หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 171.1 เด็กอ้วนมาแล้ว สาวกของอาเว่ย (1)
หลังจากเข้าเรียนได้เพียงสองเดือนก็ได้อันดับที่หนึ่งของชั้น นอกจากจ้าวเหิง เขาคือบัณฑิตคนที่สองที่ทำให้สำนักบัณฑิตเกิดคลื่นลมได้ แม้ว่าก่วงเยี่ยถังห้องสองจะเป็นชั้นเรียนที่แย่ที่สุดในกั๋วจื่อเจียน แต่ก็ไม่สามารถต้านทานการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของอวี๋ซงได้ เบื้องหลังที่เกี่ยวข้องกับอวี๋ซงจึงถูกผู้คนขุดคุ้ยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ชาวนาจากหมู่บ้านเหลียนฮวา!
พี่ภรรยาของเยี่ยนจิ่วเฉา!
และอดีตพี่ภรรยาจ้าวเหิง!
เอ่อ…
ทันใดนั้นทุกคนก็หันเหความสนใจ จากเรื่องที่อวี๋ซงเพิ่งเข้ามาเรียนได้เพียงไม่กี่วันก็ได้อันดับหนึ่ง กลายมาเป็นเรื่องของน้องสาวอวี๋ซงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่หมั้นของจ้าวซิ่วไฉ
“จริงรึ? จ้าวซิ่วไฉกับพระชายาซื่อจื่อ?”
“จะมิใช่เรื่องจริงได้อย่างไร? หากเจ้าไม่เชื่อ ก็ลองไปถามคนอื่นดู ว่าพระชายาซื่อจื่อมาจากหมู่บ้านเหลียนฮวาหรือไม่? แล้วจ้าวเหิงเคยมาจากหมู่บ้านเหลียนฮวาหรือไม่?”
“แม้จะอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน…ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเคยกำหนดแต่งงานกันนี่นา?”
“เรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วกั๋วจื่อเจียน มีเพียงเจ้าที่ยังเอาแต่สงสัย!”
ขณะที่อวี๋ซงกำลังไปทานอาหารที่โรงอาหาร ก็ได้ยินเสียงคนกลุ่มหนึ่งสนทนากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนเหล่านั้นยังกล่าวต่อไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว กระทั่งมีคนหนึ่งในกลุ่มที่เห็นว่าอวี๋ซงกำลังจ้องมาที่พวกเขา คนทั้งกลุ่มจึงได้เงียบลง ทำทีราวกับไม่รู้ไม่ชี้
หวังต้าไฉเพื่อนร่วมห้องของอวี๋ซงกล่าว “อย่าไปสนใจพวกเขาเลย คนพวกนี้แค่มีเวลาว่างไม่มีสิ่งใดให้ทำ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าน้องสาวของเจ้าเคยมีสัญญาการแต่งงานกับจ้าวเหิง”
“เคยมี” อวี๋ซงกล่าว
หวังต้าไฉสะดุ้ง “เอ่อ…”
อวี๋ซงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ทว่าจ้าวเหิงนั่นไม่คู่ควรกับน้องสาวข้า เราจึงยกเลิกการแต่งงาน”
“ทว่าพวกเขาบอกว่า…” หวังต้าไฉเอ่ยไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง หลี่หยวนเป่าเพื่อนร่วมห้องอีกคนก็ส่งสายตาขัด
หลี่หยวนเป่าส่งสายตาให้เขา เจ้าโง่! วาจาเช่นนี้ก็ยังกล่าวได้หรือ?
หวังต้าไฉหุบปากลงอย่างขุ่นเคือง
อวี๋ซงกล่าวอย่างเย็นชา “พวกเขาบอกว่าน้องสาวของข้าบกพร่องในคุณธรรม จ้าวซิ่วไฉจึงยกเลิกการแต่งงานกับน้องสาวของข้าใช่หรือไม่?”
