หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 149 หญิงงามอันดับหนึ่ง
ในเรือนชิงเฟิง อวี๋หวั่นพูดคุยกับไป๋ถัง “ไยท่านมิได้มาที่นี่เสียนาน?”
จื่อซูนำเถาจื่อ[1] และหลี่จื่อ[2] สดที่ล้างแล้วมาหนึ่งถาด
ไป๋ถังหยิบเถาจื่อลูกที่สีสันสดใสขึ้นมาลูกหนึ่งพลางกล่าวว่า “เจ้ายุ่งถึงเพียงนั้น ไหนเลยข้าจะกล้ามารบกวน?”
อวี๋หวั่นหัวเราะ “ไม่ว่ายุ่งเพียงใด ข้าก็มีเวลาให้ท่าน” เธอพูดพลางมองไปที่จื่อซู “มีลูกท้อด้วยหรือไม่?”
“มีเจ้าค่ะ กำลังหั่น” จื่อซูกล่าวด้วยความเคารพ
อวี๋หวั่นพยักหน้า เมื่อหันกลับมาก็เห็นไป๋ถังมองตนราวกับคิดบางอย่างอยู่ เธอจึงถามว่า “เป็นอันใดไป? มีสิ่งใดติดอยู่บนหน้าข้าหรือ?”
ไป๋ถังยิ้ม “ดูคล้ายกับพระชายามากขึ้นเรื่อยๆ เลย”
นี่หาใช่คำพูดเยินยอ ยามแรกที่ได้รู้ว่าอวี๋หวั่นกำลังจะแต่งงานกับเยี่ยนจิ่วเฉา นางกังวลแทนอวี๋หวั่นเป็นอย่างมาก นางกังวลว่าอวี๋หวั่นจะไม่อาจอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อย่างปลอดภัย มิใช่เพราะคิดว่าอวี๋หวั่นไม่คู่ควรกับเยี่ยนจิ่วเฉา กลับกัน คนบ้าคลั่งอย่างเยี่ยนจิ่วเฉาได้แต่งงานกับสตรีที่ชาญฉลาดและมากความสามารถอย่างอวี๋หวั่นได้ ก็นับว่าเป็นผลบุญที่เขาสั่งสมมานานแปดชาติแล้ว จะมีสักกี่คนในโลกนี้ที่ทนกับความเจ้าอารมณ์ของเขาได้? สตรีที่ต้องการแต่งงานกับเขาก็แค่ชื่นชอบในความงดงามและสถานะของเขาเท่านั้น หากเขาไม่มีใบหน้านี้ และมรดกตกทอดของจวนเยี่ยนอ๋อง สตรีผู้ใดจะเต็มใจแต่งงานกับเขา?
“เจ้าชื่นชอบสิ่งใดถึงได้แต่งงานกับเยี่ยนจิ่วเฉา?” ไป๋ถังจิตใจล่องลอย หลุดปากถามสิ่งที่ตนสงสัยอยู่ในใจออกมา
อวี๋หวั่นกล่าวโดยไม่ลังเล “ใบหน้าของเขาไง!”
งดงามขนาดนี้!
