หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 194.2 พบราชบุตรเขยครั้งแรก (2)
“ท่านพ่อ ท่านไม่พูดข้าไม่พูด ท่านแม่จะรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ?”
“ดึกสุดยามไฮ่ พ่อจะมารับเจ้า”
ในน้ำเสียงของเขามีพลังอำนาจที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความรักความเอ็นดู
ไม่รู้ทำไม อวี๋หวั่นเริ่มรู้สึกอยากรู้ว่าผู้ชายด้านนอกกำแพงคือใคร
เมื่อพันอกเสร็จ เธอเปิดประตูแล้วเดินออกมา บนทางเดินแคบๆ ด้านข้าง มีคุณชายสวมชุดฟ้าคนหนึ่งเดินออกมา เป็นเพราะปลอมเป็นผู้ชายพร้อมกัน อวี๋หวั่นจึงมองออกว่านางปลอมเป็นผู้ชาย และเมื่อคิดดูแล้วคงจะเป็นแม่นางน้อยที่เมื่อครู่อยากเข้าไปในหอคณิกา
ดูจากผิวพรรณเนียนละเอียดแล้ว ดูไม่เหมือนกับเด็กจากครอบครัวยากจน ถ้าอย่างนั้น คุณหนูจากสกุลผู้ลากมากดีจะมาทำอะไรในที่พรรค์นี้? อีกทั้งท่านพ่อของนางก็ยังขัดนางไม่ได้ด้วย?
นี่มันเด็กเอาแต่ใจหรืออย่างไรกัน?
แต่เมื่อคิดว่าตัวเธอเองก็เข้ามาในหอคณิกาพร้อมกับสามี ดูแล้วก็ไม่ได้แปลกน้อยไปว่าพ่อลูกคู่นั้นเลย…
อวี๋หวั่นนึกถึงผู้ชายด้านนอก เธอเดินออกมาจากลานด้านหลัง ไหนเลยจะรู้ว่าทางเดินด้านนอกไม่มีแม้แต่เงาของคน
อวี๋หวั่นมองไปรอบๆ หันไปหันมาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพบว่าไม่มีใคร จึงเดินตรงไปยังประตูด้านหลัง
ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงมีเสน่ห์เรียกเธอเอาไว้ “แม่นาง เจ้าทำของตก”
อวี๋หวั่นหันหลังไปตามสัญชาตญาณ ก็เห็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง ส่วนสูงใกล้เคียงกับเยี่ยนจิ่วเฉา สวมอาภรณ์ผ้าไหม สวมหน้ากากสีเงิน มือข้างหนึ่งของเขาจับแขนเสื้อ อีกข้างหนึ่งส่งแผ่นทองให้กับอวี๋หวั่น
มือนี้งดงามราวกับแกะสลักมาจากหยก ดูดีจนเหลือเชื่อ
“เป็นของเจ้าหรือ?” เขาเอ่ยถาม
อวี๋หวั่นตั้งสติได้ จึงรับแผ่นทองมา “เป็นของข้า”
เธอไม่ทันระวัง จนทำแผ่นทองล้ำค่าที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาหล่น เพราะมัวแต่สนใจว่ามือของผู้ชายคนนี้สวยเหลือเกิน?
แต่ว่า ผู้ชายคนนี้คงจะเป็นคนที่อยู่ด้านนอกกำแพงเมื่อครู่สินะ เสียงเหมือนกันเลย
เดี๋ยวก่อนนะ เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอเป็นผู้หญิง?
การปลอมตัวของเธอมีอะไรผิดพลาดอย่างนั้นหรือ?
