หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 158.2 ความจริงในยามนั้น ราชบุตรเขยแห่งหนานจ้าว (2)
- Home
- หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]
- บทที่ 158.2 ความจริงในยามนั้น ราชบุตรเขยแห่งหนานจ้าว (2)
สายตาของไป๋เสี่ยวเซิงตกกระทบใบหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉาครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่พบการแสดงออกใดๆ ใบหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉายังคงสงบนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับว่าสิ่งที่ไป๋เสี่ยวเซิงบอกเป็นเรื่องราวของคนตระกูลอื่น
“โถ่” ไป๋เสี่ยวเซิงพ่ายแพ้ หุบพัดกลับคืน จิ้งจอกน้อยที่กำลังหงายท้องผึ่งลมเย็น เมื่อไม่มีลมแล้ว ก็กระโดดพลิกตัวขึ้นคว้าพัดของไป๋เสี่ยวเซิง
ไป๋เสี่ยวเซิงใช้พัดหยอกล้อกับจิ้งจอกน้อย “หากเอ่ยถึงราชบุตรเขยผู้นั้น เขาคือบุคคลในตำนานที่แท้จริง เขาเป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่าเล็กๆ ทางตอนใต้ของหนานเจียง เมื่อวันที่พิธีเฉลิมฉลองวัยปักปิ่นของตี้จีองค์เล็กถูกจัดขึ้น ชนเผ่าต่างๆ ก็มาแสดงความยินดีกับนาง และไม่รู้อย่างไร ราชบุตรเขยก็ได้ดึงดูดความสนใจของตี้จีองค์เล็ก เรื่องของชายหญิง ซื่อจื่อคงรู้ดีกว่าข้าที่ไม่เชี่ยวชาญในด้านนี้ ทั้งสองไปกันได้ดี ทว่าองค์ประมุขไม่พอใจกับการแต่งงานในครั้งนี้ เขาคิดว่าบุตรชายหัวหน้าเผ่าเล็กๆ ไม่คู่ควรกับอัญมณีในมือเขา”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ จู่ๆ ไป๋เสี่ยวเซิงก็หยุดชะงัก “ประมุขแห่งหนานจ้าวมีบุตรสาวสองคน ตี้จีองค์โตเป็นบุตรสาวที่เกิดจากสนมอวิ๋นเฟยที่พระองค์เกลียดมากที่สุด ตี้จีองค์เล็กเป็นบุตรสาวที่เกิดจากฮองเฮาที่เขาหวงแหนที่สุด ตอนแรกที่นางทั้งสองตั้งครรภ์ ตำหนักราชครูได้ทำนายให้กับราชวงศ์ สนมอวิ๋นเฟยกำลังตั้งครรภ์ดาวแห่งหายนะของประเทศ ส่วนฮองเฮาตั้งครรภ์ดาวแห่งโชค เป็นไปดังคาด ในคืนที่ทั้งสองให้กำเนิดบุตร ท้องฟ้าส่งสัญญาณบางอย่าง ฟ้าด้านหนึ่งแสงสีม่วงส่องทะลุเมฆ ช่างเป็นมงคลยิ่ง อีกด้านหนึ่งปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ดุร้ายน่ากลัว องค์ประมุขดีใจมากที่เด็กแห่งลางร้ายคลานออกจากท้องของสนมอวิ๋นเฟย เขาไม่ชอบสนมอวิ๋นเฟยเป็นทุนเดิม ยามที่ส่งเด็กคนนั้นไปสายตาของเขายังไม่แลแม้แต่น้อย”
“เรื่องพวกนี้…เกี่ยวข้องกับราชบุตรเขยของตี้จีองค์เล็กหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างเฉยเมย
ไป๋เสี่ยวเซิงยิ้ม “หากไม่กล่าวเช่นนี้ท่านจะเข้าใจความรักที่ประมุขมีต่อตี้จีองค์เล็กได้อย่างไร? ท่านรู้หรือไม่ว่าตี้จีองค์เล็กทำอย่างไรหลังจากประมุขไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของทั้งสอง?”
