หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 175.1 จิ้งจอกแสนรู้ แรกพบแม่ทัพ (1)
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋หวั่น และเจียงไห่ถูกนำตัวไปในคุกของที่ว่าการซีเฉิง
วันนี้ที่จวนของเจ้าเมืองมีงานเลี้ยง ข้าราชการในที่ว่าการเมืองนั้นได้ล่วงหน้าไปยังงานเลี้ยงแล้ว ทำให้ไม่มีคนสอบสวนผู้กระทำความผิด จึงทำได้เพียงนำตัวมาขังไว้ก่อน
คุกของหนานจ้าวและคุกของต้าโจวแทบไม่ต่างกัน แบ่งเป็นห้องขังสุ่ย (水) ห้องขังเทียน (天) และห้องขังตี้ (地) ห้องขังสุ่ยใช้สำหรับทรมานนักโทษ ปกติแล้วใช้กับนักโทษปากแข็ง ไม่ยอมสารภาพผิด ห้องขังเทียนใช้สำหรับขังเชื้อพระวงศ์ ส่วน ‘ชาวบ้านธรรมดา’ ซึ่งซื้อหนังสือผ่านทางปลอมอย่างพวกเขานั้น โดยทั่วไปก็มักจะถูกขังในห้องขังตี้
อย่างไรก็ดีห้องขังตี้ก็ยังมีการแบ่งอีก ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไรก็จะขังนักโทษซึ่งมีความผิดมากขึ้นเท่านั้น ห้องขังหน้าปากประตูมักใช้สำหรับขังผู้ซึ่งได้รับโทษสถานเบา ตามหลักแล้วพวกยังไม่ถูกตัดสินโทษ ยังไม่ควรถูกจับขังคุก แต่ตอนนี้ที่นี่ไม่มีคนไต่สวนความผิด จึงทำได้เพียงโยนเข้าห้องขังไปก่อน
เมื่อทหารนำตัวนักโทษสิบกว่าคนส่งให้ผู้คุมแล้ว ก็กลับไปยังประตูเมืองเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อ
ผู้คุมนำพวกเขาเข้าไปยังห้องทรมาน แล้วหยิบกุญแจมือออกมา “ส่งมือมาให้ข้า…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงแกร็กๆ นักโทษซึ่งมาใหม่คนหนึ่งหยิบกุญแจมือบนโต๊ะขึ้นมาสวมเรียบร้อยแล้ว
ผู้คุม “…”
ต้องอยากสวมกุญแจมือมากขนาดไหนกันนะ?
ในเมื่อสวมไปแล้ว กุญแจมือนี้ก็คงไม่จำเป็น ผู้คุมจึงหันหลังไปแขวนกุญแจมือบนกำแพง ทว่าภายในเวลาชั่วลัดนิ้วมือเดียว เขาหันหลังกลับมาหมายจะเดินไปหยิบชุดนักโทษมาขู่ให้พวกเขากลัวสักหน่อย ตู้เก็บชุดนักโทษก็ถูกพ่อหนุ่มที่เพิ่งจะสวมกุญแจมือคนนั้นเปิดออก เขาเปลี่ยนไปใส่ชุดนักโทษใหม่เอี่ยมอย่างรวดเร็ว ทั้งยังไม่ลืมที่จะหยิบตรวนขึ้นมาสวมด้วย
เอ๊ะ…
อะไรกัน ตรวนข้อเท้าใช้กับนักโทษสถานหนัก…
เจ้าแค่ซื้อหนังสือผ่านทางปลอมจะใส่ทำไม?
ยังใส่ชุดนักโทษอีก เจ้ายังไม่ได้ถูกตัดสินโทษเลย จะสวมชุดนักโทษทำไมเล่า?!