“ขอตัว” เขาหันหลังเดินออกไป ทำให้อวี๋หวั่นมองเห็นเพียงแผ่นหลังสง่างามของเขา
บางคนไม่ต้องมีทหารและกองทัพ ก็สามารถแผ่พลังอำนาจของราชวงศ์ได้
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าคนผู้นี้โดดเด่นไม่ธรรมดา
“ขอบคุณ!” อวี๋หวั่นเพิ่งนึกได้ว่าต้องขอบคุณ
ผู้ชายคนนั้นเดินไปไกลแล้ว ไม่รู้ว่าเขาไม่ได้ยิน หรือได้ยินแต่ไม่ตอบกลับ ฝีเท้าของเขามิได้หยุดชะงักแม้แต่น้อย เขาเดินหายไปกับความมืด
อวี๋หวั่นเก็บแผ่นทองให้เรียบร้อยแล้วกลับไปยังที่นั่ง
“ทำไมไปนานเหลือเกิน” ชิงเหยียนเอ่ยถาม เขานำรถม้าไปจอดแล้วจึงตามมา แต่อวี๋หวั่นไปเข้าห้องน้ำนานเหลือเกิน
อวี๋หวั่นรู้สึกกระดากใจที่จะบอกเขาไปว่าเธอไปพันผ้าแถบที่หน้าอกมา จึงบอกไปเพียงว่าคนเยอะ ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เห็นเจียงไห่รินชาขิงใส่น้ำตาลทรายแดงให้เธอ
อวี๋หวั่น “…”
พวกเขามักจะคิดว่าอวี๋หวั่นมีวันนั้นของเดือนทุกที…
อีกด้านหนึ่ง เมื่อองค์หญิงน้อยซึ่งแต่งกายเป็นบุรุษเข้ามาในหอตี้อี ก็นั่งอยู่ในมุมตรงข้ามของเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่น โดยมีฉากซึ่งทำจากไม้หวงลี่กั้นอยู่
องค์หญิงน้อยไปยังที่นั่งซึ่งไม่ถูกใจนัก คิ้วขมวดเล็กน้อย “ทำไมนั่งตรงนี้? ไม่มีห้องเลยหรืออย่างไร?”
สองพี่น้องสกุลเห้อเหลียนซึ่งแอบที่บ้านออกมามีสีหน้าร้อนรน
เห้อเหลียนอวี่เอ่ยขึ้นด้วยความกระอักกระอ่วนว่า “กล่าวอย่างไม่ปิดบัง แขกที่นี่มีมากเหลือเกิน ทั้งหมดล้วนแต่จองเอาไว้ล่วงหน้าหนึ่งเดือน ตอนที่พวกเรามาจองนั้นที่นั่งก็เต็มหมดแล้ว นี่เป็นที่นั่งซึ่งพวกเราซื้อต่อมาอีกทีขอรับ”
“ไร้ประโยชน์!” ความเดือดดาลปรากฏขึ้นในดวงตาขององค์หญิงน้อย “ถ้าหากพี่ใหญ่เห้อเหลียนอยู่ที่นี่…”
นางพูดไปได้เพียงครึ่งเดียวก็หยุด จากนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มขึ้นมา “พี่ใหญ่เห้อเหลียนไม่มีทางมาที่นี่หรอก! เขาไม่เที่ยวหอคณิกา!”
พวกเขาสองคนก็ไม่เที่ยวที่นี่! แต่ที่มาไม่ใช่เพราะท่านหรอกหรือ?
สองพี่น้องรู้สึกน้อยใจ
พวกเขาไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทุ่มเทเพื่อองค์หญิงน้อย เห้อเหลียนเซิงไม่ได้รู้สึกอะไรกับองค์หญิงน้อย แต่เพราะเหตุใดจึงอยู่ในใจของนางมาตลอด พวกเขาสู้เห้อเหลียนเซิงไม่ได้หรือ?
องค์หญิงน้อยไม่ได้สังเกตท่าทางเศร้าสร้อยของพวกเขา นางมองไปยังเวทีซึ่งสร้างขึ้นมาทางฝั่งตะวันออก “คนไหนคือต่งเซียนเอ๋อร์?”
