หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 168.1 คนร้ายตัวจริงถูกเปิดเผย (1)
วัดต้าเจว๋ตั้งอยู่บนยอดเขาต้าเจว๋ ซึ่งล้อมรอบไปด้วยภูเขาและน้ำ เรียกได้ว่ามีสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การฝึกตน มีเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วและกลิ่นบุปผาหอม
เพียงแต่มีสภาพอากาศที่ร้อนจัด อวี๋หวั่นเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่บางเบาและเย็นสบายที่สุด แต่ก็ยังเหงื่อออกชุ่มกาย โชคดีที่เธอเคยทำงานหนัก เคยชินกับการเหงื่อออก แม้องค์หญิงจิ่วจะเป็นองค์หญิง แต่นางก็ไม่ได้ประสบกับความยากลำบากในชีวิตมากนัก ทว่าหัวใจของเด็ก เพียงได้ทำสิ่งที่สนุกก็พึงพอใจแล้ว
องค์หญิงจิ่ววิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน สาวใช้ไม่อาจวิ่งตามนางทัน มีเพียงฝูหลิงที่เท้าไวตามจับเด็กหญิงได้ทันเสมอ
ทุกครั้งที่ฝูหลิงจับตัวได้ เด็กหญิงก็หัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้น
อวี๋หวั่นเดินเล่นในป่ากับซั่งกวนเยี่ยนอย่างไม่เร่งรีบ โดยมีเซียวเจิ้นถิงเดินตามอยู่ข้างหลังพวกนางเงียบๆ บุรุษผู้นี้แม้ประโยคก็ไม่พูด ทว่าตราบใดที่ยังมีเขาอยู่ที่นั่น อวี๋หวั่นกับซั่งกวนเยี่ยนก็รู้สึกสบายใจยิ่งนัก
อย่ามองว่าเป็นเพียงป่าที่ดูธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง ภายในอาจซ่อนอันตรายที่คนไม่อาจรู้ก็เป็นได้ ภิกษุแค่บอกให้พวกเขาเดินอยู่ในสวนเท่านั้น ทว่าสวนของวัดต้าเจว๋ไม่ใหญ่เท่าสวนผลไม้ของจวนคุณชาย เดินเล่นไปก็ไม่มีสิ่งใดที่น่าสนใจ พวกเขาจึงออกจากสวนแล้วเดินเข้าไปในป่าลึก
เคยมีตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับป่าและวัดต้าเจว๋แห่งนี้ เล่ากันว่าเมื่อหลายพันปีก่อน วัดต้าเจว๋ไม่ได้ถูกเรียกว่าวัดต้าเจว๋ แต่เป็นเพียงซากปรักหักพังที่สร้างขึ้นโดยเหล่านายพรานที่เข้ามาในภูเขา จุดประสงค์หาใช่เพื่อไว้กราบไหว้เทพเจ้าบูชาพระพุทธ ทว่าใช้เป็นสถานที่พักผ่อนในยามที่ต้องเข้าไปล่าสัตว์บนภูเขา
อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุหนุ่มในเสื้อผ้าขาดวิ่นเดินมาจากวิหารปรักหักพัง ภิกษุรูปนั้นสวมเสื้อผ้าเปื่อยยุ่ยรุ่งริ่ง ทว่าด้วยหน้าตาที่มีเสน่ห์ ทำให้ผู้คนที่พบเห็นต่างพากันหลงใหล
ในภูเขามีสัตว์ประหลาดตนหนึ่งอาศัยอยู่
วันหนึ่ง ภิกษุไปหาบน้ำมาจากริมลำธาร และถูกสัตว์ประหลาดตนนั้นเข้าจู่โจม
ปีศาจร้ายออกอาละวาดมาหลายปี ทว่ายังไม่เคยเห็นภิกษุที่หล่อเหลาถึงเพียงนี้ พลันเกิดจิตใจโลภหลง
ปีศาจร้ายจึงแปลงร่างเป็นสตรี ภิกษุได้รับบาดเจ็บจนสลบไปที่ทางกลับวิหารปรักหักพัง ภิกษุถูกปีศาจร้ายช่วยพากลับไป ปีศาจยั่วยวนภิกษุอยู่หลายครา ทว่าภิกษุก็ยังมั่นคงแน่วแน่ ปีศาจจึงถามภิกษุว่า เหตุใดท่านถึงไม่ต้องการข้า?