“โอ้ว” เยี่ยนจิ่วเฉาก้มหน้ามองตนเองด้วยความพึงพอใจ
ผู้คุม “…”
เมื่อคนอื่นๆ เห็นพ่อหนุ่มคนนั้นเปลี่ยนไปสวมชุดนักโทษ กุญแจมือและตรวนข้อเท้า พวกเขาจึงทำตาม ภายในเวลาชั่วประเดี๋ยวเดียว นอกจากอวี๋หวั่นและเจียงไห่แล้ว อีกสิบกว่าคนที่เหลือต่างก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย
เดิมทีผู้คุมคิดเพียงว่าจะแสดงอำนาจให้พวกเขากลัวเท่านั้น แต่พวกเจ้ารู้สึกสำนึกผิดถึงเพียงนั้นเชียวหรือ…
นักโทษถูกแบ่งชายหญิง อวี๋หวั่นปลอมตัวเป็นผู้ชายจึงถูกแยกไปขังในคุกชายพร้อมกับเยี่ยนจิ่วเฉาและเจียงไห่ เพียงแต่ว่าพวกเขาถูกคุมขังคนละห้อง อวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาถูกขังอยู่ในห้องข้างกัน ส่วนเจียงไห่อยู่ห่างออกไปอีกสามสี่ห้อง
ในตอนนั้นเองอวี๋หวั่นพลันรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่เธอแต่งตัวเป็นผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงไม่อาจคอยปกป้องเยี่ยนจิ่วเฉาได้ และเธอคงจะวิตกกังวลมากกว่านี้
แม้ว่าจะอยู่ห้องข้างๆ แต่อวี๋หวั่นก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเยี่ยนจิ่วเฉา เพียงเท่านี้เธอก็วางใจมากขึ้นแล้ว
เมื่อออกมาจากต้าโจวแล้วจึงรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ในต้าโจว เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเยี่ยนอ๋องซึ่งอยู่เหนือทุกคนยกเว้นฮ่องเต้ นอกจากฮ่องเต้แล้วก็ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องเขา ไม่ต้องเอ่ยถึงการจับเขาเข้าคุก แค่ชี้หน้าด่าทอเขาเพียงประโยคเดียวก็อาจถูกฮ่องเต้สั่งประหารได้ ทว่าบัดนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ในต้าโจว และไม่อาจเปิดเผยตัวตนอย่างครั้นอยู่ในต้าโจวได้
มิใช่ว่าเขาไม่เคยคิดจะใช้สถานะเชื้อพระวงศ์แห่งต้าโจวเดินทางเข้าหนานจ้าว แต่หากทำเช่นนั้นก็ออกจะเป็นที่จับตามองไปสักหน่อย บางทีโอกาสในการหายาถอนพิษไม่เพียงน้อยลง แต่กลับถูกคนลอบสังหารแทน
แม้ตอนนี้จะลำบากอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีการหลบหนี
หลังจากนี้พวกเขาจำต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม
“ได้เวลากินข้าว!”
อวี๋หวั่นเหลือบไปมอง นั่นเป็นโจ๊กข้าวและผักดองซึ่งมีเม็ดทรายปะปน แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ได้เรื่อง โชคดีที่ตอนเธอกับเยี่ยนจิ่วเฉารออยู่บนรถม้า ไม่มีอะไรทำจึงกินแผ่นแป้งไปมากโข ตอนนี้จึงยังไม่หิว แต่ว่าเจียงไห่บังคับรถตลอดทาง ตอนนี้เกรงว่าจะหิวโซ
ในเมื่อตอนนี้ติดอยู่ในคุก จะมัวมาสนใจเรื่องนี้ไม่ได้ อวี๋หวั่นนั่งพิงกำแพงเงียบๆ คิดว่าจะหลับตาทำสมาธิ ตกดึกค่อยหาวิธีหลบหนี
ทันใดนั้นเอง เธอก็ได้ยินเสียงเปิดประตูคุก บุรุษอัปโชคอีกคนหนึ่งถูกจับเข้ามา
เธอไม่คิดจะใส่ใจ แต่ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ๆ เธอลืมตาขึ้นและพบว่าผู้มาใหม่ก็คือภิกษุชุดสีฟ้าอ่อนสวมหมวกสานคนหนึ่ง
หมวกสานนั้นค่อนข้างกว้าง ทำให้ใบหน้าของเขากลืนไปกับเงาของหมวก
สายตาของอวี๋หวั่นชะงักไปเล็กน้อย
เดี๋ยวก่อน นี่มันภิกษุหนุ่มที่พักอยู่ข้างห้องของเธอกับเยี่ยนจิ่วเฉาในชิงเหอไม่ใช่หรือ?
