หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 156.2 ราชครูแห่งหนานจ้าว เด็กอ้วนกับอาเว่ย (2)
- Home
- หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]
- บทที่ 156.2 ราชครูแห่งหนานจ้าว เด็กอ้วนกับอาเว่ย (2)
เยี่ยนจิ่วเฉาหยุดรถม้าที่หน้าบ้านของเขา อิ่งสือซันก็พาม้าไปกินหญ้าที่สนามหลังบ้าน เมื่ออวี๋หวั่นได้ยินการเคลื่อนไหวของรถม้าก็เดินออกมาดูและถึงกับตะลึงเมื่อเห็นเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินทางมาจากเน่ย์เก๋อ จึงไม่มีเวลาเปลี่ยนชุด เขาสวมชุดราชสำนักสีม่วง เนื้อผ้าสีม่วงทำให้เข็มขัดลายงูสีดำโอบรัดเอวแกร่งของเขาไว้แน่น รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา แขนเสื้อยาวห้อยลงมาตามธรรมชาติ ดูมีความสง่างามน่าเกรงขามมากกว่าในอดีตเล็กน้อย
แสงอาทิตย์ยามพลบค่ำส่องกระทบใบหน้างามดั่งหยกสลักของเขา ดูคล้ายกับถูกเคลือบด้วยแสงพระพุทธรูปจางๆ
อวี๋หวั่นตกตะลึงหลงใหลในใบหน้าของสามีอีกครั้ง เกรงว่าเทพบุตรบนสวรรค์ทั้งเก้าก็คงไม่งดงามไปกว่านี้
หลังจากอยู่บ้านมาหนึ่งวัน ก็ได้รู้ว่าเขาทำสิ่งใดให้กับสกุลอวี๋บ้าง ปัญหาของโจรบนหลังม้าถูกแก้ไขแล้ว คนที่เต็มใจอยู่กลายเป็นคนงานเหมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนคนที่ไม่เต็มใจอยู่ต่อ เขาก็จัดการอย่างสันติ นอกจากนี้ เอกสารราชการสำหรับการขุดเหมืองก็ได้มาเช่นกัน เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เธอไม่รู้มาก่อน
ในโลกนี้มีบุรุษที่เอาแต่พูดทว่าไม่ทำ และก็มีบุรุษที่เอาแต่ทำทว่าไม่พูด เห็นได้ชัดว่าสามีของเธอเป็นอย่างหลัง
อวี๋หวั่นมองเขาด้วยดวงตาและคิ้วที่ยิ้มแย้ม
“มองอันใด?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามอย่างเฉยเมย
“ก็มองท่านอย่างไรละ” อวี๋หวั่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่อายฟ้าดิน” เยี่ยนจิ่วเฉาเชิดหน้าอย่างเย็นชา
ท่าทางบูดบึ้งเช่นนี้หาได้ทำให้เธอโกรธ ทว่ากลับรู้สึกน่ารักยิ่งนัก อวี๋หวั่นยังคงจ้องมองเขาตาไม่กะพริบ
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างเฉยเมย “แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันร่วมรัก แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องใจร้อนถึงเพียงนี้”
“หือ? วันร่วมรัก?” อวี๋หวั่นผงะและทำท่านับนิ้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาขมวดคิ้ว
อวี๋หวั่นจ้องมอง
“เจ้าลืม?”
“ท่านจำได้?”
ทั้งสองเอ่ยพร้อมกัน
เป็นเรื่องน่าขัดเขินเสียจริง
คนหนึ่งเอ่ยถึงการกินเนื้ออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คนหนึ่งเย็นชาดุจน้ำแข็งงดเว้นดั่งเทพเซียน ทว่าคนแรกกลับลืมเลือน คนหลังกลับจำขึ้นใจ สีหน้าคนทั้งสองแปรเปลี่ยนเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในชั่วพริบตา
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ย “วันสำคัญเช่นนี้คิดว่าเจ้าจะเอ่ยถึงทั้งวันทั้งคืน แท้จริงเจ้ากลับลืมไปนานแล้ว หากข้ารู้แต่แรกคงไม่มาที่นี่”
“กล่าวราวกับท่านคอยนับวันคืนอยู่ตลอดอย่างนั้นละ” อวี๋หวั่นพึมพำไปตามใจตนเอง
สีหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉาจริงจังขึ้นในทันที
อวี๋หวั่นกล่าว “ท่านนับจริงหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวเคร่งขรึม “เปล่า!”