ภิกษุกล่าว อสูรกับมนุษย์ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
ปีศาจก็กล่าวอีกว่า ท่านรู้อยู่แล้วว่าข้าเป็นปีศาจ ไยท่านไม่จัดการข้า?
ภิกษุก็เงียบ
ตอนจบมีหลากหลายแบบ บางคนบอกว่าภิกษุมีพลังไม่เพียงพอ ทว่าสุดท้ายเขาก็จัดการปีศาจและบำเพ็ญตบะจนสำเร็จ บางคนก็บอกว่าปีศาจฆ่าภิกษุและกลับเข้าป่าไปเป็นราชาหมื่นอสูร สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล่าเกี่ยวกับภูติผีปีศาจเท่านั้น
ตอนจบที่อวี๋หวั่นคิดว่าไร้สาระที่สุดก็คือ ปีศาจยอมถอดวิญญาณอันชั่วร้ายเพื่ออยู่กับภิกษุ และกลายเป็นภูติผีธรรมดา เมื่อเห็นว่าวิญญาณใกล้จะแตกดับ ภิกษุก็ได้ใช้พลังชีวิตทั้งหมดสร้างเขตลวงตาในป่า หากภูติผีอยู่ในรัศมีไม่ก้าวออกไปก็จะไม่ตาย และร่างของภิกษุก็กลายเป็นวัดต้าเจว๋แห่งนี้เพื่อปกป้องเขตลวงตาและภูติผีบนภูเขาตลอดไป
ไม่รู้ว่าผู้ใดมีเวลาว่างมาคิดเรื่องเช่นนี้
“ไอ้หยา ข้าอยากได้นั่น ข้าอยากได้นั่น!”
เสียงขององค์หญิงจิ่วขัดจังหวะความคิดของอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นตามเสียงไป และเห็นว่าองค์หญิงจิ่วกำลังยืนอยู่ใต้ต้นพุทราป่า พลางร้องและชี้ไปที่ผลพุทราสีเขียวบนต้น
ในฤดูกาลนี้พุทราเพิ่งออกผล จึงมีขนาดเล็กและมีสีเขียว องค์หญิงจิ่วคิดว่ามันเป็นพุทราเขียวขนาดใหญ่ที่นางเคยกินในวัง จึงตะกละอยากกินจนน้ำลายสอ
“อันนี้ไม่อร่อย” อวี๋หวั่นเอ่ย
“ข้าเคยกินแล้ว มันอร่อย!” องค์หญิงจิ่วกล่าว
อวี๋หวั่นหัวเราะ พุทราเช่นนี้ต้องออกสีแดงถึงจะดี หากกินไปเช่นนี้รสฝาดยิ่ง ทว่าเด็กน้อยก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้เจ้าพูดนางก็ไม่เชื่อ จนกว่าจะได้ลองชิมด้วยตนเองเท่านั้น ทว่าที่นี่ในยามนี้ ก็ไม่รู้จะไปหาเสามาจากที่ใด
เซียวเจิ้นถิงกล่าวว่า “เดี๋ยวข้าเก็บให้”
ขณะที่เอ่ย เขาก็ใช้วิชาตัวเบาปีนต้นไม้ขึ้นไปเก็บ
ขณะนั้นเององค์หญิงจิ่วก็มองเห็นเถาวัลย์องุ่นป่าอีกต้นหนึ่ง “โอ้ องุ่น องุ่น องุ่น!”