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งสัญญาณให้เขากล่าวต่อ
ไป๋เสี่ยวเซิงยิ้มอย่างมีนัยยะ “นางหนีไป”
ดวงตาของเยี่ยนจิ่วเฉามีประกายวาบผ่าน
ไป๋เสี่ยวเซิงกล่าว “ผ่านไปหลายปีถึงกลับมาที่ตำหนักฮ่องเต้แห่งหนานจ้าว นางมากับทารกชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรของนางกับราชบุตรเขย”
“เห็นแก่สถานะของหลานชาย องค์ประมุขจึงยอมเห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้?” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
ไป๋เสี่ยวเซิงส่ายหัว “หลานชายเป็นเพียงส่วนหนึ่ง อีกส่วนเพราะตี้จีองค์เล็กช่วยให้ประมุขได้ครอบครองของศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าปีศาจ”
“อา โดยการขายพี่สาวของตนเองหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยอย่างประชดประชัน
ไป๋เสี่ยวเซิงยิ้มอย่างขมขื่น “ใช่ ดาวมรณะแลกกับของศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าปีศาจ ช่างเป็นการค้าที่คุ้มค่ายิ่งนัก ในใจขององค์ประมุขเขาให้อภัยตี้จีองค์เล็กไปนานแล้ว เพียงแค่ต้องการหาเหตุผลให้คนในใต้หล้ายอมรับเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นาน ตี้จีองค์เล็กและราชบุตรเขยก็จัดงานอภิเษกกันอย่างยิ่งใหญ่”
เยี่ยนจิ่วเฉาชะงัก “พวกเขาแต่งงานในปีใด?”
ไป๋เสี่ยวเซิงยิ้ม “ปีที่เยี่ยนอ๋องจากไป”
…
วันรุ่งขึ้น ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญในเมืองหลวง ทูตหนานจ้าวเห้อเหลียนฉีได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินเยียวยา และหยุดหายใจในเวลายามเซิน[1] สามเค่อ ดังนั้นทูตหนานจ้าวจำต้องพาร่างของเขากลับบ้านโดยเร็วที่สุด สภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อน ไม่ว่าโลงศพจะดีเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์
เมื่อราชครูแห่งหนานจ้าวตื่นขึ้นอีกครั้ง ก็อยู่บนเส้นทางที่จะกลับไปยังหนานจ้าวแล้ว เขาเปิดตาปูดบวม พลางลุกขึ้นนั่งและเปิดม่านมองออกไป
“ไม่ต้องมองแล้ว”
บุรุษผู้หนึ่งในรถม้าที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกับราชครูเอ่ยขึ้น
ราชครูมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด
ไป๋เสี่ยวเซิงที่ปลอมเป็นราชครูกล่าว “ออกจากเมืองหลวงมาหนึ่งร้อยหลี่แล้ว”
“เจ้า……”
“ไม่ต้องขอบคุณ” ไป๋เสี่ยวเซิงเอ่ยพร้อมกับกอดอก
ไป๋เสี่ยวเซิงเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตนเองเป็นราชครู ไปกราบบังคมทูลลาฮ่องเต้แห่งต้าโจวและเดินทางออกจากเมืองหลวงพร้อมกับคณะ
“ของศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ถึงมือ จากมาเช่นนี้หาได้ไม่” ราชครูกล่าว
ไป๋เสี่ยวเซิงกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าหาได้อยู่กับพวกเจ้า ไม่ต้องการสิ่งใดก็มาบอกข้า ข้าเพียงแค่จำต้องช่วยชีวิตเจ้าอย่างไม่มีทางเลือกก็เท่านั้น เมื่อเจ้าถูกส่งไปยังหนานจ้าว ก็ต่างคนต่างถนอมตนเอง อีกอย่าง ข้าเอาชุดเกราะของเซียวเจิ้นถิงไปแล้ว”
ณ จวนสกุลเซียว
เซียวเจิ้นถิงฝึกซ้อมวิทยายุทธ์เสร็จกลับมาที่จวน และกำลังจะไปล้างหน้าล้างตา พ่อบ้านวิ่งมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นพร้อมกับกล่องใบใหญ่ในมือ “นาย นาย นาย…นายท่าน!”
“มีเรื่องอันใด?” เซียวเจิ้นถิงถามอย่างใจเย็น
พ่อบ้านรีบเปิดกล่องด้วยรอยยิ้มสดใส “ท่านคิดว่านี่คือสิ่งใด?”