เรื่องนี้เริ่มต้นจากการล้างพิษ ซื่อสัตย์ต่อสัญชาตญาณ แม้การต่อสู้อันดุเดือดเร่าร้อนยามราตรีทุกค่ำคืนทำให้อวี๋หวั่นเหลืออด สาเหตุหลักๆ เพราะเขาใช้เวลานาน จำนวนครั้งไม่ถือว่ามากนัก เวลากลางวันเขาไม่ยอมให้เธอสัมผัสตัวแม้แต่น้อย หลังจากประกาศว่าสิบวันครั้ง เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีทุกข์ร้อนใดๆ เธอเคยคิดว่าเขาคงไม่ชอบเรื่องแบบนี้จริงๆ
อวี๋หวั่นนึกภาพเขาที่กำลังแอบเฝ้านับวันทั้งเช้าเย็น ก็กลั้นไว้ไม่อยู่ หลุดขำคิกคักออกมา
“อวี๋อาหวั่น!” เยี่ยนจิ่วเฉาหันหน้าขวับ!
อวี๋หวั่นกลั้นยิ้มสุดกำลัง
เยี่ยนจิ่วเฉาหน้าแดงก่ำพลันเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “เข้าบ้าน!”
อวี๋หวั่นไม่ขยับ
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินนำไปสองสามก้าว แต่พบว่านางไม่เดินตามมาจึงหันกลับไปถาม “มัวทำอันใดอีก?”
อวี๋หวั่นยื่นมือไปให้เขา
มือที่อยู่ด้านหลังของเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ขยับ แต่เขากลับจ้องเธอด้วยสายตาเย็นชา “เสื่อมศีลธรรม!”
เอ่ยจบ เขาก็ก้าวข้ามธรณีประตูไปเยี่ยงสุภาพบุรุษที่ไม่มีผู้ใดทัดเทียม
อวี๋หวั่นมองดูเงาหลังที่ดูคล้ายสงบเยือกเย็นของเขา พลันยกยิ้มมุมปาก “รอให้ถึงราตรี มาดูกันว่าท่านจะยังเอ่ยเช่นนี้ได้อยู่หรือไม่”
ทั้งครอบครัวมาทานอาหารเย็นกันที่บ้านใหม่สกุลติง ป้าสะใภ้ใหญ่ได้เห็นหลานเขยอย่างเยี่ยนจิ่วเฉาก็ยิ่งรู้สึกชอบมากขึ้นทุกที นางเอ่ยกับเขาว่าฟ้ามืดแล้ว อยู่ต่ออีกสักคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับไม่ดีกว่าหรือ
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยปฏิเสธ “วันพรุ่งนี้ต้องไปว่าราชกิจตั้งแต่รุ่งสาง กลางเดือนแล้วจะกลับมาอยู่ใหม่สักสองสามวัน”
หากไม่ใช่เขา ป้าสะใภ้ใหญ่คงคิดว่าอีกฝ่ายรังเกียจที่จะอยู่บ้านนอก ทว่าเยี่ยนจิ่วเฉาอาศัยอยู่ในชนบทมานานแล้ว ทั้งยังซื้อบ้านอยู่หลังหนึ่ง ป้าสะใภ้ใหญ่จึงรู้ว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น แต่เพราะต้องไปว่าราชกิจแต่เช้า ป้าสะใภ้ใหญ่จึงไม่บังคับให้อยู่ต่อ กลับยังรีบส่งเขาขึ้นรถม้าอีกด้วย
เด็กอ้วนทั้งสามไปกินมื้อเย็นที่บ้านอาเว่ย เมื่อเห็นว่าอาเว่ยเป็นคนทำอาหารเองกับมือ เด็กน้อยทั้งสามก็รู้สึกดีใจเนื้อเต้น รีบกวาดลงท้องจนหมดเกลี้ยงในคราวเดียว!
