หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 152.2 ออกจากสนาม สิ้นสุด (2)
เยี่ยนจิ่วเฉามิได้สนใจ เขาดึงบังเหียนหันตัวไปด้านซ้าย
เห้อเหลียนฉีทำตัวดั่งพิษร้ายใกล้กระดูก[1] เยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ที่ใด เขาก็จะตามไปที่นั่น เยี่ยนจิ่วเฉาหมายจะยิงสิ่งใด เขาก็จะยิงสิ่งนั้นเช่นกัน และจะแย่งมาได้ทุกครั้ง
เห้อเหลียนฉีควบม้าเคียงข้างเยี่ยนจิ่วเฉา “คุณชายเยี่ยน ลูกธนูของเจ้าไม่ดีนะ!”
“ย่ะ!” เยี่ยนจิ่วเฉาเร่งฝีเท้า
เห้อเหลียนฉีเอ่ยด้วยท่าทีจองหอง “ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าไปข้างหน้าจะดีกว่า ด้านหน้ามันอันตราย”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างเมินเฉย “หากกลัวก็ไม่ต้องตามมา”
เห้อเหลียนฉีหัวเราะขำขัน “ทำไมรึ? จงใจนำข้าไป…ที่นั่น และวางกำลังซุ่มสังหารแม่ทัพผู้นี้อย่างนั้นรึ?”
เยี่ยนจิ่วเฉามองด้วยสายตาลึกซึ้ง “เจ้ากลัวแล้วหรือยัง?”
“ฮ่าๆๆ!” เห้อเหลียนฉีหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ “แม้ที่นี่จะเป็นดินแดนต้าโจวของพวกเจ้า ทว่าเจ้าก็เป็นเพียงเด็กน้อยที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม จะเอาอันใดมาทำให้แม่ทัพผู้นี้หวาดกลัวได้?”
เห้อเหลียนฉีรู้ว่าคนผู้นี้กำลังใช้กลยุทธ์ปลุกปั่นเขา ที่ไม่สนใจก็เพราะต้องการกำจัดเขาเช่นกัน สถานที่ซึ่งห้อมล้อมไปด้วยสัตว์ร้าย หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นก็ไม่มีที่ใดสมเหตุสมผลมากไปกว่านี้แล้ว แม้จะมีผู้คนสงสัย เขาก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่ทำอย่างแนบเนียนพอ ก็ไม่มีผู้ใดหาหลักฐานเอาผิดได้
ในส่วนลึกของพื้นที่ล่าสัตว์มีสัตว์ร้ายอยู่นับสิบตัว ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดล่าพวกมันได้ หากไม่มีอุบัติเหตุใดพวกมันก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่ ทหารองครักษ์ได้เตือนพวกเขาก่อนที่จะเข้ามาในพื้นที่ล่าสัตว์ ว่าอย่าเข้าไปลึก
เยี่ยนจิ่วเฉาควบม้าราวกับรอบกายไม่มีผู้ใด
“สุนัขรับใช้สองตัวของเจ้าเล่า? หายไปแล้วรึว่ารออยู่ด้านใน?” เห้อเหลียนฉีเอ่ยด้วยท่าทางหยิ่งผยอง
เยี่ยนจิ่วเฉาหยุดชะงักและเอ่ยว่า “ผู้คนกล่าวกันว่า คนใกล้ตายมักเอ่ยแต่เรื่องดี ข้าคิดว่าคำเอ่ยเหล่านี้ไม่จำเป็น”
เห้อเหลียนฉีฟังแล้วไม่เข้าใจในตอนแรก ทว่าหลังจากขบคิดอยู่นาน ก็รู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉากำลังสาปแช่งให้เขาตายอย่างอ้อมๆ เจ้าสารเลว กล้าสาปแช่งเขา! ผู้ใดจะอยู่ผู้ใดจะตายก็ยังหารู้ไม่!
