หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 191 องค์หญิงน้อยแห่งหนานจ้าว
สกุลเห้อเหลียนเป็นผู้พิทักษ์ที่ซื่อสัตย์ของกษัตริย์แห่งหนานจ้าวมาช้านาน พวกเขาไม่อาจสนิทสนมกับราชวงศ์ได้อย่างเปิดเผย แต่ช่วยไม่ได้ที่เด็กเหล่านี้ล้วนเป็นเพื่อนร่วมชั้นขององค์หญิงและองค์ชาย เติบโตมาด้วยกัน มิตรภาพแน่นแฟ้นกว่าปกติ เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นและถูกเห้อเหลียนเป่ยหมิงสั่งห้ามติดต่อกับจวนประมุขหญิง พวกเขาจึงต้องลอบติดต่อกับองค์หญิงน้อย
ทั้งสามคนนัดหมายกันที่โรงน้ำชาซึ่งอยู่ระหว่างจวนสกุลเห้อเหลียนและจวนประมุขหญิง
องค์หญิงน้อยไปรออยู่ก่อนแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่มีทางเกิดขึ้น
ทั้งสองเคาะประตูเป็นรหัสลับ สาวใช้ขององค์หญิงน้อยจึงมาเปิดประตูให้
ในตอนแรกสาวใช้ขององค์หญิงน้อยจำไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นใคร นางยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งสองจึงเดินเรียงเข้าไปด้านใน
องค์หญิงน้อยเดาได้ว่าเป็นทั้งสอง นางหันไปบ่นว่า “ข้ารอพวกเจ้าตั้งนานกว่าจะ…เอ๊ะ…”
เมื่อองค์หญิงน้อยเห็นสภาพของทั้งสองชัดๆ ก็ชะงักไปทันที “พะ…พวกเจ้าไปทำอะไรมาถึงเป็นเช่นนี้?”
ทั้งสองกระแอมด้วยความกระดากใจ
เห้อเหลียนอวี่ไม่รู้ว่าควรตอบว่าอย่างไร เห้อเหลียนเฉิงแค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วบ่นว่า “ที่บ้านมีแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่ง บอกว่าเป็นหลานของท่านลุงพวกข้าที่ล่วงลับไปแล้ว เขามาก็กร่างใส่ข้ากับพี่รอง! แล้วเขายังทำเห็ดหลินจืออูซานตาย เดิมทีพวกข้าจะนำเห็ดหลินจือนั่นมาให้องค์หญิง!”
เมื่อฟังประโยคแรก องค์หญิงน้อยก็มิได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อได้ฟังจนถึงประโยคสุดท้าย คิ้วโก่งบนใบหน้างามล่มเมืองของนางก็ขมวดเข้าหากัน “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ไม่มีเห็ดหลินจืออูซานแล้วหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ!” เห้อเหลียนเฉิงเห็นว่าองค์หญิงน้อยเริ่มคล้อยตาม จึงมีแรงจูงใจจะเล่ามากขึ้น เรื่องซึ่งถูกใส่สีตีไข่และเล่าให้นายท่านรองฟังไปรอบหนึ่ง บัดนี้ได้ถูกเสริมเติมแต่งมากกว่าเดิมแล้วจึงถ่ายทอดให้องค์หญิงน้อยฟัง จากเดิมที่เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนบ้านนอก ไม่รู้คุณค่าราคาของเห็ดหลินจืออูซาน ได้กลายเป็นเยี่ยนจิ่วเฉารู้ว่าเขาเป็นหลานรัก จึงจงใจฉวยโอกาสปลุกปั่น
องค์หญิงน้อยขมวดคิ้วแน่น “…ไฉนจึงมีคนพูดไม่รู้ความเช่นนี้?”
เห้อเหลียนเฉิงพูดด้วยสีหน้าสร้อยเศร้า “ใช่ไหมเล่าขอรับ? ข้ากับพี่รองอุตส่าห์ปกป้องเห็ดหลินจืออูซานต้นนั้น แต่กลับถูกเขารังแกจนเป็นเช่นนี้!”