…ทว่าในความเป็นจริง ทั้งบ้านทำอาหารที่คนกินเข้าไปอาจถึงตาย มีเพียงอาเว่ยที่มีทักษะการทำอาหารยอดเยี่ยม เขาจึงเป็นคนเดียวที่รับหน้าที่ทำอาหารมาโดยตลอด
เมื่ออาเว่ยยกแกงใสไข่คนชามสุดท้ายออกมา ก็เหลือเพียงจานอาหารสำหรับคนทั้งบ้านที่ว่างเปล่าวางอยู่บนโต๊ะ…
อาเว่ยก็ไปนึ่งหมั่นโถวมาอีกถาดหนึ่ง ทว่าเมื่อหันกลับมาอีกที หมั่นโถวในถาดก็ถูกเด็กอ้วนทั้งสามกินจนไม่เหลือ
อาเว่ยไม่รู้ว่าตนเองทำอาหารไปกี่มื้อแล้ว ปรุงจนตาลายมือไม้สั่นเทา กว่าจะป้อนให้เด็กอ้วนเหล่านี้อิ่มได้ ข้าวสารก็เหลืออยู่ก้นถุงเสียแล้ว…
และแล้วโชคดีก็มาถึง! เถี่ยตั้นน้อยมาตามพวกเขากลับไป!
อาเว่ยรอที่จะส่งเด็กอ้วนๆ กลับไปแทบไม่ไหว ในที่สุดชีวิตที่ยากลำบากของท่าน(พ่อ)อาจารย์(นม)ก็สิ้นสุดลง เขาจะได้เป็นวายร้ายแห่งเผ่าปีศาจที่มีความสุขอีกครั้ง!
ไหนเลยจะรู้ว่ายังไม่ทันจะได้ภาคภูมิใจ เสียงเคาะประตูจากด้านหลังก็ดังขึ้นอีกครั้ง ปัง ปัง ปัง!!
อาเว่ยลากร่างอันอ่อนระโหยโรยแรงไปเปิดประตู ทันใดนั้นสายตาก็พลันปะทะกับเด็กน้อยตัวอ้วนกลมสามคน
เหล่าเด็กอ้วนมาด้วยเท้าเปล่ากับหมอนใบเล็ก จ้องมองอาเว่ยด้วยสายตาอันน่ารัก
ท่านแม่บอกว่าพวกเราไม่ต้องไปก็ได้ คืนนี้พวกเราจะนอนกับท่าน!
อาเว่ยที่พังทลาย “! ! !”
เยี่ยนจิ่วเฉากับอวี๋หวั่นขึ้นรถม้ากลับไปยังจวนคุณชาย เมื่อจื่อซูไม่เห็นคุณชายน้อยทั้งสามกลับมาด้วยก็ถามด้วยความสงสัย “เด็กๆ ละเจ้าคะ?”
อวี๋หวั่นอธิบายด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ท่านพ่อท่านแม่ของข้าไม่อยากแยกจากพวกเขา จึงปล่อยให้พวกเขาอยู่ที่นั่น”
จื่อซูมองใบหน้าที่แดงก่ำไปถึงหูของคนทั้งสอง จึงแสร้งทำเป็นเชื่อในสิ่งที่ผู้เป็นนายกล่าว
คนทั้งสองเข้าไปในบ้าน
ฝูหลิงมาพร้อมกับตระกร้าผลหลี่จื่อและลิ้นจี่ที่เพิ่งเก็บมาสดๆ ตะกร้าใหญ่ กำลังจะเข้าไปในห้อง ทว่าถูกจื่อซูรั้งไว้
“เจ้าจะทำอันใด?” ฝูหลิงถาม
“เจ้าเล่าจะทำอันใด?” จื่อซูถามย้อน
ฝูหลิงกล่าว “ก่อนที่พระชายาซื่อจื่อจะเดินทางไป นางบอกให้ข้าไปเก็บมา มิใช่ว่านางกลับมาแล้วรึ? ข้าจะนำไปให้นาง!”