เยี่ยนจิ่วเฉากับเห้อเหลียนฉีและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเข้าไปในป่าลึกที่เงียบสงบ และปกคลุมไปด้วยร่มเงา เสียงร้องของนกดังออกมาเป็นระยะ ฟังแล้วชวนให้รู้สึกขนพองสยองเกล้า
เห้อเหลียนฉีคลี่ยิ้ม “เจ้าหนู เจ้าคุกเข่าขอร้องข้ายามนี้ยังทันนะ”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างไม่แยแส “แต่เจ้าขอร้องข้าไม่ทันแล้ว”
เห้อเหลียนฉีตกใจ
ทันใดนั้นเอง หน่วยกล้าตายสีเงินหกคนก็กระโดดลงมาจากท้องฟ้า ล้อมรอบเห้อเหลียนฉีและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไว้ในชั่วพริบตา
ม้าทั้งสองตัวสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่รุนแรง พลันแผดเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจ
เห้อเหลียนฉีรีบร้อนทรงตัวบนอานม้า มองหน่วยกล้าตายด้วยสายตาเยียบเย็น พลันหรี่ตาอย่างระแวดระวัง “มิน่าละเจ้าถึงได้มั่นใจนัก…ทว่าแค่คนพวกนี้ก็คิดว่าจะฆ่าแม่ทัพผู้นี้ได้รึ อย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลย!”
เห้อเหลียนฉีไม่ได้เอ่ยเกินจริง แม้เขาจะสูญเสียกำลังภายในไปเกือบครึ่งหนึ่ง ทว่าวิทยายุทธ์ยังคงแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งสองฝ่ายฟาดฟันกันอย่างรุนแรง ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาถูกหน่วยกล้าตายสีเงินฟันไหล่จนสลบไป เห้อเหลียนฉีอาศัยวิทยายุทธ์ที่ล้ำลึก ต่อกรกับหน่วยกล้าตายทั้งหกคนได้อย่างสูสี
หน่วยกล้าตายสองคนประกบข้าง เห้อเหลียนฉีจับข้อมือของพวกเขาด้วยมือเปล่า ทันใดนั้นอิ่งสือซันก็ถือดาบเข้ามาหมายฟาดฟัน เขาผลักหน่วยกล้าตายไปรับดาบแทน ทว่าอิ่งสือซันก็ขว้างกริชไปทางต้นไม้ด้านหลังเขา มีดกริชชนกับต้นไม้ กระเด็นกลับมาแทงเข้าด้านหลังอย่างรวดเร็ว
เห้อเหลียนฉีคาดไม่ถึงว่าอิ่งสือซันจะมีอุบายร้ายกาจถึงเพียงนี้ กริชนั่นอาบยาพิษ ทันทีที่โดนความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นเข้ามาในทันที
เห้อเหลียนฉีจ้องมองเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างดุร้าย เจ้าเด็กนี่กล้าวางยาเขา? ไม่กลัวว่าจะมีผู้ใดล่วงรู้รึ?!
เขากดจุดตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้พิษไหลเข้าสู่ร่างกาย หลังจากนั้นก็เขย่งปลายเท้าเล็กน้อย พลันหายวับไปจากสายตาของทุกคน
“คุณชาย เขาหนีไปแล้ว” อิ่งสือซันกล่าว
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างเฉยเมย “เช่นนั้นก็ตามไปสิ”
อิ่งสือซันไล่ตามไป