ทั้งที่จริงแล้วเห็ดหลินจือนั้นตายไปก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเรือนเพาะชำแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะอยากประกาศศักดาให้เยี่ยนจิ่วเฉารู้ต่างหาก เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นคนละเรื่องกับที่เขาเล่าโดยสิ้นเชิง
เห้อเหลียนอวี่ไม่ได้โต้แย้ง
องค์หญิงน้อยมิได้สนใจที่ทั้งสองได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด นางสนใจแต่เห็ดหลินจืออูซานต้นนั้น นางกระทืบเท้า
พร้อมกับพูดว่า “วันเกิดของท่านแม่ข้าใกล้เข้ามาแล้ว ข้าอยากจะให้ของขวัญพิเศษแก่นางจึงไหว้วานให้พวกเจ้าซื้อเห็ดหลินจืออูซานต้นนั้นมา! ตอนนี้ไม่มีแล้ว จะทำอย่างไรดี?”
ประมุขหญิงอยู่ใต้องค์ประมุขทว่าอยู่เหนือคนทั้งปวง ครองพื้นที่กว่าครึ่งของแผ่นดิน ทรัพย์สินมหาศาล หาได้ขาดแคลนสิ่งใด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การเลือกของขวัญให้นางนั้นเป็นเรื่องยาก เห็ดหลินจืออูซานนั้นล้ำค่าและมิใช่ของดารดาษ สรรพคุณมาก แต่ก็หายากมากเช่นกัน!
ในหนานจ้าวนั้นยากที่จะหาต้นที่สองได้!
“เป็นความผิดของพวกเจ้านั่นแหละ! แม้แต่เห็ดหลินจือต้นเดียวก็ดูแลให้ดีไม่ได้!” องค์หญิงน้อยเริ่มระเบิดโทสะ “หากพี่ใหญ่เห้อเหลียนอยู่ เขาจะต้องจัดการเจ้านั่นเป็นแน่!”
พี่ใหญ่เห้อเหลียน…
เมื่อได้ยินชื่อนี้ เห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิงก็พลันชะงักไป แน่นอนว่า ‘พี่ใหญ่เห้อเหลียน’ ที่องค์หญิงน้อยพูดถึงย่อมไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของพวกเขาซึ่งประจำการอยู่ในค่ายทหารซีเฉิง หากแต่เป็นเห้อเหลียนเซิง หลานชายคนโตของจวนตะวันออกซึ่งถูกไล่ออกจากบ้านและขับออกจากตระกูลไป
เห้อเหลียนเซิงโตกว่าพวกเขาไม่กี่ปี พวกเขาล้วนเป็นสหายร่วมชั้นเรียนกับองค์หญิงน้อย แต่เห้อเหลียนเซิงเป็นสหายร่วมชั้นเรียนกับองค์ชาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาและองค์หญิงน้อยรู้จักมักคุ้นกันดี ทว่าองค์หญิงน้อยมักจะตามติดลูกพี่ลูกน้องของพวกเขาเสมอ
ลูกพี่ลูกน้องของพวกเขาถูกไล่ออกจากบ้านไปหลายปี องค์หญิงน้อยจากที่เป็นเด็กตัวน้อย บัดนี้ได้เติบโตเป็นเด็กสาวสะพรั่ง แต่ในใจของนางก็ยังถวิลหาแต่เขาเพียงผู้เดียว
ในใจของทั้งสองรู้สึกริษยาอยู่บ้าง
แต่พวกเขาก็ไม่ได้โง่เง่าถึงกับทำให้องค์หญิงน้อยไม่พอใจ เพียงแต่นิ่งเงียบไม่ตอบอะไร
องค์หญิงน้อยตระหนักได้ว่าบรรยากาศดีๆ จะถูกตนทำพังลงเสียแล้ว นางจึงเปลี่ยนจากสีหน้าไม่สบอารมณ์เป็น
ใบหน้ายิ้มแย้ม “เอาเถอะๆ ไม่มีเห็ดหลินจือแล้ว ข้ามอบอย่างอื่นให้ท่านแม่ก็ได้ ท่านแม่ข้ารักข้ามาก ข้าให้อะไรนางก็ชอบ”