เขามาซีเฉิงเหมือนกันหรือ?
แล้วก็ถูกจับเข้าคุกด้วย?
เป็นเพราะไม่มีหนังสือผ่านทางเหมือนพวกเขา หรือว่าทำความผิดข้อหาอื่นกันนะ?
อวี๋หวั่นกับเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่บังเอิญมาพบกัน ถึงจะรู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่คิดจะเข้าไปถามเขา
ไม่รู้ว่าภิกษุรูปนี้จดจำอวี๋หวั่นไม่ได้ หรือว่าจำได้แต่ไม่ได้ใส่ใจ เขาเพียงเข้ามาหาที่ว่างนั่ง ด้านซ้ายมือคือผู้ชายคนหนึ่งซึ่งกำลังนอนหลับอุตุ ด้านขวาเป็นพื้นที่ว่างเปล่า
ในห้องขังโกโรโกโส เขาดูประหนึ่งพระโพธิสัตว์ รอบกายของเขาคล้ายกับมีรัศมีบุญญาธิการของผู้บำเพ็ญเพียรแผ่ออกมาอย่างไรอย่างนั้น
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าจิตใจของเธอสงบลง
จะว่าไปก็น่าแปลก เธอไม่ได้นับถือศาสนาพุทธสักหน่อย…
อวี๋หวั่นส่ายหน้า คิดมากเกินไปแล้ว หลับตาทำสมาธิต่อดีกว่า
อีกด้านหนึ่ง ชิงเหยียนและคนอื่นๆ หาโรงเตี๊ยมเข้าพักได้แล้ว
จื่อซูร้องไห้จนตาบวมเป่ง อาม่าจึงให้ฝูหลิงพานางกลับห้องไปก่อน ส่วนชิงเหยียนและเยว่โกวยังอยู่ในห้อง รอพูดคุยกันเรื่องช่วยทั้งสามคนออกมา
ชุยเฒ่าก็อยู่ด้วย
ชุยเฒ่าเอ่ยขึ้นว่า “ที่จริงหากคิดง่ายๆ เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของต้าโจว ไม่ว่าอย่างไรทางการหนานจ้าวก็ไม่กล้าทำอะไรเขาหรอก”
“เจ้าจะไปรู้อะไร?” ชิงเหยียนสวนกลับทันควัน “ผู้ที่วางยาเยี่ยนจิ่วเฉาก็คือคนหนานจ้าว หากคนหนานจ้าวรู้ว่าเขามาตามหายาถอนพิษละก็ เจ้าว่าพวกเขาจะเก็บยาไว้ให้เขาหรือไม่เล่า?”
ชุยเฒ่าไอโขลก “จะว่าอย่างนั้นก็เถอะ แต่เมื่อไรที่พวกเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของเยี่ยนจิ่วเฉา แล้วลอบสังหารเขาจะทำอย่างไร? หากตัวคนตายไปแล้ว ยังจะตามหายาถอนพิษอะไรอีกเล่า? ถ้าถามข้า ไม่สู้เปิดเผยตัวตนไปดีกว่าหรือ อย่างน้อยคนหนานจ้าวจะได้ไม่ลงไม้ลงมือ”
ชิงเหยียนมองไปยังชายชรา “อาม่า ท่านคิดว่าอย่างไร?”
หากมีเยี่ยนจิ่วเฉาเพียงคนเดียว จะเปิดเผยตัวตนก็มิใช่ปัญหาใหญ่ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอวี๋หวั่นด้วย ไม่อาจให้ราชวงศ์หนานจ้าวรับรู้ว่านางยังมีตัวตน ไม่เช่นนั้นหากเรื่องทั้งหมดถูกเปิดเผย จะไม่เป็นผลดีตัวนาง พอๆ กับที่ไม่เป็นผลดีต่อตี้จีองค์โตและเผ่าปีศาจ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อาม่าก็บังเกิดความคิดขึ้นมา “ช่วยพวกเขาก่อน ช่วยมาได้แล้วค่อยว่ากัน”
ชิงเหยียนพยักหน้า “ขอรับ ข้ากับเยว่โกวจะไปที่คุก”
อาม่าถามว่า “พื้นที่ตรงนั้นเจ้าไปสืบมาจนกระจ่างแล้วหรือยัง?”
