หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 162.2 ความลับ พ่อลูก (2)
เมื่ออวี๋หวั่นเข้ามาใกล้ นางจึงนึกออกในที่สุด นางรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก หัวใจที่แทบจะหลุดออกมาก็กลับไปที่เดิม นางมองเจียงไห่ แล้วก็มองไปที่อวี๋หวั่น “เป็นคนของเจ้าเองหรอกหรือ…”
“เขาเป็นสารถีของข้า ชื่อเจียงไห่” อวี๋หวั่นแนะนำเขาให้นางรู้จัก
เจียงไห่ยกมือคำนับ “ข้าฮูหยินเหยา”
ฮูหยินเหยาไม่เคยพบเจียงไห่ แต่นางรู้สึกว่าการเตะต่อยของเขาร้ายกาจกว่าองครักษ์เสียอีก ดูไม่เหมือนสารถีรถม้าแม้แต่น้อย
ฮูหยินเหยาพยักหน้าอย่างสุภาพ
อวี๋หวั่นกล่าวกับเจียงไห่ “เจ้าไปรายงานต่อทางการและให้บอกฝูหลิงมาที่นี่”
“ขอรับ” เจียงไห่หันตัวเดินกลับไป
หลังจากนั้นไม่นานฝูหลิงก็เดินมา และอุ้มสาวรับใช้ที่หมดสติอยู่ที่พื้นขึ้นมา
เมื่อเห็นสาวรับใช้ร่างสูงใหญ่กำยำ ฮูหยินเหยาก็ตกตะลึง สารถีที่ไม่เหมือนสารถีก็ว่ามากแล้ว เหตุใดแม้กระทั่งสาวใช้ก็ยังไม่เหมือนสาวใช้อีก? รสนิยมของพระชายาซื่อจื่อผู้นี้…ช่าง…ไม่เหมือนผู้ใดจริงๆ…
รถม้าของฮูหยินเหยาจอดอยู่ใกล้ๆ ทว่าตอนนี้นางยังไม่อยากขึ้นรถม้า นางอยากสงบอารมณ์อีกสักพัก
อวี๋หวั่นจับชีพจรของสาวใช้ ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล จึงสั่งให้ฝูหลิงอุ้มสาวรับใช้กลับไปที่รถม้าของฮูหยินเหยา ส่วนตนกับฮูหยินเหยาจะไปที่ร้านน้ำชาใกล้ๆ
ฮูหยินเหยายังเสียขวัญ นางดื่มชาสมุนไพรไปสามถ้วยในรวดเดียว จากนั้นจิตใจของนางจึงค่อยๆ สงบลง “วันนี้ขอบคุณเจ้ามาก หากไม่ได้เจ้าช่วยไว้ ข้าคงต้องโชคร้ายกว่านี้”
เงินทองหายไปยังไม่สำคัญ กลัวก็แต่พวกมันจะฆ่าชิงทรัพย์มากกว่า
คนพวกนั้นล้วนเป็นพวกใจกล้าบ้าบิ่น ไม่สนใจชีวิต ไร้ความปรานี พวกเขาจะกระทำเรื่องเลวร้ายหรือไม่ ก็ไม่มีผู้ใดรับประกันได้
อวี๋หวั่นยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ฮูหยินเหยา “คราหน้าฮูหยินออกมาข้างนอกก็พาคนมาเยอะสักหน่อย”
“อืม” ฮูหยินเหยารับผ้าเช็ดหน้ามาพลางถอนหายใจ “ข้าอาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี แต่ก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ทั้งที่อยู่ในเมืองหลวง กลางวันแสกๆ ยังมีคนกล้ากระทำเช่นนี้…”
