หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 199.3 ศึกชิงเห็ดหลินจือ (3)
คนต้าโจวว่างมงายเรื่องไสยศาสตร์แล้ว คนหนานจ้าวเชื่อมากกว่าคนต้าโจวเสียอีก ไม่เช่นนั้นคงไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้หรอก
“ในเมื่อเล่ากันว่าสวนป่านี้เป็นสถานที่อัปมงคล พ่อค้ายังกล้าซื้ออีกหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
ชิงเหยียนหัวเราะ “ในใต้หล้าก็ยังมีคนกล้าไม่กลัวตาย”
จะว่าไปก็ถูก นอกจากนั้นแล้วสถานที่แห่งนี้ก็ยังเคยเป็นสวนป่าของราชวงศ์ เมื่อได้มาอยู่ในครอบครองก็นับว่าเป็นหน้าเป็นตามากแล้ว
“หลังจากขายไปแล้วมีเรื่องเกิดร้ายเกิดขึ้นไหม?” อวี๋หวั่นถามด้วยความสงสัย
ชิงเหยียนหัวเราะอีกครั้ง “ว่ากันว่ามี แต่จริงหรือเท็จข้าก็ไม่รู้ อีกทั้งยังมีเหล่าคนใจกล้าที่มาเพราะชื่อเสียงของที่นี่ หากกล้าพักอยู่ที่ที่หนึ่งวัน กลับออกไปก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้กล้า”
อวี๋หวั่นคิดในใจว่า ที่จริงแล้วราชวงศ์ตั้งใจสร้างให้สถานที่นี้เป็นบ้านผีสิงหรือเปล่านะ? คนโบราณหัวการค้าขนาดนี้เชียวหรือ?
ศีรษะของเยี่ยนจิ่วเฉาหนุนอยู่บนตักของอวี๋หวั่น ใบหน้าของเขาหันเข้าหาท้องของอวี๋หวั่น แขนโอบเอวเธอเอาไว้ แล้วหลับไป
มือของอวี๋หวั่นพาดไว้บนไหล่ของเยี่ยนจิ่วเฉา เธอชอบความใกล้ชิดเช่นนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเจ็บปวดที่เขาได้รับความทรมาน ถ้าหากไม่ทรมานจนแทบทนไม่ไหว เขาคงไม่แนบชิดกับเธอในตอนกลางวันแสกๆ เช่นนี้
ครั้งนี้เดินทางไกล อวี๋หวั่นอยากงีบสักพัก แต่กลับพบว่าตนเองนอนไม่กลับ ดังนั้นจึงสนทนากับชิงเหยียนต่อ
เมื่อครู่พูดถึงเรื่องอะไรนะ?
ใช่แล้ว นี่เป็นสวนป่าที่อวิ๋นเฟยเคยมาพำนัก
อวิ๋นเฟยเป็นพระมารดาของตี้จีองค์โต เยี่ยนจิ่วเฉาก็เคยกล่าวถึงนาง ทว่าเขาไม่ได้เล่าละเอียด อวี๋หวั่นจึงรู้เพียงว่านางไม่ได้รับความรักความเอ็นดู ไม่ใช่เพราะนางเป็นกาลกิณี แต่เป็นเพราะนางถูกองค์ประมุขเกลียดชังตั้งแต่เด็ก
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นละ?