เห้อเหลียนฉีรู้สึกได้ว่ามีผู้ใดบางคนกำลังตามมา เขาพยายามสลัดให้หลุดอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้น อิ่งสือซันไล่ประชิดเข้ามาเรื่อยๆ และกำลังจะตามทัน ทันใดนั้นเห้อเหลียนฉีก็มองเห็นกระท่อมร้างเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ด้านหน้า
ดวงตาของเห้อเหลียนฉีทอประกาย พลันแวบกายเข้าไปในกระท่อม
ที่นี่เป็นสถานที่แวะพักสำหรับผู้มาล่าสัตว์ เนื่องจากมีภยันตรายมากมายอยู่รอบด้าน จึงไม่มีผู้ใดสามารถมาทำความสะอาดที่นี่ และยามนี้มันก็ถูกทิ้งร้างไปแล้ว
เห้อเหลียนฉีรีบปิดหน้าต่างอย่างแน่นหนา ยืนแอบอยู่ด้านหลังแผงประตูที่เต็มไปด้วยใยแมงมุม รอให้อิ่งสือซันเข้ามาและฆ่าเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว
ทว่าอิ่งสือซันคล้ายจะไม่เข้ามา และวิ่งตรงผ่านไปข้างหน้า
เห้อเหลียนฉีลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก นั่งพิงกายแนบกับกำแพง
เขาเคลื่อนย้ายลมปราณขับพิษออกจากร่างกาย กล่าวได้ว่าเขามีวิทยายุทธ์ที่แข็งแกร่งลึกล้ำไม่ธรรมดา ยอดฝีมือทั่วไปคงตายอย่างอเนจอนาถตั้งแต่ถูกพิษนี้ในช่วงแรก ทว่าเขาไม่เพียงยื้อไว้ได้ถึงยามนี้ ทว่ายังสามารถขับออกไปได้ทั้งหมด
ในท้ายที่สุดการบาดเจ็บครั้งใหม่และครั้งเก่าก็ทำให้เขาอ่อนกำลังลงเล็กน้อย ขณะนั้นอิ่งสือซันก็พบกระท่อม พลันวิ่งเข้ามาด้วยไอสังหารอันโหดเหี้ยม
เห้อเหลียนฉีรู้ว่าไม่อาจหลบซ่อนตัว เขาคว้าดาบเล่มยาวบนพื้น และแทงออกไปในจังหวะที่อิ่งสือซันพังประตูเข้ามา อิ่งสือซันหลบได้อย่างชาญฉลาด พลันสวนดาบแทงทะลุหัวใจอีกฝ่าย ซึ่งควรจะทำให้สิ้นใจตายในทันที ทว่าเห้อเหลียนฉีกลับแสยะยิ้มเย็นชาออกมา
เห้อเหลียนฉียื่นมือออกมา และใช้ฝ่ามือกระทุ้งหน้าอกของอิ่งสือซัน
อิ่งสือซันถูกฝ่ามือพลังภายในที่แข็งแกร่งผลักกระเด็นออกไป
หัวใจของคนธรรมดาอยู่ฝั่งซ้าย ทว่าของเห้อเหลียนฉีอยู่ฝั่งขวา มันคือความลับในหลายปีมานี้ที่ทำให้เขารอดพ้นจากการลอบสังหารมานับครั้งไม่ถ้วน
เขารู้ดีว่าการบาดเจ็บที่ได้รับนี้ มิใช่เพราะอิ่งสือซันเป็นคู่ปรับที่เก่งกาจ ทว่าเพราะเขาจงใจปล่อยให้อิ่งสือซันแทงเข้าที่หัวใจ ซึ่งจะทำให้อิ่งสือซันไม่ทันระวังตัว เผยช่องโหว่ให้เขาโจมตีประชิดร่าง
ผลเป็นดังคาด เขาทำสำเร็จ
ไม่ใช่อิ่งสือซันอ่อนแอเกินไป ทว่าเห้อเหลียนฉีแข็งแกร่งเกินไป
อิ่งสือซันลอยไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่นอกประตู และร่วงลงกับพื้นอย่างรุนแรง เลือดกระอักออกจากปาก
ฝ่ามือของเห้อเหลียนฉีกระแทกเข้าที่หัวใจของอิ่งสือซันอย่างเต็มแรง ตามหลักแล้วอิ่งสือซันไม่อาจรอดไปได้ ทว่าแล้วเขาก็ต้องตกตะลึงตาค้างไม่ต่างกับอิ่งสือซัน
เมื่อเห็นอิ่งสือซันปาดเลือดที่มุมปากด้วยท่าทีเย็นชาและลุกขึ้นจากพื้นอีกครั้ง!
เป็นไปได้อย่างไร?!