เพียงพริบตาเดียวก็ละทิ้งผลพุทราไปหาผลองุ่นเสียแล้ว
ฝูหลิงวิ่งตามไปอย่างทุลักทุเล
ทั้งสองวิ่งหายไป องค์หญิงจิ่วซึ่งเคยอยู่แต่ในตำหนัก เมื่อได้ออกมาด้านนอกก็เหมือนกับบุตรชายของเธอ พวกเขาต่างเหมือนม้าป่าที่ถูกถอดบังเหียน
“ข้าจะตามไปดู” อวี๋หวั่นเอ่ยกับซั่งกวนเยี่ยน
ซั่งกวนเยี่ยนพยักหน้า
เดิมทีนางคิดจะอยู่ที่นี่เพื่อรอให้เซียวเจิ้นถิงเก็บพุทราให้เสร็จ ทว่าเมื่อคิดดูอีกที เซียวเจิ้นถิงบุรุษร่างใหญ่ผู้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หาได้จำเป็นต้องมีผู้ใดปกป้อง แต่กับสะใภ้ตัวเล็กของนาง หากเดินหลงป่าไปคงมิใช่เรื่องดีเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็รีบตามไป
เมื่อเซียวเจิ้นถิงเก็บผลพุทรามาได้เต็มตะกร้าใหญ่ก็ลงมา เอ๊ะ? ผู้คนหายไปที่ใดกันหมด?!
แน่นอนว่าไปเก็บองุ่นแล้ว
องค์หญิงจิ่ววิ่งไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกบิน
เมื่อครู่ยืนอยู่ใต้ต้นพุทรา สิ่งที่พวกนางเห็นคือเถาวัลย์องุ่นพวงหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ จึงพบว่ามันเป็นป่าองุ่นขนาดใหญ่ ประสบการณ์ในการขึ้นภูเขาบอกอวี๋หวั่นว่า องุ่นพวกนี้ภายนอกอาจดูดี ทว่ารสชาติอาจธรรมดา แต่เมื่อเธอนึกถึงเหล้าองุ่นที่ทำในจวนสกุลเซียว เหล้าที่ทำจากองุ่นป่ามีกลิ่นหอมที่สุด เช่นนั้นป่าองุ่นกว้างใหญ่เช่นนี้ คงเก็บไปทำเหล้าได้มากถึงร้อยแปดสิบพวง
องค์หญิงจิ่วมีตะกร้าไม้ไผ่ขนาดเล็กติดตัว ส่วนฝูหลิงก็มีตะกร้าใบใหญ่ที่หลัง รอบเอวของทั้งสองยังแขวนถุงผ้าไว้เพื่อใช้ในยามจำเป็น
“มีเยอะมากเหลือเกิน!” องค์หญิงจิ่วรอที่จะเก็บมันแทบไม่ไหว
ป่าองุ่นที่มองเห็นอยู่ใกล้ๆ กลับมีคูน้ำที่เต็มไปด้วยขวากหนามกั้นอยู่ด้านหน้า หากต้องการไปฝั่งตรงข้าม ก็จำต้องเดินอ้อมไปสองฝั่ง
อวี๋หวั่นมองดูแล้วเอ่ยว่า “ไปทางด้านตะวันออกเถิด ตรงนั้นมีสะพานไม้เล็กๆ อยู่”
“ใช่! ข้าเห็นแล้ว!” องค์หญิงจิ่วรีบสาวเท้าวิ่งไปที่สะพานไม้ที่อยู่ห่างไกล
องค์หญิงจิ่วเสียงเจื้อยแจ้ว ภายในป่ามีเพียงเสียงของนางดังกึกก้องไปทั่ว ซั่งกวนเยี่ยนไม่กังวลว่าเซียวเจิ้นถิงจะตามหาพวกนางไม่พบ
เซียวเจิ้นถิงได้ยินเสียงขององค์หญิงจิ่วมาจากทางตะวันออกเฉียงใต้ และกำลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก เขาลงมาที่พื้น เมื่อสะพายตะกร้าไว้บนหลังอย่างดีแล้ว ก็ออกตามหากลุ่มขององค์หญิงจิ่ว ไหนเลยจะรู้ว่าจู่ๆ เสียงอันอ่อนโยนก็ดังขึ้นจากหลังต้นไม้
“พี่ใหญ่เซียว”
ก้าวของเซียวเจิ้นถิงหยุดชะงัก
หวั่นเจาอี๋เดินอ้อมต้นพุทราไปหาเขา