ไป๋ถัง “…”
จื่อซูนำลูกท้อหวานฉ่ำที่หั่นแล้วขึ้นโต๊ะ ผลไม้ของจวนคุณชายอร่อยกว่าตามในท้องตลาด ลูกท้อหวานฉ่ำมีรสชาติของลูกท้อเข้มข้น ทั้งเนื้อนุ่มและฉ่ำน้ำ แต่หากกินมากเกินไปก็อาจทำให้รู้สึกฝาดชาได้เล็กน้อย กลับกัน หากไม่มีรสชาติความฝาดนี้ ก็คงไม่มีรสชาติของลูกท้อเท่าไร
ไป๋ถังกินสองชิ้นใหญ่ในคำเดียว อวี๋หวั่นกังวลว่าฟันของนางจะเข็ดเกินไป จึงส่งขนมอบชิ้นเล็กๆ ที่นุ่มและมีกลิ่นหอมให้นาง
“กินไม่ไหวแล้ว กินไม่ไหวแล้ว” ไป๋ถังโบกมือปราม
ไป๋ถังไม่ได้มาหาอวี๋หวั่นเพราะนางเบื่อ นางมีเพื่อนในเมืองหลวงไม่มากนัก เดาว่าอวี๋หวั่นก็คงเป็นเช่นเดียวกับนาง นางจึงรีบมาแก้เบื่อที่นี่แต่เช้าตรู่ ทว่าไหนเลยจะรู้ว่านั่งไปได้ไม่นาน ก็มีคนรับใช้มารายงานว่าจวนสกุลเซียวส่งของขวัญขอบคุณมาให้
อวี๋หวั่นให้ฝูหลิงนำของขวัญเข้ามา
แพรต่วนราคาแพงสองสามพับและเครื่องประดับมาจากฮูหยินใหญ่เซียว ส่วนถุงผ้าใส่เงินใบเล็กและผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมอันงดงามวิจิตรเซียวจื่อเยว่เป็นคนปัก สกุลเซียวขอบคุณที่เธอช่วยชีวิตเซียวจื่อเยว่ในงานเลี้ยงงานแต่งงาน ฮูหยินใหญ่เซียวมอบของขวัญล้ำค่ามามากมาย ของเซียวจื่อเยว่ก็ไม่จำเป็นแล้ว
แม้จะเป็นเงินไม่มาก แต่เซียวจื่อเยว่มอบให้ด้วยน้ำใจของนาง
“ดูเหมือนว่าพระชายาเยี่ยนของเราจะมีเพื่อนในเมืองหลวงเสียแล้ว” ไป๋ถังเอ่ยด้วยความปวดร้าว
อวี๋หวั่นตอบ “นั่นเทียบไม่ได้กับท่านหรอก นอกจากจะเป็นเพื่อนของข้าแล้ว ท่านยังจะเป็นพี่สะใภ้ในอนาคตของข้าด้วย”
ไป๋ถังตะโกน “เช่นนั้นนางก็เป็นน้องสะใภ้เจ้าด้วย!”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “กล่าวเช่นนี้ ยอมรับว่าเป็นพี่สะใภ้ของข้าแล้วหรือ?”
“ไอ้หยา เจ้า…” ไป๋ถังตระหนักได้ว่าตนเองตกหลุมพลางอวี๋หวั่นแล้ว นางจ้องอวี๋หวั่นด้วยความโกรธเคือง พร้อมกับวางถุงเงินใบน้อยลงและทำท่าไม่สนใจ
ผู้หญิงตัวเล็กเวลาโกรธช่างดูน่ารักเช่นนี้ทุกคน อวี๋หวั่นยิ้มมุกปากพลางเอ่ยว่า “เร็วๆ นี้พี่ชายของข้าก็คงจะไปสู่ขอท่านแล้ว” เมื่อก่อนเพราะความยากจนมิใช่หรือ? ตอนนี้พวกเขาเป็นคนที่มีเหมืองแล้ว ท่านพ่อก็ได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว อวี๋เฟิงกลายเป็นหลานชายของท่านโหว สถานะเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางถูกนายท่านไป๋ปฏิเสธ
“ใครอยากให้เขามาขอแต่งงานกัน?” ไป๋ถังกลอกตาสูง ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
อวี๋หวั่นเอ่ยในใจ ดูจากท่าทีแล้วคงต้องเร่งให้พี่ใหญ่ไปสู่ขอนางโดยเร็ว
“จริงสิ” ไป๋ถังมองไปที่ของขวัญขอบคุณจากสกุลเซียว และนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงถามอวี๋หวั่น “ข่าวลือที่ออกมานั้นเป็นความจริงหรือ?”