ฝ่ามือเมื่อครู่ควรจะเป็นท่าไม้ตายที่แม้แต่หน่วยกล้าตายก็ไม่อาจทนได้สิ…
เหมือนว่าบุรุษครึ่งหน่วยกล้าตายผู้นี้จะแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้มาก
เห้อเหลียนฉีกระแทกฝ่ามือไปที่อิ่งสือซันอีกครั้ง ครานี้เขาคิดว่าต้องตายอย่างแน่นอน ทว่าไหนเลยจะรู้ว่าอิ่งสือซันกลับยังลุกขึ้นยืนด้วยร่างกายที่สั่นเทาอีกครั้ง และเร็วกว่าครั้งแรก…หรือว่าบุรุษผู้นี้ยิ่งพ่ายแพ้ก็ยิ่งกล้าหาญ? เห้อเหลียนฉีเคยได้ยินเรื่องวิทยายุทธ์ที่ไม่ปกติประเภทหนึ่งมาก่อน ทุกครั้งที่ผ่านความเป็นความตายจะยิ่งทำให้เขาผู้นั้นแข็งแกร่งขึ้น ทว่ากระบวนการฝึกฝนนั้นเจ็บปวดทุกข์ทรมาน แม้กระทั่งหน่วยกล้าตายก็แทบไม่มีชีวิตรอด
“เจ้าเด็กนี่…” หลังของเห้อเหลียนฉีรู้สึกเย็นวาบในฉับพลัน
จากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่วิทยายุทธ์ของเห้อเหลียนฉีเหนือกว่าอิ่งสือซัน เขาฝึกฝนวิทยายุทธ์มานานกว่าอิ่งสือซันถึงยี่สิบปี สกุลเห้อเหลียนยังเป็นตระกูลที่มีวิทยายุทธ์ที่รู้จักกันดีในหนานจ้าว ในฐานะบุตรคนโตของบ้านหลังที่สอง สกุลเห้อเหลียนได้สอนการเป็นนักรบและเคล็ดลับวิทยายุทธ์มาให้เขามากมาย และกระทั่งผู้อาวุโสก็ยังถ่ายทอดกำลังภายในของชีวิตมาให้เขาอีกด้วย เช่นนี้หากยังไม่อาจเอาชนะคนครึ่งหน่วยกล้าตายได้ก็ไร้เหตุผลเกินไป
อย่างไรก็ตามอาการของเห้อเหลียนฉีก็ไม่ดีนัก หลังจากได้รับบาดเจ็บ หยวนชี่ และกำลังภายในของเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว แม้ยามนี้เขายังรับมือไหว ทว่าหากเคลื่อนไหวต่อไปเรื่อยๆ ก็อาจจะยิ่งอ่อนกำลังลง เห้อเหลียนฉีตัดสินใจใช้ฝ่ามือกับอิ่งสือซันอีกครั้ง จากนั้นก็ใช้วิชาตัวเบาเหาะหลบหนีไป
ในที่สุดเห้อเหลียนฉีก็รู้แล้วว่าตนเองประเมินศัตรูต่ำเกินไป เขาคิดว่าวิทยายุทธุ์ของตนเองเพียงพอที่จะก้าวข้ามต้าโจวได้…แท้จริงแล้ว หากไม่ใช่เพราะเยี่ยนจิ่วเฉาแอบใช้พิษกู่ เขาก็คงจะจัดการกับบุรุษครึ่งหน่วยกล้าตายผู้นั้นได้ไม่ยาก
แต่ไหนเลยใต้หล้านี้จะมีคำว่าหาก? มีเพียงผลที่ตามมากับผลลัพธ์เท่านั้นแหละ
เห้อเหลียนฉีใช้วิชาตัวเบาหลบหนีไปได้ระยะหนึ่งก็หมดพลัง เขานั่งลงพิงต้นหยาง[2]ต้นหนึ่ง
ในยามนี้เขาอ่อนแอมาก แม้แต่ทหารองครักษ์ธรรมดาก็ยังปลิดชีวิตเขาได้ โชคดีที่เขามีวิชาถ่ายลมปราณพิเศษ ใช้เวลาเพียงหนึ่งในแปดชั่วยามก็สามารถฟื้นฟูพลังได้ถึงสามในสิบส่วน
หากดีขึ้นเมื่อไร เขาจะไปฆ่าเยี่ยนจิ่วเฉาให้ตาย!
