หวั่นก็สามารถดึงจุดเด่นของมันออกมาได้ ใบหน้าอ่อนเยาว์ คิ้วงามดูมีพลัง องคาพยพบนใบหน้าของนางมิได้นับว่าสมบูรณ์แบบในแวบแรกที่เห็น แต่ทำให้คนรู้สึกสบายตา ท่วงท่าดูโดดเด่นงามสง่า
ผู้คนล้วนแต่ตกตะลึง ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง ได้แต่มองไปยังวี๋หวั่น เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดเข้ามาข้างในอีก และแน่ใจแล้วว่าอาภรณ์ที่อวี๋หวั่นสวมอยู่นั้นคือชุดของพระชายาเยี่ยนอ๋อง ครานี้ทุกคนล้วนแต่ตะลึงจนอ้าปากค้าง
ไหนบอกว่าเป็นสตรีจากชนบท?
เหตุใดดูเป็นสตรีชั้นสูงมากกว่าพวกนางเสียอีก?
อวี๋หวั่นเดินตรงเข้ามาด้วยสายตาแน่วแน่ แล้วถวายบังคมครั้งหนึ่ง “ถวายบังคมฮองเฮา ขอทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน”
ฮองเฮาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็โบกมือให้อวี๋หวั่นลุกขึ้น “กำลังพูดถึงเจ้าอยู่พอดี”
อวี๋หวั่นยืนตามปกติ เธอยิ้มน้อยๆ ถามว่า “ตรัสถึงหม่อมฉันว่าอย่างไรหรือเพคะ?”
ฮองเฮากล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “บอกว่าเจ้ามัดใจบุรุษได้อยู่หมัด มีลูกด้วยกันสามคน เจ้าต้องมาอยู่เป็นเพื่อนซางจื่อ ให้นางได้ซึมซับโชคดีของเจ้าบ้าง”
ซางจือเป็นชื่อเล่นของพระชายาในองค์ชายใหญ่ ว่ากันว่าในวัยเด็กนางล้มป่วยครั้งใหญ่ ด้วยเกรงว่าจะไม่มีชีวิตรอด จึงใช้วิธีตั้งชื่ออัปลักษณ์แบบชาวบ้านเพื่อปัดเป่าโรคร้าย เพียงแต่ชื่อโก่วตั้นหนิวตั้นนั้นออกจะระคายหูไปสักหน่อย ดังนั้นจึงใช้ชื่อซางจื่อ
อวี๋หวั่นมองไปยังท้องของพระชายาใหญ่ซึ่งถูกบดบังด้วยอาภรณ์ ก็ยิ้มออกมาน้อยๆ “พี่สะใภ้เป็นคนมีโชค พระ
ครรภ์เป็นเช่นนี้ หม่อมฉันว่าอาจเป็นผู้ชายเพคะ”
ตั้งครรภ์สี่เดือนไม่นับว่านาน ไหนเลยจะท้องกลมได้เพียงนี้? หากเป็นเมื่อก่อนอวี๋หวั่นก็คงไม่กล่าวออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นนี้ แต่ปัจจุบันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว มีบางเรื่องที่อวี๋หวั่นเพิกเฉยได้ บางเรื่องอวี๋หวั่นก็ต้องพูดออกมา
ไม่ว่าผู้ใดก็ชอบฟังคำพูดดีๆ ต่อให้เป็นคำเยินยอแล้วอย่างไร? ฮองเฮาก็ดีใจเหลือเกิน
ฮองเฮาแนะนำสตรีในห้องให้อวี๋หวั่นรู้จัก “นี่คือน้องสะใภ้สามของเจ้า”
อวี๋หวั่นค้อมกายเล็กน้อย “พระชายาสาม”
ฮองเฮาเรียกว่าน้องสะใภ้แล้ว พระชายาสามจึงไม่กล้าเย่อหยิ่ง นางเข้าไปพยุงอวี๋หวั่นให้ลุกขึ้น
หลังจากนั้นก็เป็นพระชายาของจิ้นอ๋องและพระชายาของหลิงอ๋อง จิ้นอ๋องและหลิงอ๋องล้วนเป็นน้องชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เป็นเพราะมารดาของตนมีฐานะไม่สูง พวกเขาเองก็ไม่ได้ทะเยอทะยาน ในตอนนั้นจึงไม่ได้เข้าร่วมการชิงราชบัลลังก์ และด้วยเหตุนี้จึงอยู่อย่างสงบสุขเสมอมา
หลังจากที่จัดการบรรดาน้องชายที่มักใหญ่ใฝ่สูงและทำให้พวกเขามีจุดจบที่อนาถแล้ว เพื่อที่จะทวงคืนความเกรียงไกรของพระองค์ ฮ่องเต้จึงปฏิบัติต่อจิ้นอ๋องและหลิงอ๋องเป็นอย่างดี ศักดินาของพวกเขาแม้จะไม่มากเท่าเยี่ยนอ๋อง แต่ก็นับว่าร่ำรวย มารดาของพวกเขาได้ฐานะจากไท่ผินให้เป็นไท่เฟย และได้ย้ายออกมาจากตำหนักเย็นไปอยู่ในตำหนักซึ่งใหญ่โตและหรูหรากว่า
จิ้นเฟยและหลิงเฟยมิได้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แต่พวกนางก็รู้ตัวดีว่าที่พวกเขามีได้ทุกวันนี้ก็เพราะเรื่องในอดีต หลายปีมานี้มิใช่ว่าไม่มีผู้ใดมายั่วยุ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าลุกขึ้นก่อกบฏ ทั้งไม่มีสติปัญญามากพอ และไม่มีความกล้าหาญพอ
อวี๋หวั่นกล่าวทักทายพวกนางอย่างรู้มารยาท
ที่นั่งอยู่ก็มีองค์หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานอีก อวี๋หวั่นล้วนแต่กล่าวทักทายแล้วทั้งหมด
“ใช่สิ เหตุใดไม่เห็นเด็กๆ สามคนเลยเล่า?” ฮองเฮาตรัสถาม
อวี๋หวั่นยิ้มแล้วตอบว่า “ท่านพ่อของพวกเขาพาไปแล้วเพคะ”
หลังจากที่โอ้อวดภรรยาไปแล้ว คุณชายก็เริ่มจะคุยโวเรื่องลูกของตน
นอกตำหนัก
องค์ชายใหญ่ “องค์หญิงลูกข้าเดินหมากได้ไม่เลว”
คุณชายเยี่ยน: ข้ามีลูกชาย
องค์ชายสาม “องค์หญิงรองวาดรูปได้ดี”
คุณชายเยี่ยน: ข้ามีลูกชาย
ท่านอ๋องสักคนหนึ่ง “เจ้าหนูลูกข้าอายุเจ็ดขวบ แต่ขี่ม้าได้แล้ว”
คุณชายเยี่ยน: ข้ามีลูกชายสามคน!
ผู้คน “…”
เอาเถิด ท่านชนะแล้ว
…………………………………..