“ข่าวลืออันใด?” อวี๋หวั่นถาม
ไป๋ถังมองสาวใช้ที่อยู่ในห้องและกระแอมเบาๆ
อวี๋หวั่นออกคำสั่ง “พวกเจ้าออกไปก่อน”
“เจ้าค่ะ” เถาเอ๋อร์และหลีเอ๋อร์ออกจากห้องไปอย่างรู้ความ
อวี๋หวั่นชี้ของขวัญบนโต๊ะและเอ่ยว่า “ฝูหลิง นำของเหล่านี้ออกไป”
ฝูหลิงออกไปพร้อมกับของขวัญ มีเพียงอวี๋หวั่นที่เหลืออยู่ในห้อง ไป๋ถังจึงเอ่ยได้อย่างสบายใจ “ก็เรื่องที่แม่ทัพใหญ่เซียวขายชุดเกราะให้กับคนของหนานจ้าวอย่างไรเล่า ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ข้าได้ยินใครบางคนคุยกันระหว่างทางมาที่นี่ในรถม้า”
“พวกเขาว่าอย่างไรบ้าง?” อวี๋หวั่นถาม
ไป๋ถังตอบ “บอกว่าแม่ทัพใหญ่เซียวไม่ยอมขายชุดเกราะให้กับขุนนางแคว้นเว่ย แต่กลับขายให้คนของหนานจ้าว ทำตัวเหมือนคนทรยศชาติเพื่อประโยชน์ส่วนตน”
นี่มันอะไรกัน? ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องทรยศชาติเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้อย่างไร? ทั่วทั้งแผ่นดินต้าโจวคนที่ไม่มีทางทรยศชาติเพื่อประโยชน์ส่วนตนก็คือเซียวเจิ้นถิงกระมัง คนพวกนั้นจะใช้สมองก่อนแพร่กระจายข่าวลือไม่ได้หรือ?
อวี๋หวั่นส่ายศีรษะ “คำพูดไร้มูล แม่ทัพใหญ่เซียวมิได้ขายชุดเกราะให้กับหนานจ้าว แต่ขายให้กับพ่อค้าต้าโจวผู้หนึ่ง แล้วคนของหนานจ้าวก็มาซื้อชุดเกราะต่อจากพ่อค้าผู้นั้น”
“เขาขายมันจริงหรือ? เหตุใดต้องขายด้วยเล่า? เขาขาดแคลนเงินมากเลยหรือ?” แน่นอนว่าไป๋ถังพูดประชด แต่กลับไม่รู้ว่าตนเองพูดเรื่องจริงออกมา
เซียวเจิ้นถิงขาดแคลนเงินที่จะช่วยชีวิตเยี่ยนจิ่วเฉา
เขาสามารถเอ่ยปากขอเยี่ยนจิ่วเฉาได้ แต่เขาไม่ทำเช่นนั้น
เขายอมขายชุดเกราะที่เขารักสุดหัวใจมากกว่า
เขาต้องการเก็บความลับนี้ไปตลอดชีวิต แต่กลับถูกเห้อเหลียนฉีล่วงรู้เข้าโดยบังเอิญ
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่อวี๋หวั่นจะอธิบายเรื่องราวภายในให้ไป๋ถังฟังอย่างละเอียด
ในขณะที่อวี๋หวั่นกำลังคิดว่าจะทำให้เรื่องนี้ผ่านไปได้อย่างไร ไป๋ถังก็ทำหน้ามุ่ยพลางเอ่ยว่า “เอาละ เจ้าก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับสกุลเซียว สกุลเซียวเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าเจ้าก็คงไม่รู้เช่นกัน เฮ้อ น่าเสียดาย แม่ทัพใหญ่เซียวจงรักภักดีต่อประเทศถึงเพียงนั้น ยังถูกพ่อค้าเร่ชนชั้นต่ำด่าทอเสียๆ หายๆ…”