อวี๋หวั่นบอกความสงสัยในใจให้ชิงเหยียนฟัง
เขาตอบว่า “เรื่องเล่าเกี่ยวกับอวิ๋นเฟยจำนวนมาก บ้างก็ว่านางเป็นแม่มด บ้างก็ว่าเป็นนางพญาจิ้งจอก เป็นกาลกิณี แต่เท่าที่ข้ารู้ ก่อนที่อวิ๋นเฟยจะเข้าวัง นางเป็นสตรีที่มีความรู้ความสามารถ แต่ด้วย…”
“แต่ด้วยอะไร?” อวี๋หวั่นถาม
ชิงเหยียนถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “จะว่าไป อวิ๋นเฟยผู้นี้เป็นคนน่าสงสาร นางเคยได้รับการหมั้นหมายแล้วครั้งหนึ่ง แต่ว่าที่เจ้าบ่าวกลับไปหลงรักลูกพี่ลูกน้องของนาง จึงยกเลิกงานแต่งงาน นางเป็นบุตรสาวของอนุภรรยา ฐานะต้อยต่ำ ไม่มีปากมีเสียง เรื่องการแต่งงานจึงไม่อาจแย่งชิงกับบุตรสาวของภรรยาเอกได้ ท่านแม่ของนางไม่ได้ให้กำเนิดพี่น้องผู้ชาย ทำให้ครอบครัวไร้ที่พึ่ง นับวันยิ่งถูกคนรังแก ตัวนางเองก็นับว่ากระเสือกกระสน ได้รับเลือกให้เป็นพระสหายร่วมชั้นเรียนกับฮองเฮา ในตอนนั้นฮองเฮายังไม่ใช่ฮองเฮา แต่เป็นเพราะหมั้นหมายกับองค์ประมุขมาตั้งแต่ยังเล็ก ฮองเฮาองค์ก่อนจึงให้ความสำคัญกับว่าที่ลูกสะใภ้มาก และอนุญาตให้นางเข้าไปศึกษาในห้องหนังสือ
สหายร่วมชั้นเรียนไม่ได้มีเพียงอวิ๋นเฟย แต่อวิ๋นเฟยได้รับความโปรดปรานจากฮองเฮามากที่สุด หลังจากที่ฮองเฮาอภิเษกกับองค์ประมุข เมื่อรู้ว่าอวิ๋นเฟยถูกว่าที่สามีถอนหมั้น ฮองเฮาก็โมโหและด่าทอชายหนุ่มคนนั้นอย่างรุนแรง สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ครอบครองสาวงาม แต่กลับถูกส่งไปปล่อยยังเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ไม่อาจกลับเมืองหลวงไปตลอดชีวิต”
นี่มัน…โชคร้ายสองชั้น
อวี๋หวั่นจินตนาการได้ไม่ยากว่าในตอนนั้นฮองเฮาออกหน้าแทนอวิ๋นเฟยด้วยเหตุใด อวี๋หวั่นไม่รู้สึกเห็นใจผู้ชายคนนั้นแม้แต่น้อย เขาก็เป็นผู้ชายเฮงซวยคนหนึ่ง ต้องถูกจัดการให้สาสม แต่ว่าเกิดเรื่องอะไรกับอวิ๋นเฟยคนนี้กัน ทำไมนางถึงไปเป็นพระสนมได้?
ชิงเหยียนพูดต่อ “ถึงเรื่องนี้จะลงเอยที่ว่าที่เจ้าบ่าวของอวิ๋นเฟยถูกนำไปปล่อย แต่ก็ทำให้อวิ๋นเฟยเจ็บปวดไม่น้อยถึงกับล้มหมอนนอนเสื่ออยู่นาน เมื่อฮองเฮารู้ข่าวจึงเชิญอวิ๋นเฟยเข้าวัง แล้วเรียกเหล่าบุรุษที่ดีและอายุเหมาะสมมาเพื่อให้อวิ๋นเฟยเลือก เพียงแต่ไม่คิดว่าอวิ๋นเฟยจะเข้าไปพัวพันกับองค์ประมุข”
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าโมโหเหลือเกิน
เห็นว่าเจ้าเป็นพี่น้อง แต่เจ้ากลับแย่งสามีข้า!
อวี๋หวั่นส่ายหน้า แล้วถามว่า “แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้ไปเกี่ยวข้องกับองค์ประมุขไม่ชอบนางได้อย่างไร?”
ชิงเหยียนบอกว่า “ช่วงนั้นพระองค์ดื่มสุรามาก จึงไม่รู้ว่าอวิ๋นเฟยอยู่ในห้องของฮองเฮา คิดว่าอวิ๋นเฟยคือฮองเฮา
เมื่อได้สติจึงรู้ว่านางเป็นหญิงอื่น ในตอนนั้นฮองเฮารู้เรื่องแล้ว จึงเดินหนีออกไปด้วยความโกรธ องค์ประมุขนึกอยากปิดเรื่องนี้ก็ไม่อาจปิดได้อีกต่อไป พระองค์ให้ความสำคัญกับฮองเฮามาก หากไม่ใช่เพราะเมาสุรา จะไปทำความผิดครั้งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร? องค์ประมุขจึงเคียดแค้นอวิ๋นเฟย จากนั้นจึงพาลรังเกียจนางไปด้วย”
อวี๋หวั่นพูดว่า “เช่นนั้นประหารนางก็สิ้นเรื่อง ทำไมยังให้นางอยู่ในวังอีก?”