หวังต้าไฉเกาหัว “ไอ้หยา เจ้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย…”
ว่ากันว่าคุณค่าสิ่งใดก็ไม่อาจเทียบการเรียนได้ เมื่ออวี๋ซงมาที่กั๋วจื่อเจียนก็เพิ่งได้รู้ว่าผู้ร่ำเรียนเหล่านั้นส่วนมากคิดว่าตนเองบริสุทธิ์และสูงส่ง ทำตัวไม่กลัวฟ้า ไม่กลัวดิน ไม่รักเงินทองไม่หลงอำนาจ และมีความรู้เท่านั้น เริ่มแรกอวี๋ซงชื่นชมพวกเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่หลังจากอยู่ด้วยกันมานานก็เริ่มเห็นวิธีบางอย่าง แค่กินองุ่นไม่ได้ ก็เลยบอกว่าองุ่นเปรี้ยวเท่านั้น ยกย่องจ้าวเหิงก็เพราะจ้าวเหิงเรียนจากตำรา และพวกเขาก็กำลังเรียนอยู่เช่นกัน เมื่อคิดได้ดังนี้ การตามจ้าวเหิงให้ทันเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด ให้พวกเขาไปยกย่องอวี๋ซงที่มีสายสัมพันธ์เช่นนั้น พวกเขาเปลี่ยนแปลงชาติกำเนิดได้หรือ? พวกเขาสามารถเปลี่ยนให้มีน้องสาวแบบอวี๋หวั่นได้หรือ? สามารถมีอาแบบอวี๋เซ่าชิงได้อีกหรือ? และสามารถให้ฮ่องเต้ประทานรางวัลให้ด้วยพระองค์เองได้หรือ?!
“อวี๋ซง เจ้าอย่าโกรธอีกเลย” หลี่หยวนเป่าพยายามโน้มน้าว
“ข้าทำไม่ได้” อวี๋ซงกล่าว
ตั้งแต่เห็นน้องสาวขอโทษท่านอาจารย์อย่างนอบน้อม เขาก็แอบสาบานว่าจะไม่ทำให้เธอเดือดร้อนอีก
ทุกคนต่างโน้มไปหาจ้าวเหิง มิใช่เพราะจ้าวเหิงเป็นอันดับหนึ่งในสำนักบัณฑิตกั๋วจื่อเจียนหรอกหรือ?
รอดูวันใดที่เขาไม่ใช่ จะยังมีสักกี่คนที่โน้มไปหาเขา!
อวี๋ซงถือชามข้าวเดินจากไป
“เด็กผู้นี้นี่อย่างไร?” หลี่หยวนเป่าถามด้วยความงงงวย
หวังต้าไฉเกาหัว “ข้าก็ไม่รู้ แต่รู้สึกว่ารัศมีที่ออกจากตัวเขาดูแข็งแกร่งขึ้นมาก…”
อวี๋ซงกำหมัดแน่น เขาต้องการเหนือกว่าจ้าวเหิง หากหนึ่งวันไม่ได้ก็หนึ่งเดือน หนึ่งเดือนไม่ได้ก็หนึ่งปี ปีแล้วปีเล่า เขาจะสอบไปเรื่อยๆ ต้องมีวันหนึ่ง ที่จะได้เหยียบเจ้าสารเลวจ้าวเหิงลงไปในโคลน!
………………
วันที่ห้าเดือนเจ็ด สำนักบัณฑิตหยุดเรียนสองวันเนื่องจากอากาศร้อน
อวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาพาเขากลับไปที่หมู่บ้านเหลียนฮวา
ทันทีที่คะแนนของอวี๋ซงประกาศในวันแรก อวี๋หวั่นก็ให้เจียงไห่กลับไปส่งข่าวดีที่หมู่บ้านแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับทั้งคืน นางซึ่งเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว กลับลุกขึ้นมาฆ่าเป็ดไก่มากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อนำมาเลี้ยงคนงานในโรงงานและคนงานเหมือง
“อ้าว อาเซียงก็มาซักผ้าด้วยรึ” รุ่งอรุณ ป้าจางนั่งยองๆ ใช้ไม้ตีผ้าอยู่ข้างบ่อน้ำโบราณ พลางเอ่ยทักทายป้าสะใภ้ใหญ่ที่เดินมาพร้อมกะละมังไม้
อันที่จริงยามนี้ก็ไม่เช้านัก ตำแหน่งดีๆ ถูกคนจับจองไปหมดแล้ว วันอื่นๆ ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ได้มาสายเช่นวันนี้
“มา ตรงนี้” ป้าจางนำกะละมังเล็กใส่ลงในกะละมังใหญ่ และให้ป้าสะใภ้ใหญ่นั่งที่ของนาง
ป้าสะใภ้ใหญ่นั่งยองๆ ลงมา
ป้าจางถามนางว่า “ไยวันนี้มาสายป่านนี้?”