อวี๋หวั่นให้ไป๋ถังอยู่ทานมื้อกลางวัน และสั่งให้คนไปเก็บผลไม้สองสามตะกร้าใหญ่ๆ มาให้นาง ไป๋ถังไม่ต้องการอย่างอื่น รับไว้เพียงแค่ลูกท้อหวานฉ่ำเท่านั้น
อีกด้านหนึ่ง รถม้าของเยี่ยนจิ่วเฉาเคลื่อนมาจอดหน้าย่านโคมแดงที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง
หากเป็นในอดีต เยี่ยนจิ่วเฉาไม่มีทางมาสถานที่เช่นนี้ เพียงแค่ผ่านไปมาก็ยังรู้สึกขยะแขยง ทว่าวันนี้ เขามีเหตุจำเป็นต้องมาที่นี่
“คุณชาย ให้ข้าน้อยกับอิ่งลิ่วไปน่าจะดีกว่ากระมัง?” อิ่งสือซันเอ่ยนอกรถม้า
อิ่งลิ่วรีบกล่าวคล้อยตาม “ใช่แล้วขอรับ คุณชาย เรื่องแบบนี้แค่ข้ากับอิ่งสือซันก็เพียงพอแล้ว ท่านรอฟังข่าวจากพวกเราอยู่ที่รถม้าเถิด”
“มิจำเป็น” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยเบาๆ พลางก้มตัวลุกขึ้นมา
อิ่งสือซันเลื่อนเปิดผ้าม่าน
เนื่องจากเป็นเวลากลางวัน ในหอนางโลมจึงไม่ค่อยมีแขกมากนัก เหล่าหญิงสาวที่ชั้นสองยืนพิงราวบันไดกันอย่างเบื่อหน่าย มองผู้คนที่เดินผ่านไปมาด้วยสายตาหยิ่งผยอง ทันใดนั้น พวกนางก็เห็นรถม้าสี่ตัวคันหนึ่งมาจอดที่หน้าประตู นี่เป็นลักษณะเฉพาะของรถม้าราชนิกุล ทันใดนั้นพวกนางก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ไม่นานพวกนางก็เห็นบุรุษหน้าตาดีผู้หนึ่งลงมาจากรถม้า ชายผู้นี้หน้าตาดียิ่งนัก งดงามราวกับหยก มีท่าทีที่อาจหาญ หัวใจของเหล่าหญิงสาวต่างก็เต้นแรงขึ้นมาทันที ต่อมาพวกนางก็เห็นบุรุษที่ดูหล่อเหลาและสง่างามกว่าเดินลงมา เขารูปร่างสูงใหญ่กว่าคนก่อนหน้าเล็กน้อย และมีกลิ่นอายเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง
คุณชายตระกูลขุนนางที่ใดกัน? ช่างหล่อเหลาดูดีจนไม่อาจละสายตาได้จริงๆ
บรรดาหญิงสาวหัวใจสั่นไหว และบุรุษผู้เยือกเย็นคนนี้ก็เปิดม่านรถม้า
ด้านในยังมีคนอยู่อีกรึ?
เยี่ยนจิ่วเฉาลงมาจากรถม้า
เพียงแวบเดียว บรรดาหญิงสาวก็ตกตะลึงตัวแข็ง…
นี่เกรงว่าจะไม่ใช่คน ทว่าเป็นเทพบุตร!
เยี่ยนจิ่วเฉาย่างกรายเข้ามาในห้องโถง หอนางโลมที่เคยมีเสียงดังกลับเงียบลงทันใด ชัดเจนว่านี่เป็นสถานที่แห่งกามตัณหา ทว่าการมาถึงของบุรุษผู้นี้ กลับทำให้รู้สึกสูงส่งสง่างามขึ้นเล็กน้อย
แม่เล้าถูกความหล่อเหล่าของผู้มาเยือนกระแทกตาจนมึนงง พลันเอ่ยอย่างติดอ่าง “คุณ คุณ คุณ คุณ คุณ…”
“ข้าเป็นแม่ แม่ แม่ แม่ แม่!” อิ่งลิ่วมองนางอย่างฉุนเฉียว “หลีกไป! อย่าขวางทางคุณชายข้า!”
แม่เล้าถูกตัดบทอย่างไร้ปรานี “…ชาย!”