จื่อซูจ้องมองนางด้วยความขัดใจ “ยามนี้ผู้ใดจะกินผลไม้ที่เจ้าเก็บมาลง?”
“หากกินไม่ลง เหตุใดจึงให้พ่อครัวเตรียมอาหารมื้อเย็น?” ฝูหลิงสับสนงงงวย
“นั่นก็เพราะ…” จื่อซูไม่รู้จะอธิบายให้นางฟังอย่างไร สตรีผู้นี้ก็ไม่เด็กแล้ว เหตุใดเรื่องเช่นนี้ถึงไม่เข้าใจ? ไม่เห็นสายตาที่สู้ใครไม่ไหวของซื่อจื่อกับพระชายาซื่อจื่อหรือ? งดมาสิบวัน เกรงว่าใจของคู่แต่งงานใหม่ในยามนี้คงเร่าร้อนดั่งกองเพลิง
เสียงการเคลื่อนไหวในบ้านเริ่มดังขึ้น จื่อซูหน้าแดงรีบคว้ามือฝูหลิงเดินออกไปราวกับกำลังหนีบางสิ่ง
เรื่องหลอมรวมกลมกลืนกันเช่นนี้คนทั้งคู่ต่างชื่นชอบ ไหนจะถูกห้ามมานาน ไหนจะลืมวันสำคัญเช่นนี้อีก อวี๋หวั่นจึงคิดที่จะชดเชยให้เขา ทว่าเธอก็เผลอยั่วยวนมากเกินควร
ราตรีนี้ จึงมีน้ำร้อนถึงสามครา
อวี๋หวั่นสุขสมดังใจปรารถนา ทว่าก็ทำจนสภาพน่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งว่าหลับไปได้อย่างไรเธอก็ลืมไปแล้ว เธอนอนบนที่นอนแห้งที่เปลี่ยนใหม่ ลมหายใจหอมหวานเข้าออกสม่ำเสมอ ผมสีน้ำหมึกห้อยสยายลงมาพาดบนไหล่นวลเนียนราวกับหยกขาว
เยี่ยนจิ่วเฉาดึงผ้านวมบางมาคลุมบนร่างเธอ พร้อมกับนอนลงข้างๆ มือข้างหนึ่งรองหลังศีรษะ ข้างหนึ่งวางบนท้อง
เปลือกตาของเยี่ยนจิ่วเฉาค่อยๆ ปิดลงช้าๆ
เพียงครู่หนึ่ง เขาก็ย้ายมือที่รองศีรษะออกมาวางไว้บนผ้านวม
และเพียงครู่หนึ่งเขาก็ย้ายมันไปข้างกายเธอและจับมือเธอเบาๆ
เป็นคืนที่หลับฝันดี
…
อวี๋หวั่นลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เยี่ยนจิ่วเฉาก็ออกไปว่าราชกิจแล้ว อวี๋หวั่นนึกขุ่นเคืองตนเองจนหน้าแดง เจ้าสาวใหม่คนใดในสมัยโบราณนอนจนตะวันโด่งฟ้าเช่นนี้? ช่างเป็นการกระทำที่ไม่สนใจศีลธรรมกฎบ้านกฎเมืองยิ่งนัก
“อ๊ะ แย่จริง” เมื่อนึกขึ้นได้ อวี๋หวั่นก็ตบหัวตนเอง เมื่อวานเธอถูกสามียั่วยวนจนสิ้นสภาพ ลืมบอกเรื่องที่ราชครูพยายามมาตรวจสอบเธอเสียสนิท
แต่ถึงแม้ว่าอวี๋หวั่นไม่ได้บอก เยี่ยนจิ่วเฉาก็ได้ทราบจากปากขององครักษ์ที่อยู่ในเหตุการณ์แล้วว่าราชครูกับศิษย์ของเขามาที่นี่เพื่อมอบของขวัญขอบคุณ และกล่าววาจาตามมารยาท จากนั้นก็บังเอิญทำลูกปัดที่ส่องแสงได้ตกลงมา…