นี่เป็นความจริง แม้ว่าองค์หญิงน้อยจะเป็นบุตรบุญธรรม แต่ประมุขหญิงและราชบุตรเขยก็รักนางประหนึ่งบุตรแท้ๆ หนึ่งในเหตุผลก็คือหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูของนางด้วย อีกเหตุผลหนึ่งก็คือประมุขหญิงได้รับบาดเจ็บในตอนที่ให้กำเนิดโอรส จึงทำให้นางตั้งครรภ์ได้ยาก
องค์หญิงน้อยใจกว้างมิได้คิดแค้น แต่สองพี่น้องก็ยังขจัดปมในใจออกไปไม่ได้
“ใช่สิ” เมื่อนึกบางอย่างออก เห้อเหลียนอวี่ซึ่งสงวนคำพูดมาตลอดก็เอ่ยปากขึ้นว่า “หากองค์หญิงชอบเห็ดหลินจือ ข้ารู้ว่าในเมืองหลวงมีเห็ดหลินจือที่ดีกว่าเห็ดหลินจืออูซานต้นนี้”
“จริงหรือ?” องค์หญิงน้อยมีท่าทางสนอกสนใจ อันที่จริงไม่ใช่เพราะท่านแม่ชอบเห็ดหลินจือ แต่เป็นเพราะนางตัดสินใจจะให้เห็ดหลินจือ จึงไม่คิดจะอธิบาย และขี้เกียจจะอธิบาย
เห้อเหลียนอวี่พูดต่อ “เห็ดหลินจือแดงขอรับ”
องค์หญิงน้อยมีสีหน้าผิดหวังในฉับพลัน “เห็ดหลินจือแดงมีอะไรพิเศษ ในจวนข้ามีตั้งหลายต้น”
เห้อเหลียนอวี่ตอบว่า “ไม่ใช่เห็ดหลินจือแดงทั่วไปขอรับ แต่เป็นเห็ดหลินจือแดงชั้นดี คนจงหยวนเรียกว่าเห็ดหลินจือเพลิงขอรับ”
“มาจากจงหยวนอย่างนั้นหรือ?” องค์หญิงน้อยถามอย่างสนใจ
เห้อเหลียนอวี่พักหน้า “มิผิด ข้าได้ยินว่าฮวาขุยแห่งหอตี้อีมีอยู่หนึ่งต้น”
องค์หญิงน้อยลุกพรวด “เช่นนั้นรีรออะไรอยู่ ยังไม่ไปรีบเอามาจากนาง?”
เห้อเหลียนอวี่ยิ้ม พูดว่า “องค์หญิงน้อยนั่งลงก่อนขอรับ ฟังข้าพูดให้จบก่อน ฮวาขุยผู้นี้ออกรับแขกเฉพาะวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือน พวกเราไปตอนนี้ก็เสียเที่ยวเปล่าๆ”
“ข้าเป็นองค์หญิงนะ!” องค์หญิงน้อยบอก
เห้อเหลียนอวี่มีสีหน้าหนักใจ “แต่ว่า…ท่านไม่อาจเปิดเผยตัวตนได้”
นั่นสิ องค์หญิงแห่งอาณาจักรหนานจ้าวไม่ควรไปในสถานเริงรมณ์เช่นนี้ หากรู้ไปถึงหูท่านแม่ ต้องโมโหที่นางไม่รู้ความ ไม่รู้กฎของราชวงศ์เป็นแน่
องค์หญิงน้อยรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
เห้อเหลียนอวี่ครุ่นคิดแล้วบอกว่า “แต่ข้าได้ยินมาว่านางให้ปรมาจารย์พิษขั้นสูงเป็นข้อยกเว้น องค์หญิงน้อย ที่จวนประมุขหญิงมีปรมาจารย์พิษขั้นสูงหรือไม่? ท่านลองดูว่าให้เขาลอบออกมาจัดการเรื่องนี้ให้ท่าน…”
องค์หญิงน้อยถอนหายใจ “ข้าเอ่ยปาก เขาย่อมไม่ปฏิเสธ แต่ว่าลูกศิษย์ของเขาเกิดเรื่อง เขากำลังไปรับศพลูกศิษย์ ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะกลับมา”
เห้อเหลียนอวี่ยิ้ม “เอาอย่างนี้ ช่วงนี้ข้ากับน้องชายจะจับตาดูหอตี้อี เผื่อว่ามีผู้ใดชิงลงมือก่อน เมื่อถึงวันที่สิบห้า พวกเราค่อยไปหาฮวาขุยคนนั้น ลำพังชื่อของจวนประมุขหญิง องค์หญิงน้อยจะต้องได้เห็ดหลินจือเพลิงมาครอบครองอย่างแน่นอน!”