บนเวทีกำลังทำการแสดงชุดใหม่ ท่าทางร่ายรำอ่อนช้อยงดงาม เสียงบรรเลงผีผาไพเราะประหนึ่งดนตรีของเทพเซียน
เห้อเหลียนเฉิงบอกว่า “ไม่ใช่พวกนาง ต่งเซียนเอ๋อร์ยังไม่ออกมาขอรับ”
องค์หญิงน้อยขมวดคิ้ว “ยังไม่ออกมาอีกหรือ? นี่กี่โมงกี่ยามแล้ว? ยามไฮ่ท่านพ่อจะมารับข้า”
“อีกนานกว่าจะถึงยามไฮ่” เห้อเหลียนอวี่บอก
องค์หญิงน้อยนั่งพิงพนักเก้าอี้ ทอดถอนใจ “ข้าไม่เข้าใจ ซื้อเห็ดหลินจือมาก็จบแล้ว ให้คนไปต่อรองราคาไม่ได้หรือ? นางเสนอราคามา ข้าก็จ่ายได้อยู่แล้ว!”
เห้อเหลียนอวี่ค่อยๆ รินชาให้นาง “หากใช้เงินเพียงอย่างเดียวแก้ปัญหาได้ก็ดีสิขอรับ แต่ต่งเซียนเอ๋อร์ผู้นี้นิสัยประหลาดนัก ต้องเป็นแขกที่ถูกตาต้องใจนางเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะสนทนากับนาง”
“เย่อหยิ่งเสียจริง!” องค์หญิงน้อยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
ต่งเซียนเอ๋อร์ได้รับการขนานนามว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางย่อมสามารถเล่นตัวได้ แต่นางก็มิได้ทำให้ผู้คนต้องทนรอนานจนเกินไป หลังจากที่ผู้คนเบียดเสียดกันเพื่อเข้ามาดู โคมไฟในห้องโถงใหญ่ก็ถูกเหล่ายอดฝีมือดับลงอย่างรวดเร็ว
ไข่มุกราตรียี่สิบเม็ดห้อยลงมาจากเพดานด้วยด้ายเส้นที่แทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ในแสงเจิดจรัสของไข่มุก สตรีสวมอาภรณ์สีชมพูดกระโดดลงมาจากระเบียง นางอรชรอ้อนแอ้นดุจนกนางแอ่น เครื่องแต่งกายงดงามดุจสายรุ้ง สวยสะพรั่งจนฝูงชนตื่นตะลึง
ทว่า ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่านางคือต่งเซียนเอ๋อร์อยู่นั้นเอง ก็มีแม่นางสวมอาภรณ์สีชมพูอีกคนหนึ่งโบยบินลงมา นางดูงดงามกว่าสตรีคนก่อนหน้าสักสามส่วนเห็นจะได้
สตรีที่ลงมาจากระเบียงมีทั้งหมดแปดคน ทุกคนล้วนแต่วิชาตัวเบาเป็นเลิศ พวกนางลากม่านผ้าไหมสีทองเปิดออกกลางอากาศ
ในตอนนั้นเอง เสียงอันเสนาะหูของกระดิ่งเงินก็ดังขึ้นท่ามกลางราตรี กลีบดอกไม้โปรยปรายลงมาจากเพดานอันมืดมิด เท้าสวยประหนึ่งดอกบัวเหยียบลงบนผ้าไหมสีขาว เสียงของกระดิ่งเงินนั้นมาจากกำไลข้อเท้า
ในต้าโจวก็ดี หนานจ้าวก็ดี เท้าของสตรีนับเป็นของสงวน กระนั้นคนผู้นี้ได้เปลือยเท้าต่อสาธารณะ ซึ่งก็มิได้แตกต่างอันใดกับการเปลือยกาย…
บุรุษซึ่งอยู่ตรงนั้นบ้างก็เลือดกำเดาไหล บ้างก็ตกใจจนเป็นลมล้มพับไป