“ฮูหยินไปที่นั่นด้วยเหตุใด?” อวี๋หวั่นถาม
ฮูหยินเหยากล่าวด้วยความหวาดกลัว “ข้าคิดว่าจะไปเลือกเครื่องประดับสักสองสามชุดให้สะใภ้ที่ยังไม่เคยผ่านพิธี ด้วยอากาศร้อนที่ร้อนจัด บนถนนก็แดดแรง ข้าจึงไปทางซอยนั้น แต่ไหนเลยจะรู้ว่าต้องมาพบกับคนกลุ่มนั้น หากรู้แต่แรกข้าก็คงไปตามถนนใหญ่เสียดีกว่า”
หลังจากซับเหงื่อ ฮูหยินเหยาก็กลับมารู้สึกตัวว่านั่นคือผ้าเช็ดหน้าของอวี๋หวั่น จึงรีบร้อนเอ่ย “ขอบคุณมาก”
อวี๋หวั่นโค้งมุมปาก “อย่าได้เกรงใจเลยเจ้าค่ะ”
เธอเคยติดต่อกับฮูหยินเหยาอยู่หลายครั้ง ฮูหยินเหยาเป็นคนดีมาก ไม่เช่นนั้นนางก็คงไม่กลายมาเป็นสหายเพียงคนเดียวในเมืองหลวงของซั่งกวนเยี่ยน
“จริงสิ มัวแต่ห่วงเรื่องของข้า เจ้าล่ะไยถึงได้ไปทางนั้น?” ยามนี้ฮูหยินเหยาจิตใจสงบลงมากแล้ว การสนทนาจึงเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “ข้าเพิ่งกลับจากจวนสกุลเซียว และต้องการเลี่ยงทางหลักไปใช้ถนนในร่ม จึงเดินทางผ่านตรอกนั้น”
“อ๋า ไปจวนสกุลเซียวมาหรือ?” ฮูหยินเหยาแปลกใจ “เจ้าไปที่นั่นคนเดียวหรือ?”
ข้าพาเจียงไห่กับฝูหลิงไปด้วย แต่เห็นได้ชัดว่า ‘คน’ ในคำพูดของฮูหยินเหยาไม่ได้หมายถึงผู้ใต้บังคับบัญชา
อวี๋หวั่นได้แต่หัวเราะ
ฮูหยินเหยาตกตะลึง “ซื่อจื่อยอมให้เจ้าไปหรือ?”
อวี๋หวั่นยังไม่ทันจะเอ่ยตอบ ฮูหยินเหยาก็คลี่ยิ้มอย่างพอใจ “ก็ควรเป็นเช่นนี้นานแล้ว หลายปีที่ผ่านมามันไม่ง่ายเลยสำหรับจื่อจวิน พวกเขาสองคนปฏิบัติต่อซื่อจื่อด้วยความจริงใจเสมอมา”
จื่อจวิน คำเรียกของซั่งกวนเยี่ยน
อวี๋หวั่นเข้าใจว่าเซียวเจิ้นถิงกับซั่งกวนเยี่ยนทำดีต่อเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างจริงใจ ทว่าเธอก็ไม่อาจพูดแทนสามีได้ เธอไม่เคยประสบกับสิ่งที่เขาเคยประสบมา ไม่อาจบอกให้เขาลืมเลือนมันไปหรือยอมรับมันได้
หากกล่าวตามตรง เขาเป็นคน หาใช่ท่อนไม้ ไม่ใช่เพียงเพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกเขาก็ต้องทำเช่นนั้น เขามีหัวใจ มีความรู้สึก และมีความเจ็บปวดในวัยเด็กที่ไม่สามารถลบออกไปได้
“อันที่จริง…” ฮูหยินเหยายกถ้วยขึ้นถือ ทันใดนั้นอารมณ์ในน้ำเสียงของนางก็ลดต่ำลง
อวี๋หวั่นดึงสติกลับมาและมองไปที่นางอย่างงวยงง “ฮูหยินเหยาต้องการบอกอันใดกับข้าหรือ?”