แสงสีเงินสะท้อนเข้าสู่ดวงตาเย็นชาของเซียวเจิ้นถิง ม่านตาพลันหดกระชับ
ชุดเกราะของเขา!
หัวใจของเซียวเจิ้นถิงเต้นรัว “ผู้ใดส่งมา”
“ไม่ทราบขอรับ” พ่อบ้านเอ่ย “ไม่รู้จักขอรับ เขามายื่นให้องครักษ์แล้วก็จากไป”
เซียวเจิ้นถิงยกมือที่สั่นเทาเล็กน้อยขึ้นลูบชุดเกราะเย็นและแข็ง ใบหน้าเคร่งขรึมฉายแววอ่อนโยนที่หาได้ยาก “ฉงเอ๋อร์”
พ่อบ้านตกใจ “คะ…คุณชาย?”
คงไม่ใช่กระมัง คุณชายให้คนนำชุดเกราะของนายท่านมาส่งที่จวนสกุลเซียว?
“ชุดเกราะไม่ได้ตกอยู่ในมือของทูตหนานจ้าวหรืออย่างไร? เหตุใดจึงมาอยู่ในมือของคุณชายได้?” พ่อบ้านถามด้วยความสับสนงงงวย
“ไม่รู้สิ” เซียวเจิ้นถิงลูบไล้ชุดเกราะอย่างระมัดระวัง ดวงตาเต็มไปด้วยความเมตตาและอ่อนโยนของผู้เป็นบิดาอย่างสุดซึ้ง “แต่ต้องใช้ความคิดความสามารถไปไม่น้อยเป็นแน่”
ดวงตาของพ่อบ้านเริ่มร้อนผ่าว หากจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายมอบสิ่งของให้นายท่าน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานายท่านคอยปกป้องคุณชายอย่างไรเขาเห็นมาตลอด ทว่าคุณชายก็ปฏิเสธที่จะยอมรับนายท่านอยู่เสมอ เขารู้สึกโศกเศร้าแทนนายท่านและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกท้อแท้ ไม่ว่าสิ่งใดนายท่านก็ไม่ยอมให้พวกเขาปริปาก เขาคิดว่าในชีวิตนี้มันคงจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปเสียแล้ว…
“ฮือ ฮือ นายท่าน…” พ่อบ้านน้ำตาไหลด้วยความตื่นเต้น
เซียวเจิ้นถิงตบไหล่เขาและเดินถือชุดเกราะกลับเข้าห้องอย่างอารมณ์ดี
“คุณชาย” อิ่งสือซันก้าวเข้ามาในห้องตำราของเรือนชิงเฟิง
ตรงหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉามีสาส์นกราบทูลที่ว่างเปล่าวางอยู่ เขารอที่จะเขียนสาส์นแทบไม่ไหว แต่กลับเปิดลวกๆ ไว้อย่างนั้น “กลับมาแล้วรึ?”