“กระจ่างแล้วขอรับ” ชิงเหยียนกางแผนที่ออก แล้วใช้ชาดแดงเขียน “นี่คือประตูด้านหลังที่ว่าการเมือง นี่คือคุก พวกเราเข้าจากประตูด้านหลัง แล้วก็รีบช่วยพวกเขาออกมา”
“เดี๋ยวๆ แล้วสัตว์ประหลาดตัวมหึมานี่คืออะไร?” ชุยเฒ่าชี้ไปบนแผนที่
“จวนเจ้าเมือง” ชิงเหยียนตอบ
ชุยเฒ่าถลึงตา “เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? พวกเจ้าจะบุกเข้าไปในคุกใต้จมูกของเจ้าเมืองน่ะรึ?”
ชิงเหยียนอธิบายว่า “จวนเจ้าเมืองกับที่ว่าการเมืองแม้จะอยู่ติดกัน แต่ประตูใหญ่อยู่ห่างกันมาก ที่ตั้งของห้องขังตี้นั้นอยู่ติดกับเรือนที่เงียบที่สุดของจวนเจ้าเมือง ข้าไปสืบมาแล้ว เรือนหลังนั้นไม่มีคนอยู่ จะไม่มีใครแตกตื่นตกใจ”
อาม่าเอ่ยปากเตือนว่า “ระวังตัวกันให้มาก ซีเฉิงมีแขกคนสำคัญ มีกองกำลังอารักขาอยู่ทุกสารทิศ อย่าได้วางใจ”
“เข้าใจแล้วขอรับอาม่า ข้ากับเยว่โกวจะระวังตัว” ชิงเหยียนเก็บแผนที่
ชายชรามองไปยังราตรีอันมืดมิดประหนึ่งไร้จุดสิ้นสุด “นี่ก็ช้ามากแล้ว ลงมือเถิด”
“เอ้านี่!” ชุยเฒ่าโยนยาสองขวดให้พวกเขาคนละขวด “ยาสลบขนานแรงสิบเท่า อย่าดมเข้าไปเองเสียละ”
ทั้งสองคนเก็บขวดยา แล้วเปลี่ยนเป็นสวมชุดอำพราง หลังจากหลบหลีกทหารลาดตระเวนมาได้ ก็ใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าสู่ที่ว่าการเมือง
ขณะที่ชิงเหยียนและเยว่โกวเดินทางไปยังที่ว่าการเมือง พวกอวี๋หวั่นก็เริ่มลงมือแล้วเช่นกัน
จวนเจ้าเมืองมีแขกสำคัญ คนจากที่ว่าการเมืองถูกโยกย้ายไปอารักขาไม่น้อย ทำให้คนเฝ้าคุกมีไม่เพียงพอ และนั่นเป็นช่องโหว่จุดใหญ่
ผู้คุมนั่งอยู่บนโต๊ะไม้สุดทางเดิน จากนั้นก็ใช้มือเท้าศีรษะหลับไป
ก้อนกลมสีขาวย่องเข้ามา มองซ้ายมองขวา แล้ววิ่งตรงไปหาอวี๋หวั่นในคุก
อวี๋หวั่นลืมตาขึ้นก็เห็นลูกสุนัขจิ้งจอกน้อย เธอก็พลันรู้สึกดีใจขึ้นมา ทำท่าบอกเป็นนัยว่าไม่ให้มันส่งเสียงพลางชี้ไปยังผู้คุมซึ่งกำลังสัปหงก
สุนัขจิ้งจอกน้อยเข้าใจทันที มันวิ่งกลับไป กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ แล้วคาบกุญแจของผู้คุมออกมา
…………………………………