“เรื่องนี้ค้างคาอยู่ในใจข้ามานานแล้ว ข้าไม่ได้บอกผู้ใด กระทั่งจื่อจวินข้าก็เก็บเป็นความลับ…” ฮูหยินเหยาไม่ควรบอกอวี๋หวั่น แต่วันนี้นางตกใจกลัวมากเกินไป และอวี๋หวั่นก็มาช่วยนางไว้ ในที่สุดความลับในใจของนางก็ไม่อาจปกปิดไว้ได้อีกต่อไป
นางกล่าวว่า “สามีของข้าเข้ารับตำแหน่งอยู่ที่เมืองเยี่ยน ช่วงหนึ่งข้าเคยอาศัยอยู่กับเขาที่จวนเยี่ยนอ๋องในเมืองเยี่ยนมานานกว่าครึ่งปี”
อวี๋หวั่นนั่งฟังอย่างสงบเงียบ
ฮูหยินเหยาจิบน้ำชาแล้วกล่าวต่อ “ยามนั้นซื่อจื่ออายุเจ็ดขวบ ว่ากันว่าตอนนั้นเขาเริ่มป่วยแล้ว ไม่ค่อยอยากกินสิ่งใด อารมณ์ก็ไม่ดี ลูกชายของข้าดื้อรั้น กลัวมีปัญหากับเขาจึงไม่กล้าเข้าไปรบกวน แค่พบกันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
ครั้งหนึ่งข้าอยู่ที่ถนนและได้พบเด็กคนหนึ่งที่ดูเหมือนเขามาก ทว่าอายุน้อยกว่าเขาไม่กี่ปี ยามนั้นข้าไม่ได้เก็บมาใส่ใจ โลกกว้างออกเพียงนี้ หากจะพบคนที่หน้าตาเหมือนกันก็คงไม่แปลก จนกระทั่ง…ข้าได้พบเด็กผู้นั้นอีกครั้ง”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ฮูหยินเหยาก็หยุดชะงัก ด้วยสัญชาตญาณอวี๋หวั่นคิดว่าเด็กคนนั้นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเยี่ยนจิ่วเฉา
ฮูหยินเหยาสูดหายใจและเอ่ยต่อ “เด็กคนนั้นอยู่กับสตรีนางหนึ่ง นางสวมผ้าคลุมหน้า แต่ดูเหมือนว่านางจะเป็นมารดาของเด็กคนนั้น ขณะนั้นที่ถนนใหญ่ เยี่ยนอ๋องก็เดินมาพบพวกเขาโดยบังเอิญ ข้าได้ยินเสียงเด็กคนนั้น…เรียกเยี่ยนอ๋องว่า ‘ท่านพ่อ’”
นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างเหลือเชื่อ ถ้าหากฮูหยินเหยาไม่ได้โกหก…แต่ฮูหยินเหยาจะโกหกด้วยเหตุใด? หากนางต้องการแพร่งพรายเรื่องนี้ก็คงทำไปนานแล้ว ไม่มีทางรอมาถึงตอนนี้ ทุกอย่างล้วนชัดเจน
อวี๋หวั่นกล่าว “ฮูหยินเหยาหมายความว่า…เยี่ยนอ๋องมีบ้านเล็กหรือ?”
ไม่เพียงแต่มีบ้านเล็กเท่านั้น แต่ยังให้กำเนิดบุตรชายที่น่ารักอีกด้วย นั่นเป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่า ราวกับมีฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ
บิดาที่ใครก็ไม่อาจแทนที่ในใจของเยี่ยนจิ่วเฉา ได้ทรยศต่อมารดาของเขาและให้กำเนิดน้องชายกับสตรีอื่น เขาจะยอมรับความจริงนี้ได้หรือไม่?
ความลับนี้เก็บงำอยู่ในใจของฮูหยินเหยามานานหลายปี ในที่สุดนางก็เอ่ยออกมา ทว่ากลับยังไม่รู้สึกโล่งใจ และยังเป็นทุกข์อยู่ “ขนาดจื่อจวินข้ายังไม่กล้าบอก นับประสาอะไรกับซื่อจื่อ ข้าหวังให้ตนเองได้ยินผิด เพราะอย่างไรเสียเยี่ยนอ๋องก็ดูไม่ใช่คนเช่นนั้น…”
บุรุษที่ถือจอบมาขุดบ่อน้ำ สร้างสวนผลไม้ให้บุตรชายจะทรยศภรรยากับบุตร และหันหน้าไปหาสตรีอื่นได้หรือ? อวี๋หวั่นก็ยังไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นความจริง
ฮูหยินเหยาทอดถอนใจ “ในช่วงหลายปีมานี้ทุกครั้งที่ข้าเห็นซื่อจื่อไม่เต็มใจยอมรับจื่อจวินกับแม่ทัพใหญ่เซียว หัวใจของข้าก็เหมือนถูกกรีด รอไม่ไหวที่จะบอกความจริงกับเขาในทันที…ข้าก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังกลัวสิ่งใด ข้าช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก…”
อวี๋หวั่นกล่าวออกมาจากใจจริง “ขอบคุณฮูหยินที่บอกเรื่องนี้กับข้า”
ฮูหยินเหยากล่าวว่า “ยามนี้ปมในหัวใจของพวกเขาพ่อลูกได้ถูกแก้แล้ว ข้าก็โล่งอกได้เสียที”
อวี๋หวั่นมองดูท้องฟ้าที่มืดลงอย่างกะทันหัน ปมในหัวใจถูกแก้แล้วหรือ? ไม่จำเป็นหรอก…
สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวนี้ หาได้ไร้เหตุผล ทันทีที่ยามเซินผ่านไป กลุ่มเมฆดำทะมึนก็เริ่มก่อตัว เกิดเป็นฝนที่ตกลงมาห่าใหญ่ ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลวงในพริบตา คนเดินถนนรีบหลบเข้าไปในร้านค้า พ่อค้าแม่ค้าก็ต่างตื่นตระหนกรีบหาที่กำบัง
……………….