หลังจากเยี่ยนจิ่วเฉาได้ฟังก็ทราบได้ทันทีว่าราชครูมาที่นี่เพื่อตรวจสอบอวี๋หวั่น
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่คิดว่ามีใครปล่อยข่าวเรื่องของศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานจ้าว แม้แต่อวี้จื่อกุย หากเขาคิดทรยศอวี๋หวั่นก็คงทำไปนานแล้ว ดังนั้นที่ราชครูคิดสงสัยอวี๋หวั่น ส่วนใหญ่คงเป็นเพราะได้พบกับอวี๋หวั่นในวันล่าสัตว์
“คุณชาย เขาจะตรวจสอบพบสิ่งใดแล้วหรือยัง?” บนเส้นทางไปยังจวนคุณชายหลังกลับจากการว่าราชกิจ อิ่งสือซันถามด้วยความสงสัย
เยี่ยนจิ่วเฉาส่ายศีรษะ “สตรีผู้นั้นไม่ได้โง่ถึงขนาดปล่อยให้เขากระทำได้สำเร็จ สิ่งที่ข้ากังวลที่สุดในยามนี้ไม่ใช่เขาสืบพบสิ่งใด ทว่าเขานึกสิ่งใดได้หรือยังมากกว่า”
อิ่งสือซันขมวดคิ้ว “คุณชายหมายถึง…”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยอย่างเฉยเมย “เขาเป็นราชครูแห่งหนานจ้าว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่เคยเห็นตี้จีองค์โต หากเขาได้พบเพียงสตรีที่มีลักษณะคล้ายกับตี้จีองค์โต เราอาจยังบอกได้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ทว่าหากเขาได้พบกับตี้จีองค์โตตัวเป็นๆ ละ? เกรงว่ามันจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
“คุณชาย!” อิ่งลิ่วควบม้าไล่ตามมา
“เขาไปแล้วรึ?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
อิ่งลิ่วพยักหน้า “ไปที่ประตูเมืองทิศใต้ขอรับ!”
เยี่ยนจิ่วเฉาสะบัดแขนเสื้อ “ดูเหมือนว่ากำลังมุ่งหน้าไปหมู่บ้านเหลียนฮวา ลงมือเร็วเสียจริง”
เมื่อวานนี้คนมาสมัครงานในหมู่บ้านเหลียนฮวามากมาย ตำแหน่งต่างๆ ถูกสรุปไว้คร่าวๆ แล้ว วันนี้จึงมีคนที่มาจากนอกหมู่บ้านไม่มากนัก
รถม้าคันหนึ่งขับเข้ามาในหมู่บ้านอย่างราบรื่น และหยุดลงที่หน้ากระท่อมเล็กหลังหนึ่ง เด็กหญิงหกเจ็ดขวบกำลังนั่งยองๆ เล่นโคลนอยู่บนพื้น
ราชครูลงจากรถม้าพร้อมกับขนมโซวทึ้ง[1] และเดินไปหานาง “ข้าขอถามเจ้าสักหน่อย บ้านสกุลอวี๋อยู่ที่ใดหรือ?”
…………………………………………………….
[1] ขนมโซวทึ้ง 酥糖 หมายถึง ขนมที่ทำจากถั่วหรือธัญพืชที่นำไปเคี่ยวกับน้ำตาลจนสุก แล้วนำไปผึ่งลมให้น้ำตาลแข็งตัวกรอบ