“ชุดเกราะถูกส่งไปจวนสกุลเซียวแล้วขอรับ พ่อบ้านเป็นคนรับไว้” อิ่งสือซันกล่าว เขาไม่ได้ออกหน้าด้วยตนเอง ทว่าสังเกตการณ์อยู่ในความมืดตลอด กระทั่งแน่ใจว่าชุดเกราะถูกส่งถึงมือพ่อบ้านของจวนสกุลเซียวถึงจะจากไปอย่างสบายใจ
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งเสียงอืมอย่างเลื่อนลอย
ความคิดของเขาอิ่งสือซันไม่อาจคาดเดาได้ ไม่แน่ใจว่าในที่สุดคุณชายก็เต็มใจยอมรับพ่อเลี้ยงผู้นี้หรือแค่ไม่ต้องการติดหนี้เซียวเจิ้นถิงกันแน่? แต่ไม่ว่าอย่างไรชุดเกราะก็กลับมาแล้ว ทูตหนานจ้าวก็จากไปแล้ว วิกฤตทุกอย่างในยามนี้ถูกคลี่คลายหมดสิ้น
…
อวี๋หวั่นสาหัสจากราตรีอันเร่าร้อนนั้น พักกว่าสองสามวันถึงค่อยฟื้นตัว กระทั่งวันที่สี่ถึงได้ตื่นแต่เช้าตรู่อย่างสดชื่น เด็กอ้วนตัวน้อยอยู่ที่หมู่บ้านเหลียนฮวา เยี่ยนจิ่วเฉาก็ไปที่ว่าราชการ บรรดาบุรุษล้วนไม่มีผู้ใดอยู่ เมื่อไม่มีอะไรทำ เธอจึงไปที่สวนผลไม้
เธอพาฝูหลิง เถาเอ๋อร์ และหลีเอ๋อร์ออกไป ทิ้งปั้นซย่ากับจื่อซูให้อยู่ที่เรือนชิงเฟิง เรือนแถวที่ขนานกับเรือนใหญ่ที่ถูกเพลิงเผาทำลายก่อนหน้านี้ งานพื้นฐานเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ยังเหลืองานทำความสะอาดที่ยังต้องจัดการ เธอสองคนทำงานประสานกันได้มีประสิทธิภาพมากกว่าสาวใช้พวกเถาเอ๋อร์สองคนยิ่งนัก
อิงเถาไม่มีแล้ว แตงโมสุกพอดี อวี๋หวั่นจึงเก็บมาสองสามผลเพื่อส่งให้อวี๋ซง
นับจากวันที่อวี๋หวั่นบอกกับอวี๋ซงว่า ทันทีที่ป้าสะใภ้ใหญ่ได้ยินว่าเขาผอมลงนางก็เสียใจจนร้องไห้ อวี๋ซงก็ไม่กล้าปล่อยให้ตนเองผอมลงอีกเลย ทุกๆ มื้อเขาจะบังคับให้ตนเองกินมากขึ้นอีกครึ่งชามเล็กๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เห็นว่าเขาอ้วนขึ้น เห็นได้ว่าการเรียนเหนื่อยยากยิ่งนัก
“พี่รอง” ด้านนอกสำนักบันฑิตกั๋วจื่อเจียน อวี๋หวั่นมองเห็นอวี๋ซงที่สวมชุดยาว
กลิ่นในร่างกายของอวี๋ซงคล้ายกับหนังสือมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไม่กี่ครั้งก่อนยังนึกภาพที่เขายิงนกตกปลาในชนบทได้เป็นครั้งคราว ทว่ายามนี้กลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว
“อากาศร้อนเช่นนี้ มิได้ทำให้เจ้าไม่อยากมาหรือ?” อวี๋ซงจับมือของอวี๋หวั่น เดินหลบเข้าที่ร่มด้านข้าง ตรงนั้นมีเจี้ยนเซิงของกั๋วจื่อเจียนเดินผ่านเป็นครั้งคราว พวกเขามองมาทางนี้ด้วยความสงสัย อวี๋ซงไม่ชอบให้บุรุษแปลกหน้ามองน้องสาวของเขา จึงก้าวไปขวางบดบังน้องสาวด้วยร่างสูงใหญ่
อวี๋หวั่นขบขันกับการกระทำของเขา เธอไม่ได้สนใจสายตาที่จ้องมองของผู้คนที่เดินผ่านไปมา แต่เขาปกป้องเธออย่างระมัดระวังเช่นนี้ก็ทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่น
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “ร้อนที่ใดกัน? ข้าไม่ได้ทำงานตรากตรำ นั่งบนรถม้ามาตลอดทาง ลมที่พัดมาไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเย็นเพียงใด”
สิ่งนี้เป็นจริงครึ่งเท็จครึ่ง บนรถม้านั้นร้อนราวกับเข่งนึ่งเล็กๆ ไม่ว่าลมจะแรงเพียงใดก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้น ทว่าเมื่อเทียบกับทำงานตรากตรำบนพื้นดิน นับว่าชีวิตของเธอในยามนี้สุขสบายกว่าเป็นไหนๆ
อวี๋ซงเลิกกล่าวเป็นพิธี แล้วถามว่าช่วงนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง อวี๋หวั่นก็ตอบเขา อวี๋ซงไม่ได้เข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก และไม่ได้สนใจเรื่องทูตมากนัก สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงแค่องค์หญิงแห่งซยงหนูที่เคยมาถึงบ้านและบังคับให้อาสามแต่งงานด้วย
“นางคงไม่โวยวายอีกแล้วกระมัง?”