“นอนไม่ค่อยหลับ เลยตื่นสายน่ะ” ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ย
ป้าจางหยอกล้อนาง “มีอันใดน้า?”
ป้าสะใภ้ใหญ่กลอกตา “อวี๋ซงสอบ”
“สอบได้อันดับใด?” มีคนถาม
ป้าสะใภ้ใหญ่ชูนิ้วขึ้นอย่างมีความนัย
“อันดับหนึ่งเรอะ!” ป้าจางอุทานด้วยความตกใจ
ทุกคนดูออกแล้วว่าสตรีตัวเหม็นผู้นี้หาได้มาที่นี่เพื่อซักผ้า ทว่ามาเพื่ออวดบุตรชายเสียมากกว่า
แต่ก็สมควรอวด ตอนเด็กๆ อวี๋ซงเกเรเกตุง ไม่มีบ้านใดที่ไม่เคยด่าเขา เพียงพริบตาเดียว บอกว่าจะไปเรียนหนังสือก็ไปเรียนหนังสือ แล้วยังเรียนได้ดีถึงเพียงนี้ เป็นหน้าเป็นตาแก่สกุลอวี๋ยิ่งนัก
แต่หากจะกล่าวตามความจริง คนสกุลอวี๋เป็นคนโชคดียิ่งนัก ได้ยินว่าลูกเขยของบ้านสามสกุลอวี๋เป็นผู้ที่ส่งอวี๋ซงไปเรียน
ในตอนแรกที่ผู้เฒ่าอวี๋พาทารกที่ถูกทิ้งกลับมา คนในหมู่บ้านต่างโน้มน้าวเขา ชีวิตตนเองยังเลี้ยงไม่ได้ อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย ผู้เฒ่าอวี๋มิได้หวั่นไหว เก็บทารกน้อยไว้ ยามทารกเติบโตขึ้น ผู้เฒ่าอวี๋ไม่ได้ส่งบุตรชายคนโตเข้าเรียนหนังสือ แต่กลับส่งบุตรคนที่สามไปแทน ชาวบ้านต่างก่นด่าว่าเขาเสียสติ แต่ผู้เฒ่าอวี๋บอกว่าบุตรคนโตไม่ชอบเรียน บุตรคนที่สามฉลาดหลักแหลม เรียนได้ดีกว่า แต่ด้วยครอบครัวมีชีวิตที่ลำบาก เข้าเรียนไปเพียงไม่กี่ปีก็ต้องกลับมาเพาะปลูกที่บ้านเกิด
ยามนั้นบุตรคนโตเสียสละให้บุตรคนที่สาม ทว่ายามนี้บ้านสามได้ตอบแทนบุตรคนโตมากกว่าเป็นเท่าตัว
หลังจากหลี่เจิ้งได้ยินเรื่องผลสอบของอวี๋ซง ก็เอ่ยออกมาอย่างยากจะเก็บอารมณ์ “เจ้าเด็กอวี๋ซงผู้นี้ คงเรียนหนังสือที่พ่อเขาเคยเรียนหมดแล้ว”
ขณะที่กำลังเอ่ยถึงอวี๋ซงกับคู่สามีภรรยาเยี่ยนจิ่วเฉา รถม้าสองคันของจวนคุณชายก็มาถึงแล้ว
เจียงไห่และเจียงเสี่ยวอู่เป็นคนบังคับม้า เจียงไห่ถือเป็นคนที่มาเยี่ยมหมู่บ้านเหลียนฮวาอยู่บ่อยครั้ง บรรดาป้าต่างจำเขาได้
“โอ้ นั่นเสี่ยวเจียงไม่ใช่หรือ?”
ชุ่ยฮวาส่งเสียงเรียก
ป้าสะใภ้ใหญ่ก็เงยหน้าขึ้นมอง เป็นเจียงไห่จริงๆ!