หวั่นเจาอี๋ยังคงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบๆ ทว่าไม่ใช่ชุดสีเทาหม่นหมองที่นางใส่ตอนอยู่ในห้อง กลับเป็นกระโปรงสีขาวเรียบๆ ทับด้วยตาข่ายโปร่งสีฟ้าอ่อน ยามมองแวบแรก ช่างดูสดใสสง่างามและมีเสน่ห์
นางเปลี่ยนจากปิ่นปักผมมุกที่ดูหรูหรา เป็นเพียงการมัดมวยผมแบบเรียบง่ายและประดับด้วยปิ่นหยกขาวเพียงชิ้นเดียว ดูอ่อนหวานละมุนละไมทว่ายังคงไว้ซึ่งความสง่างาม
แน่นอน เซียวเจิ้นถิงไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ เขาเพียงเหลือบมองนางผ่านๆ หลังจากรู้ว่านางคือใครก็รีบยกมือคำนับอย่างเหมาะสม “กระหม่อมคารวะหวั่นเจาอี๋”
หวั่นเจาอี๋กล่าวว่า “พี่ใหญ่เซียวโปรดทำตัวตามสบายเถิด วันนี้ไม่มีหวั่นเจาอี๋ หรือว่าแม่ทัพใหญ่เซียว ข้ากับท่านเป็นเพียงผู้ที่ขึ้นเขามาไหว้พระเท่านั้น”
เซียวเจิ้นถิงอ้าปากเตรียมเอ่ย
หวั่นเจาอี๋เอ่ยขัดจังหวะเขาได้ทันเวลา “มิต้องมีธรรมเนียมระหว่างสามัญชนกับเชื้อพระวงศ์ ฝ่าบาทไม่ได้กล่าวเช่นนี้เหมือนกันหรือ?”
เมื่อฮ่องเต้มาถึงวัดต้าเจว๋ เขาจะไม่ถือว่าตนเองเป็นฮ่องเต้อีกต่อไป เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างรู้เห็น หวั่นเจาอี๋ใช้ข้ออ้างนี้เป็นกฎ เซียวเจิ้นถิงไม่อาจโต้แย้งได้ จึงต้องยอมตอบตกลง
หลังจากนั้น เขาก็มิได้เอ่ยสิ่งใดกับหวั่นเจาอี๋อีก
เสียงหัวเราะขององค์หญิงจิ่วดังก้องไปทั่วภูเขา เซียวเจิ้นถิงก็พลันถิงคิดถึงภรรยาที่อยู่ในป่า
สายตาของหวั่นเจาอี๋ตกกระทบตะกร้าบนหลังของเขา จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่เซียว ในตะกร้ามีสิ่งใดหรือ?”
เซียวเจิ้นถิงเอ่ยด้วยสายตาไม่วอกแวก “ผลพุทรา”
หวั่นเจาอี๋ดูประหลาดใจเล็กน้อย “พี่ใหญ่เซียวก็ชอบกินพุทราหรือ?”
เซียวเจิ้นถิงตอบว่า “องค์หญิงจิ่วชอบ กระหม่อมจึงไปเก็บมาให้สักหน่อย”
“ข้าก็ชอบเช่นกัน” หวั่นเจาอี๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เซียวเจิ้นถิงหยิบตะกร้าแล้วยื่นให้หวั่นเจาอี๋ “ในฤดูนี้ผลพุทรายังไม่ค่อยอร่อยนัก หากพระสนมไม่รังเกียจ ก็หยิบไปสักหน่อย หากไม่พอกระหม่อมจะไปเก็บมาให้พระสนมอีกครั้ง”
หวั่นเจาอี๋ยื่นมือขาวนวลของนางออกไปเลือกหยิบผลพุทราในตะกร้าอย่างไม่รีบร้อน
เซียวเจิ้นถิงยังคงนึกถึงซั่งกวนเยี่ยนและเด็กๆ อีกสองคน จึงเกิดสีหน้ารีบร้อนอย่างไม่อาจเลี่ยง
หวั่นเจาอี๋แย้มยิ้ม เลือกพุทรามาสองผลและเช็ดด้วยผ้าเช็ดหน้า จากนั้นก็ยื่นผลหนึ่งให้เขา “พี่ใหญ่เซียวก็ชิมสิ”
เซียวเจิ้นถิงกล่าวว่า “ขอบพระทัยพระสนมที่เมตตา ทว่ากระหม่อมไม่ชอบพุทรา”
……………………………………….