………………
อวี๋หวั่นกลับจวนไป เธอแบ่งถังหูลู่ให้ชิงเหยียน ให้เขานำไปให้ฝูหลิงและจื่อซู ส่วนที่เหลือเธอก็นำไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือน
ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมาก ฟันไม่ดีนัก และด้วยสภาพร่างกายที่ไม่สู้ดีของผู้สูงอายุ หมอจึงสั่งงดกินน้ำตาล แต่ฮูหยินทนไม่ไหว ต้องแอบกินในขณะที่คนอื่นเผลออยู่ร่ำไป อวี๋หวั่นมาอยู่ได้สองวัน ก็พบเห็นเหตุการณ์นี้อย่างน้อยเจ็ดแปดครั้ง
เมื่ออวี๋หวั่นเดินถือถังหูลู่ไปยังเรือน เยี่ยนจิ่วเฉากำลังพานกออกมาเดิน ไม่รู้ว่าเขาไปหานกแก้วตัวนั้นมาใส่กรงได้อย่างไร นกแก้วถูกเขาฉุดกระชากลากถูกจนนอนอยู่ในกรง
อวี๋หวั่นไม่เคยเห็นนกที่นอนแอ้งแม้งเช่นนี้มาก่อน คงจะถูกเยี่ยนจิ่วเฉาทำให้โมโหจนลืมว่าตัวเองเป็นนก
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ด้านข้าง นางมีความสุขจนหุบยิ้มไม่ลง
“ท่านย่า สามี” อวี๋หวั่นเดินเข้าไปทักทาย
หลานชายรักใครฮูหยินผู้เฒ่าก็รักด้วย นางปฏิบัติต่ออวี๋หวั่นดี และแน่นอนว่าเมื่อเห็นอวี๋หวั่นส่งถังหูลู่ให้ นางก็ยิ่งดีกับอวี๋หวั่นมากกว่าเดิม
กระนั้นนางก็ไม่ยอมกิน เพราะนางรู้ว่าหลานชายสุดที่รักชอบกินถังหูลู่ เขาถือถังหูลู่ไม้หนึ่งอยู่ในมือ เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
เยี่ยนจิ่วเฉายังคงรับรสได้เพียงรสหวานกับรสเปรี้ยว ส่วนรสอื่นๆ เขายังไม่สามารถจำแนกได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าหลานชายกินถังหูลู่จนหมด ก็รีบส่งของตนเองให้ “ให้เจ้า”
อวี๋หวั่นเดาได้ว่าต้องเป็นเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นจะกล้าซื้อถังหูลู่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไร? กินน้ำตาลมากขนาดนั้นเกินไปย่อมไม่ดีต่อสุขภาพ
อวี๋หวั่นส่งถังหูลู่ไม้นั้นให้เยี่ยนจิ่วเฉา แล้วแบ่งอีกส่วนให้ฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่ากินอย่างมีความสุข
ยังมีอีกไม้หนึ่งที่เธอซื้อมาให้ ‘ลุงใหญ่’ เห้อเหลียนเป่ยหมิง
ทันใดนั้นอวี๋หวั่นก็นึกถึงลุงใหญ่ของเธอที่หมู่บ้านเหลียนฮวา เธอกับเยี่ยนจิ่วเฉาจากมานาน ไม่รู้ว่าลุงใหญ่และคนอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง ท่านพ่อท่านแม่คงสบายดี พวกพี่ๆ น้องๆ ก็คงสบายดี เด็กน้อยทั้งสามจะงอแงตอนกินข้าวไหม จะคิดถึงพ่อกับแม่ไหมนะ?