เห้อเหลียนฉีเริ่มต้นเคลื่อนย้ายลมปราณรักษาบาดแผล
หลังจากองค์ชายใหญ่และเฉิงอ๋องบังเอิญพบกัน ทั้งสองก็ร่วมเดินทางต่อไปด้วยกัน ทักษะการใช้ธนูของทั้งคู่ช่างเลวร้าย ตลอดทางที่ล่ามากระทั่งขนไก่สักเส้นก็ยังไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเขาต้องถูกพระบิดาเอ็ดเป็นแน่
“ท่านพี่…” เฉิงอ๋องมององค์ชายใหญ่อย่างหดหู่
องค์ชายใหญ่เอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “จะมองข้าไปไย? มองข้าแล้วจะมีเหยื่อออกมารึ?”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเรามาผิดทาง?” เฉิงอ๋องกล่าวอย่างระแวดระวัง
องค์ชายใหญ่ก็หาได้ยอมรับว่าตนไม่อาจจำทางได้ พลันกระแอมกลบเกลื่อน “มิใช่ว่าข้าก็ตามเจ้ามารึ?”
เห้อเหลียนฉีได้ยินเสียงขององค์ชายใหญ่และเฉิงอ๋อง เขาอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการฟื้นฟูพลัง ต้องไม่ให้ผู้ใดเข้ามารบกวน เขาอำพรางร่างกาย พยายามไม่ให้พวกเขาสังเกตเห็น
โชคดีที่วิทยายุทธ์ของทั้งสองอ่อนด้อย ไม่อาจสัมผัสถึงลมหายใจของเห้อเหลียนฉี
เฉิงอ๋องอึดอัดใจ ไฉนจึงมาโทษเขาอีก? เขาอยากไปทางใต้ พี่ใหญ่กลับเอาแต่ไปทางทิศตะวันตก ยามนี้เป็นอย่างไรเล่า ไม่รู้แล้วว่าไปทิศใด
ทันใดนั้นองค์ชายใหญ่ก็เอ่ยขึ้น “ดูนั่นสิ จิ้งจอก!”
เฉิงอ๋องมองไปตามทิศที่พี่ใหญ่ของเขาชี้ ก็เห็นว่าใต้ต้นไม้ใหญ่มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังงีบหลับ เขาดีอกดีใจรีบหยิบศรง้างคันธนู
จิ้งจอกตัวนี้นับว่าตัวค่อนข้างใหญ่ ด้านหน้าไร้กิ่งก้านใบไม้บดบัง โผล่เกือบเต็มกายให้เห็นต่อหน้าต่อตาพวกเขา เฉิงอ๋องมั่นใจว่าเขาต้องยิงโดนแน่
เฉิงอ๋องคลายนิ้วมือ เกิดเสียงแหวกอากาศ ลูกธนูพลันพุ่งหายไปลับตา
“ใกล้ถึงเพียงนี้เจ้ายังยิงไม่โดนอีก! งี่เง่าสิ้นดี! “องค์ชายใหญ่ก็ง้างคันธนูเช่นกัน เหยื่อที่เคลื่อนไหวเขาอาจไม่ลงมือ ทว่านอนหลับนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้นจะไม่ให้เขายิงได้อย่างไร?
องค์ชายใหญ่ยิงธนูออกไปดอกหนึ่ง ทว่าก็ยังไม่โดนเช่นกัน
เฉิงอ๋อง : ผู้ใดงี่เง่ากันแน่?
หลังต้นไม้ใหญ่ เห้อเหลียนฉีมองลูกธนูที่ปักโดนขาซ้ายและขาขวาด้วยสีหน้างุนงง “…”
องค์ชายกระแอมในลำคอ “อีกสักครา”
เห้อเหลียนฉีดึงลูกธนูออกจากขาซ้าย ทว่าแล้วเสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นอีกครั้ง ลูกธนูดอกใหม่พุ่งเข้าปักกลางแผลเดิม “…”
เห้อเหลียนฉีดึงลูกธนูออกจากขาขวา ลูกธนูดอกใหม่ก็พุ่งมาปักกลางแผลเช่นเดิม “…”
เห้อเหลียนฉีระเบิดอารมณ์ มารดามันสิ! พวกเจ้าสองคนจะไม่ยิงจุดอื่นเลยรึ?! เลิกยิงแต่ขาข้าเสียทีได้หรือไม่? หากคิดว่าแน่ก็ยิงมาที่หน้าอกนี่!
ฉึก!
ลูกธนูปักเข้ากลางอก
เห้อเหลียนฉี “…”
…………………………………………………….
[1] พิษร้ายใกล้กระดูก อุปมาถึง ศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามที่มารุกรานและยากที่จะกำจัดออกไป
[2] ต้นหยาง คือ ต้นป็อปลาร์