ในที่สุดประโยคก็ถูกเอ่ยจนจบ ทว่าผู้คนก็ได้หายไปหมดแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาขึ้นไปชั้นบน และเดินไปยังประตูห้องที่ถูกซ่อนไว้
อิ่งสือซันทราบดี จึงยกมือขึ้นผลักประตูเปิดออก
ในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเหล้า เห้อเหลียนฉีเมาเหล้าฟุบนอนบนตักของสาวงาม โดยมีสตรีของหอนางโลมในชุดวาบหวิวสองสามคนกำลังปรนนิบัติดูแลอย่างดี คนหนึ่งถือแก้วเหล้า คนหนึ่งถืออิงเถา และอีกคนคอยบีบนวดไหล่หลัง สุขสันต์เปรมปรีย์อย่างถึงที่สุด
เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เหล่าสาวงามที่กำลังปรนนิบัติดูแลก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่เยี่ยนจิ่วเฉา และต่างตกตะลึง
เห้อเหลียนฉีเหล่ตาอย่างมีความหมาย “โอ้ นี่มิใช่คุณชายเยี่ยนแห่งต้าโจวหรอกหรือ? ข้าได้ยินมาว่าเพิ่งแต่งงานไปไม่นาน แล้วไยจึงมีความปรารถนามาเที่ยวหอนางโลมได้? หรือว่าภรรยาตัวน้อยไม่รู้จักวิธีการปรนนิบัติ?”
ช่างเป็นเรื่องน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก ร่องรอยความรังเกียจวาบผ่านดวงตาของอิ่งสือซันและอิ่งลิ่ว
เยี่ยนจิ่วเฉามองเขาอย่างไร้อารมณ์
ทันใดนั้นเห้อเหลียนฉีก็นึกขึ้นได้ “อ้า คุณชายเยี่ยนมาที่นี่เพื่อตามหาข้าหรือ? เอาละ พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด เดี๋ยวคราหน้าข้าจะมาเล่นกับพวกเจ้าใหม่!”
เอ่ยจบ เขาก็ลูบเรือนร่างของเหล่าหญิงสาวครั้งหนึ่ง ทำให้พวกนางหัวเราะกันคิกคัก
บรรดาหญิงสาวเดินไปทางประตูอย่างเฉิดฉาย พลางแสดงท่าทางที่งดงามที่สุดของตนยามที่เดินผ่านเยี่ยนจิ่วเฉา เพื่อหมายจะดึงดูดความสนใจของชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ ทว่าเยี่ยนจิ่วเฉากลับไม่ตอนสนองแม้แต่จะเหลือบสายตา
พวกนางเดินออกไปด้วยความผิดหวัง
เห้อเหลียนฉีลุกขึ้นนั่งและเอ่ยว่า “ข้าเดาว่าเจ้ามาเพื่อชุดเกราะของพ่อเลี้ยงเจ้าสินะ?”
“เสนอราคามา” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
“ซี้ด~” เห้อเหลียนฉีคลี่ยิ้มเหยียดหยัน “เจ้าหนุ่ม เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังคุยกับใคร? สกุลเห้อเหลียนร่ำรวยกว่าเมืองเยี่ยนทั้งหมดของพวกเจ้า หากให้ข้าเสนอราคา เกรงว่าเจ้าจะจ่ายไม่ไหว”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างไม่แยแส “ข้าจะกล่าวเป็นครั้งสุดท้าย เสนอราคามา”
เห้อเหลียนฉีลูบไล้มุมปากอย่างขบขัน พลันหัวเราะอย่างสนุกสนานอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดขึ้นได้ ในดวงตามีประกายชั่วร้ายวาบผ่าน
เขาเดินมาด้านหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา และหัวเราะอย่างโอหัง “ทองและเงินพวกนั้นข้าไม่ต้องการ ได้ยินมาว่าฮูหยินเซียวเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในต้าโจว…ไยเจ้าไม่ให้นางมาอยู่กับข้าสักคืนเล่า แล้วข้าจะมอบชุดเกราะให้แก่เจ้า!”
…………………………………………………….
[1] เถาจื่อ คือ เชอร์รี่
[2] หลี่จื่อ คือ ลูกพลัม หรือ ลูกพรุน หรือ ลูกไหน