“ฮูหยินน้อย?”
อวี๋หวั่นหลุดจากภวังค์เพราะเสียงนี้ จากนั้นเธอก็พบว่าตนเองได้เดินมาถึงเรือนของเห้อเหลียนเป่ยหมิงแล้ว
เขาชอบความสงบ ในเขตเรือนจึงไม่มีผู้ใด นอกเสียจากบ่าวคนสนิทอย่างอวี๋กัง
อวี๋กังไม่รู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นหลานตัวปลอม เขาจึงมองพวกเขาเป็นเจ้านายด้วยเช่นกัน
อวี๋หวั่นตั้งสติได้ เธอมองอวี๋กังแล้วพูดว่า “ข้าซื้อถังหูลู่มาให้ท่านลุงใหญ่”
“อา…” อวี๋กังอยากบอกไปว่าแม่ทัพใหญ่ไม่กินหรอก
แน่นอนว่าอวี๋หวั่นพอจะรู้อยู่แล้ว แต่ก็ยังซื้อมาให้เขา
อวี๋กังเกาหัว แล้วเดินนำอวี๋หวั่นไป
“ท่านแม่ทัพอยู่ในห้องหนังสือขอรับ” อวี๋กังบอก
อวี๋หวั่นพยักหน้า ยกมือขึ้นเคาะประตูที่ปิดสนิท “ท่านลุงใหญ่ ข้าเองเจ้าค่ะ ข้ามาพบท่าน”
“เข้ามา”
เสียงเบาๆ ดังมาจากในห้อง
อวี๋หวั่นเดินถือถังหูลู่เข้าไป
เห้อเหลียนเป่ยหมิงม้วนภาพวาดเก็บ อวี๋หวั่นเหลือบมองแวบหนึ่ง เป็นภาพวาดของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
อวี๋หวั่นไม่คิดว่าเทพสงครามแห่งหนานจ้าวจะหมกตัวอยู่ในห้องหนังสือและดูภาพของเด็กหนุ่มเพราะอีกฝ่ายมีความคิดเลยเถิดแต่อย่างใด เป็นไปได้มากว่า…นั่นคงเป็นภาพลูกชายซึ่งถูกไล่ออกจากบ้าน?
อวี๋หวั่นไม่มีหลักฐาน แต่สัญชาตญาณบอกเธอว่าอย่างนั้น
ทันทีที่เจ้าจิ้งจอกหิมะน้อยซึ่งกำลังปีนป่ายอยู่บนโต๊ะเห็นเธอ มันก็พุ่งตัวออกไป!
มันกำลังจะกระโดดลงจากโต๊ะ แต่กลับถูกมืออันทรงพลังกดหางเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวล้ม”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว
ลูกจิ้งจอกหิมะตัวน้อยถูกดึงกลับมาอย่างไร้ความปรานี มันโมโหจนกลอกตา
“เจ้ามาทำไม? มีธุระอะไรหรือ?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงเอ่ยถามอวี๋หวั่นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
อวี๋หวั่นส่งถังหูลู่ให้เขา “เมื่อครู่ข้าออกไปข้างนอกมา เลยซื้อถังหูลู่มา นี่เป็นของท่านลุงใหญ่เจ้าค่ะ”
“เจ้าพูดคำว่าลุงใหญ่ได้คล่องปากเหลือเกินนะ” เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “ที่บ้านข้าก็มีลุงใหญ่ ข้าได้เรียกลุงใหญ่มากกว่าเรียกท่านพ่อเสียอีก!”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเห้อเหลียนเป่ยหมิงได้ยินคำพูดนี้ คิ้วของเขาก็พลันขมวดขึ้นมา
……………………………….