“ไม่ นางยอมแต่งงานแต่โดยดีแล้ว”
นางแต่งงานไปหลายวันแล้ว พี่รองเพิ่งจะรู้สึกตัวหรือ? แน่นอนว่าหูสองข้างของเขาไม่ได้รับรู้เรื่องนอกหน้าต่าง และคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือปราชญ์อย่างเดียวเท่านั้น
เมื่อนึกเช่นนี้ อวี๋หวั่นก็อดยิ้มไม่ได้
รอยยิ้มที่ไม่คิดสิ่งใดนี้พุ่งเข้าสู่สายตาของจ้าวเหิงที่เดินผ่านมาโดยบังเอิญ คิ้วของจ้าวเหิงพลันมุ่นขมวด
“มีอันใดหรือ?” หลิ่วเจี้ยนเซิงที่เดินมากับเขาเอ่ยถาม
“ไม่มีอันใด” จ้าวเหิงเอ่ย ทว่าในใจกลับคิดว่าแค่ลูกพี่ลูกน้อง เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงมาที่นี่บ่อยนัก? และยังบังเอิญมาให้เขาเห็นครั้งแล้วครั้งเล่า…คงไม่ใช่ว่า…สตรีผู้นี้ยังไม่ตัดใจจากเขา ต่อหน้าทำเหมือนว่ามาเยี่ยมอวี๋ซง ทว่าแท้จริงแล้วมาสอดส่องเขากระมัง?
แต่งงานเป็นภรรยาคนแล้ว ไยถึงยังไร้ยางอายเยี่ยงนี้?!
“เอ๊ะ นั่นไม่ใช่อวี๋ซงหรอกรึ?” หลิ่วเจี้ยนเซิงชะเง้อคอดูอยู่เนิ่นนาน หันกลับมาอีกที ก็เห็นจ้าวเหิงเดินไปอย่างเร่งรีบเสียแล้ว
หลิ่วเจี้ยนเซิงงวยงงไม่เข้าใจ เอาละ เจ้าเด็กนั่นก็น่ารำคาญอยู่ไม่น้อย
การมองเห็นของอวี๋หวั่นถูกเรือนร่างสูงใหญ่ของอวี๋ซงปิดกั้น เธอจึงไม่อาจสังเกตเห็นการปรากฏตัวของจ้าวเหิง ส่วนอวี๋ซงที่หันหลังให้ประตูใหญ่ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง และในบทสนทนาของทั้งสองก็ยังกล่าวถึงจ้าวเหิงด้วย
“จ้าวเหิงจะเข้าสอบชิวเหวยในเดือนแปด” แม้อวี๋ซงจะเกลียดจ้าวเหิง แต่จำต้องยอมรับว่าจ้าวเหิงมีโอกาสที่จะสอบเป็นจวี่เหริน[2]ได้สำเร็จยิ่งนัก ยามนี้อวี๋ซงเริ่มนึกเสียใจที่ตนไม่ตั้งใจตั้งแต่ยังเล็กๆ หากเขาเข้าเรียนตั้งแต่สิบปีหรือแปดปีก่อน ไม่แน่ตอนนี้อาจได้ไปสอบรอบเดียวกับจ้าวเหิง ผู้ใดจะสอบผ่านจวี่เหรินก็ยังไม่แน่นอน
อวี๋หวั่นนึกถึงเซียวจื่อเยว่ เนื่องจากสถานะของจ้าวเหิงในยามนี้ยังไม่คู่ควรกับบุตรีจวนสกุลเซียว ทว่าหากเขาสอบผ่านจวี่เหริน หรือหากโชคดีชนะด้วยคะแนนสูงสุดในการสอบละ? เช่นนั้นสกุลเซียวคงไม่มีเหตุผลในการปฏิเสธการแต่งงานในครั้งนี้อีกแล้ว
………………………………………..
[1] ยามเซิน 申时 คือบ่าย 3 ถึง 5 โมงเย็น
[2] จวี่เหริน 举人 คือ ผู้ผ่านการสอบรับราชการระดับชนบท