เจียงไห่เพิ่งมาเมื่อสองวันก่อนมิใช่หรือ? เหตุใดจึงกลับมาไวนัก? แล้วยังมีรถม้าสองคัน…
หัวใจของป้าสะใภ้ใหญ่พลันเต้นตุบๆๆ
ไม่ช้า นางก็รู้ว่าเหตุใดหัวใจของนางถึงเต้นแรง มองเห็นบุตรชายคนเล็กของนางที่ไม่ได้พบหน้ามาสองเดือนเดินลงมาจากรถม้าคันที่สอง
อวี๋ซงเติบโตเต็มวัยแล้ว เขาไม่ต้องทำงานอยู่บนดิน ร่างกายก็เปลี่ยนเป็นขาวผ่อง ทว่ากลับผอมกว่าตอนที่ทำงานเสียอีก
เขาสวมชุดยาวสีฟ้า ดูสุภาพอ่อนโยน หน้าตาหล่อเหลาสง่างาม หากไม่ใช่ความรู้สึกจากสายสัมพันธ์แม่ลูก ป้าสะใภ้ใหญ่ก็คงไม่กล้าคิดว่าบัณฑิตหล่อเหลาผู้นี้เป็นกระต่ายน้อยที่ขุดรังนกจุดไฟป่าของนาง!
“เสี่ยว เสี่ยว…” วันนี้ป้าสะใภ้ใหญ่ออกมาอวดบุตรชาย แต่บุตรชายของนางกลับปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ นางก็เริ่มรู้สึกตัวเล็กอีกครั้ง นางดึงชายเสื้อ นึกเสียใจที่ตนเองสวมเสื้อผ้าธรรมดาเพื่อไม่ให้ดูห่างเหินกับชาวบ้าน หากรู้ก่อนนางคงสวมชุดสีเขียวถั่วที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ให้ดูเหมือนสตรีชั้นสูง…
ขณะที่ความคิดของนางกำลังโบยบิน อวี๋ซงก็เดินมาอยู่ตรงหน้านางแล้ว มือของป้าสะใภ้ใหญ่ที่เคยใช้แต่ตีเขา ในยามนี้ไม่รู้ว่าควรจะวางไว้ที่ใดดี
“ท่านแม่” อวี๋ซงเรียกนาง
ป้าสะใภ้ใหญ่อ้าปากค้าง
ท่าทางโง่เขลาปากอ้าตาค้างนี้ทำให้บรรดาแม่บ้านสตรีน้อยใหญ่ต่างหัวเราะขำขันยกใหญ่ โอ้อวดสิ!
อวี๋ซงไม่ได้มีความรู้สึกที่อ่อนไหวขนาดนั้น เขาแค่ไปเรียนหนังสือไม่กี่วัน ไม่ถึงขนาดกลับมาก็วางมาดที่หมู่บ้าน เมื่อเห็นกะละมังซักผ้าของมารดาอยู่ที่พื้น เขาก็ก้มลงไปหยิบมันขึ้นมา
ป้าสะใภ้ใหญ่เพิ่งตื่นจากฝัน รีบหยุดมือของเขา “ออกไป ออกไป! จะให้เจ้าทำได้อย่างไร!”
“เมื่อก่อนไม่ใช่ข้าทำหรือ?” อวี๋ซงไม่สนใจการขัดขวางของมารดาและยกกะละมังใส่น้ำหนักๆ ขึ้นมา
บรรดาป้าก็เริ่มเกิดความสนใจ
“อย่างไรก็ยังเป็นลูกชายคนเล็กที่มีความรักให้แม่ ตอนนั้นผู้ใดกันบอกว่าลูกชายคนเล็กไม่มีประโยชน์ อยากส่งมาเลี้ยงที่บ้านข้า?”
“มิใช่ส่งมาบ้านข้าหรอกหรือ? บอกว่าส่งไปบ้านเจ้า? อาเซียงหาใช่ของเจ้า จะให้สองบ้านได้อย่างไร?”
ทุกคนหัวเราะขำขันอีกครั้ง
ป้าสะใภ้ใหญ่เกลียดสตรีลิ้นยาวกลุ่มนี้ พลันมองจ้องพวกนางด้วยสายตาดุดัน ทุกคนก็ยิ่งขำกันจนตัวโยน ป้าสะใภ้ใหญ่จับมือบุตรชายคนเล็กแล้วเดินจากไปด้วยความอับอายปนความโกรธ
…………………………………….