อวี๋หวั่นอยู่มาสองโลก เธอก็จำต้องยอมรับว่านี่คือเท้าคู่สวยที่ชวนให้เลือดกำเดาไหลได้จริงๆ
อวี๋หวั่นอยากรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร เขาคงตกตะลึงในความงามของนางเหมือนกันสินะ เมื่อหันไป ก็เห็นว่าสามีของเธอกำลังนั่งก้มหน้า เขาคว้ามือของเธอเอาไว้ แล้วเล่นกับนิ้วราวกับเด็กน้อยกำลังเล่นนับนิ้วไม่มีผิดเพี้ยน…
ไม่ได้นะ สาวงามอยู่ตรงหน้า ท่านมองสักหน่อยก็ได้ ไหนๆ ก็จ่ายเงินไปแล้วตั้งมาก
ในเวลาเพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว อีกฝ่ายก็มาอยู่บนเวที ผ้าไหมสีขาวในมือของสตรีอีกแปดคนล้วนโบกสะบัดราวกับผ้าม่านบาง บดบังร่างของสตรีผู้นั้นเอาไว้ตรงกลาง
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าตนเองพลาดฉากสำคัญ
อันที่จริงเธอก็ไม่ได้พลาดไปมากถึงขนาดนั้นหรอก ผู้หญิงคนนี้ลงมาอย่างรวดเร็ว นอกจากเท้าของนางแล้ว ฝูงชนก็ไม่เห็นอะไรมากเช่นกัน
“นางคือต่งเซียนเอ๋อร์? แค่นั้นน่ะหรือ?” เจียงไห่เอ่ยขึ้น
“นั่นสิ ฮูหยินงามกว่าอีก” ชิงเหยียนบอก
“ฮูหยินงามกว่าอีก” เยว่โกวพูดตาม
อวี๋หวั่นเหลือบไปมองทั้งสาม พวกเจ้าเช็ดเลือดกำเดาก่อนเถอะ
ต่งเซียนเอ๋อร์นำมาซึ่งความตื่นเต้นไม่น้อย ได้ยินว่านางจะไม่ปรากฏตัวในรูปแบบเดิมเลยสักครั้ง นางสร้างความตื่นตาตื่นใจไม่น้อย นางเป็นสตรีที่บุรุษทั้งแผ่นดินหนานจ้าวต่างหมายปอง กระนั้นก็ยังได้ยินว่าตราบจนวันนี้ นางก็ยังรักษาพรหมจรรย์เพื่อผู้ที่มีชะตากับนางเท่านั้น
ทุกวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือน นางจะรับแขกเพียงคนเดียว แต่จะได้เป็นผู้มีชะตาต้องกับนางหรือไม่นั้นล้วนแต่ขึ้นอยู่กับโชค
กุหลาบพิษดอกนี้หาได้เด็ดง่ายไม่
ฝูงชนเริ่มเสนอราคากันแล้ว
“ข้าให้ห้าร้อยตำลึง!”
ในห้องโถงกลาง บุรุษใบหน้าดุดันคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาอย่างอาจหาญ
แต่กลับถูกฝูงชนหัวเราะเยาะ
พวกเขาไม่ได้ฟังผิดไปกระมัง? สาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมีราคาเพียงห้าร้อยตำลึงเองหรือ? คนบ้านนอกจากที่ใดกัน ไม่รู้หรือว่าหากเป็นต่งเซียนเอ๋อร์ ราคาต้องเริ่มจากหนึ่งพันตำลึง?
“ข้าให้หนึ่งพันตำลึง!”
คุณชายจากสกุลร่ำรวยคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ไม่นาน ก็มีคนไม่ยอมน้อยหน้า “หนึ่งพันหนึ่งร้อยตำลึง!”
“หนึ่งพันสองร้อยตำลึง!”
“หนึ่งพันสามร้อยตำลึง!”