ณ ประตูใหญ่ของเนย์เก๋อ ก้าวของเยี่ยนจิ่วเฉาก็หยุดลง
เดิมทีเขากำลังจะกลับบ้าน ทว่าฝนก็กลับตกลงมากะทันหันเสียก่อน เมื่อนึกถึงดรุณีตัวเล็กๆ ก็ได้แต่หวังว่านางจะอยู่ทานอาหารเย็นที่จวนสกุลเซียว
“คุณชาย ข้าจะไปยืมร่มมาขอรับ” อิ่งสือซันเอ่ย
เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า อิ่งสือซันรีบเดินไปท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำ
ฝนตกหนักเกินไป แม้จะมีชายคาอยู่เหนือหัวก็ไม่ช่วยอะไร ไม่นานชายเสื้อของเยี่ยนจิ่วเฉาก็เริ่มเปียก
ทันใดนั้น บุรุษร่างสูงดั่งภูผาก็เดินถือร่มคันใหญ่เข้ามา ร่มมีขนาดใหญ่พอๆ กับคน เขารูปร่างสูงใหญ่ ร่มในมือก็ใหญ่จนไม่เข้าท่า
เยี่ยนจิ่วเฉาขมวดคิ้วมองเขา
เซียวเจิ้นถิงคลี่ยิ้มสดใสพร้อมกับยื่นร่มในมือให้ พายุฝนพลันซัดสาดเข้าใส่ร่างกาย
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่รับ
เซียวเจิ้นถิงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนแห้งออกจากเสื้อฟางกันฝน มาเช็ดเม็ดฝนเม็ดเหงื่อตรงคันร่มแล้วยื่นให้เขาอีกครั้ง
ดวงตาของเยี่ยนจิ่วเฉาทอประกายสั่นไหว มีทีท่าลังเล
อีกด้านหนึ่ง อิ่งสือซันที่ไปยืมร่มกลับมา เมื่อเห็นเซียวเจิ้นถิงยืนอยู่ท่ามกลางพายุฝนในชุดฟางกันฝน เขาก็ตะลึงและกล่าวทักทาย “แม่ทัพใหญ่เซียว”
เซียวเจิ้นถิงพยักหน้ารับ
อิ่งสือซันมองร่มที่เขาไปยืมมา จากนั้นก็มองร่มของเซียวเจิ้นถิงที่เขายื่นไปกลางอากาศครู่หนึ่ง โดยไม่รู้จะทำอย่างไร
“กางร่ม” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างเย็นชา
“…ขอรับ” อิ่งสือซันถอนสายตากลับด้วยความลำบากใจ และกางร่มกระดาษน้ำมันที่เปียกชุ่ม
เซียวเจิ้นถิงมองดูเยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้าไปใต้ร่มของอิ่งสือซันและจากไปท่ามกลางสายฝน แววตาก็พลันหม่นหมอง
ฝนที่กระหน่ำลงมาบนตัวเขา กระเซ็นถูกร่มคันใหญ่ที่เขาเพิ่งเช็ดจนสะอาดเมื่อครู่
ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งก็เดินเข้ามา
เซียวเจิ้นถิงตกตะลึง
เยี่ยนจิ่วเฉาที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน เอื้อมมือออกมาและคว้าร่มคันใหญ่ของเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ร่างผอมบางที่ถือร่มคันใหญ่ล้าสมัย ดูช่างน่าขันเล็กน้อย
เซียวเจิ้นถิงมองเงาหลังของเขาที่รีบเดินจากไป ริมฝีปากหยักพลันยกยิ้มอย่างมีความสุข!
…………………………………………………….