ชิงเหยียนหัวเราะ “ฮองเฮาอภิเษกมาได้สามปีก็ยังไม่มีโอรสสักที ขุนนางในราชสำนักทั้งบุ๋นทั้งบู๊ต่างก็แนะนำให้องค์ประมุขขยายวังหลัง อวิ๋นเฟยปรากฏตัวได้ประจวบเหมาะพอดี ขุนนางอาวุโสคนหนึ่งจึงขอร้องแทนนาง กษัตริย์ก็คือกษัตริย์ แต่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะได้ดังใจไปเสียหมด สุดท้ายแล้วอวิ๋นเฟยก็เข้ามาอยู่ในวัง ไม่นานก็ได้รับการวินิจฉัยว่าตั้งครรภ์”
อวี๋หวั่นพยักหน้าแล้วบอกว่า “ข้าได้ยินว่าตี้จีองค์โตและตี้จีองค์เล็กเกิดวันเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นฮองเฮาและอวิ๋นเฟยก็ตั้งครรภ์ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน?”
ชิงเหยียนตอบว่า “ถูกต้อง ข่าวว่าอวิ๋นเฟยตั้งครรภ์แพร่สะพัดออกไปได้ไม่กี่วัน ฮองเอาก็ได้รับการวินิจฉัยว่าตั้งครรภ์เช่นกัน”
เรื่องหลังจากนั้นอวี๋หวั่นรู้หมดแล้ว ราชครูทำนายให้องค์ประมุขว่าพระองค์จะไม่มีโอรส ตี้จีของฮองเฮาและตี้จีของอวิ๋นเฟยที่เกิดมา คนหนึ่งจะนำโชคดีมาให้แผ่นดิน อีกคนหนึ่งจะเป็นกาลกิณีของแผ่นดิน
ถ้าหากหนึ่งในพวกนางทั้งสองให้กำเนิดโอรส คำทำนายนี้จะนับว่าเป็นโมฆะ แต่ทั้งสองต่างให้กำเนิดบุตรี ทั้งยังเกิดอาเพศอีกด้วย จึงทำให้ผู้คนเชื่อไปโดยปริยาย
ที่โชคดีก็คือผู้ที่เป็นกาลีบ้านกาลีเมืองก็คือตี้จีองค์โตของอวิ๋นเฟย องค์ประมุขเกลียดอวิ๋นเฟยอยู่เป็นทุนเดิม จึงไม่รอช้าไล่พวกนางออกไป หากเปลี่ยนเป็นตี้จีของฮองเฮา องค์ประมุขคงจะลังเลอยู่บ้าง
“แล้วอวิ๋นเฟยไม่โวยวายหรือ?” อวี๋หวั่นรู้สึกว่าอวิ๋นเฟยผู้นี้ไม่ธรรมดา ทำลายชีวิตอดีตเจ้าบ่าวเสียจนยับเยิน ทั้งยังนอนกับสามีของเพื่อนสนิทได้เช่นนี้ นางต้องมีความสามารถอยู่บ้าง
ชิงเหยียนยักไหล่ “แน่นอนว่านางโวยวาย แต่ยิ่งโวยวายก็ยิ่งถูกองค์ประมุขรังเกียจ ยิ่งพระองค์รังเกียจนาง นางก็ยิ่งไม่สามารถไปรับลูกกลับมาได้”
“น่าสงสารตี้จีองค์โต” อวี๋หวั่นพูด
น่าสงสารเจ้าด้วย ชิงเหยียนคิดในใจ
“หลายปีมานี้ฮองเฮาสุขภาพไม่แข็งแรง อวิ๋นเฟยกินมังสวิรัติและปฏิบัติธรรม และเข้าตำหนักเย็นไปพร้อมกัน
คนเดียวที่ปลอบประโลมใจขององค์ประมุขก็คือตี้จี”
ในตอนที่ชิงเหยียนกล่าวประโยคนี้ เขามีสีหน้าเย็นชา เพียงแต่เขานั่งอยู่ด้านนอก อวี๋หวั่นจึงมองไม่เห็น
โป๊ก!