“หนึ่งพันห้าร้อยตำลึง!”
บรรยากาศในห้องโถงใหญ่พลันร้อนระอุขึ้นมา
บุรุษใบหน้าดุดันที่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะก่อนหน้านี้ก็รู้สึกอดรนทนไม่ได้ขึ้นมา เขากัดฟัน แล้วทุบโต๊ะ “สองพันตำลึง!”
ในห้องโถงใหญ่เงียบลงทันที แต่ก็ไม่ได้เงียบสงบ มีเสียงคนดังขึ้นเพิ่มอีก “สองพันห้าร้อยตำลึง!”
อวี๋หวั่นอ้าปากค้าง พวกเจ้า…พวกเจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?
ได้เป็นแขกของนางก็เท่านั้น ทั้งยังแตะต้องไม่ได้ แต่ก็ยังยอมเสียเงินมากเพียงนั้นน่ะหรือ?
“แผ่นทองของพวกเรามีมูลค่าเท่าไร?” อวี๋หวั่นเอ่ยถามชิงเหยียน
ชิงเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่แน่ใจ สกุลเห้อเหลียนมีทรัพย์สินมหาศาล หากฮูหยินต้องการประมูลด้วยละก็ อาจจะชนะก็ได้เลย”
อวี๋หวั่นเหลือบมองเขา “อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เงินของพวกเจ้าใช่ไหมละ?”
ชิงเหยียน “ใช่แล้ว”
อวี๋หวั่น “…”
“หนึ่งหมื่นตำลึง!” ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมชวนปวดหัวดังขึ้นจากฝั่งตรงข้าม
“องค์หญิงน้อยขอรับ!” เห้อเหลียนอวี่รีบเตือนว่า “มากเกินไปแล้ว!”
องค์หญิงน้อยเชิดหน้า “แล้วจะทำไม? ก็ข้ามีเงิน!”
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องถึงหนึ่งหมื่นตำลึงนี่ คิดว่าคนจะสืบไม่ได้หรืออย่างไร? เห้อเหลียนอวี่แทบจะคุกเข่าให้องค์หญิงผู้นี้แล้ว
ตอนที่นางตะโกนว่าหนึ่งหมื่นตำลึง ไม่มีผู้ใดกล้าสู้ราคาแล้ว
ต่งเซียนเอ๋อร์ซึ่งอยู่ในม่านกวักมือเรียกแม่เล้าซึ่งกำลังหัวเราะร่าจนลมแทบจับ
แม่เล้าเดินเข้าไป หลังจากนั้นไม่นานนางก็เดินออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ แล้วบอกกับฝูงชนว่า “เซียนเอ๋อร์บอกว่า วันนี้จะไม่แข่งราคา แต่จะเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น นางจะโยนลูกกลมแพรปัก นักดนตรีจะตีกลองไปเรื่อยๆ เมื่อเสียงกลองหยุดลง ลูกกลมแพรปักไปหยุดอยู่ที่ใคร คนนั้นจะได้เป็นแขกของนางในคืนนี้”
น่าตื่นเต้นเหลือเกิน!
ผู้ที่มีวิชายุทธ์ ไม่ต้องใช้เงินก็มีโอกาส ผู้ที่ไม่มีวิชายายุทธ์ก็สามารถให้องครักษ์บ้านตนไปแย่ง เมื่อแย่งมาได้ก็นำมาให้ตนเอง
อวี๋หวั่นพูดไปเรื่อยๆ เมื่อหันกลับมาอีกที ก็พบว่าพวกเจียงไห่พุ่งออกไปทางเวทีตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
อวี๋หวั่นพึมพำคำพูดที่ยังพูดไม่จบ “…ต้องคิดกลยุทธ์ก่อน อย่าตีกันเอง”
ทว่าเจียงไห่ชกชิงเหยียนสลบไปแล้ว
………………………………….