ศีรษะด้านหลังของชิงเหยียนถูกกระแทก
ที่แท้เยี่ยนจิ่วเฉาก็ปาผลไม้ใส่เขา
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เสียงดัง!”
ชิงเหยียนกระแอม และไม่พูดอะไรอีก
การเดินทางมาหนานจ้าวในครั้งนี้ไม่มีอิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน เดิมทีอวี๋หวั่นก็กังวลว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่มีลูกน้องคนสนิทแล้ว พวกชิงเหยียนก็เป็นคนของอวี๋หวั่น อาจกลายเป็นว่าพวกเขาปล่อยเยี่ยนจิ่วเฉาให้โดดเดี่ยว แต่ใครจะรู้เล่าว่าพวกเขาล้วนแต่รักเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ต่างจากเธอ
อวี๋หวั่นก้มหน้าลงหอมแก้มเยี่ยนจิ่วเฉา แล้วพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อย่ารังแกชิงเหยียน”
“หึ” เยี่ยนจิ่วเฉากลอกตา แล้วฝังใบหน้าเข้ากับหน้าท้องนุ่มของเธอดังเคย
ช่วงบ่าย รถม้าก็เคลื่อนมาถึงปี้ลั่วซานจวง สาวใช้ของต่งเซียนเอ๋อร์มายืนรออยู่ที่ปากประตูแล้ว เมื่อเห็นพวกอวี๋หวั่น จึงกล่าวทักทาย “หมิงเซียงคำนับคุณชาย คำนับใต้เท้า”
ประโยคหลังนางพูดกับผู้อาวุโสเยวี่ย
ผู้อาวุโสเยวี่ยพยักหน้า
สาวใช้ตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นชุดของคนผู้นี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นปรมาจารย์พิษขั้นสูง หลายปีมานี้ปรมาจารย์พิษที่ไม่ถือตัวนั้นมีน้อยนัก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงปรมาจารย์พิษขั้นสูง
แต่ที่ทำให้สาวใช้ตกใจยิ่งกว่านั้นไม่ใช่ผู้อาวุโสเยวี่ย แต่เป็นเยี่ยนจิ่วเฉาต่างหาก
นางไม่เคยพบเคยเห็นบุรุษที่งดงามเช่นนี้มาก่อน…
“ท่านนี้คือ…”
“เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
สาวใช้ตะลึงงัน แล้วรีบปิดปากเงียบทันที
นางพาพวกเขาไปยังสถานที่สำหรับต้อนรับแขกของต่งเซียนเอ๋อร์ เป็นศาลาริมน้ำ ล้อมรอบไปด้วยทุ่งสุดลูกหูลูกตา ต่งเซียนเอ๋อร์มารออยู่นานแล้ว แต่นางเริ่มเหงื่อออกจึงกลับห้องไปเติมเครื่องสำอาง
สาวใช้พาพวกเขาไปยังศาลาริมน้ำ “เชิญพวกท่านพักผ่อนก่อนเจ้าค่ะ อีกสักครู่เจ้านายของข้าจะมา”
ศาลากว้างขวางโอ่โถง ทั้งสี่ด้านมีที่นั่งและรั้วกั้น เยี่ยนจิ่วเฉาหามุมร่มๆ นั่งลง ช่วงนี้เขาไม่ชอบนั่งกลางแดด แม้แต่อวี๋หวั่นเองก็ยังสังเกตเห็น
อวี๋หวั่นนั่งข้างเขา เขานึกอยากอิงศีรษะมาหาอวี๋หวั่น แต่เหมือนจะนึกได้ จึงอดทนเอาไว้ก่อน
ชิงเหยียนเชิญผู้อาวุโสเยวี่ยมานั่งอีกด้านหนึ่ง ส่วนเจียงไห่บังคับรถม้าจนก้นระบม เขาจึงไม่อยากนั่ง
สาวใช้ยกม้านั่งหินและโต๊ะหินเข้ามาวางไว้ตรงกลางศาลา แล้ววางชุดน้ำชาและผลไม้ไว้กลางโต๊ะ
“ใต้เท้าเยวี่ย เชิญเจ้าค่ะ คุณชายทุกท่าน เชิญเจ้าค่ะ” สาวใช้บอก
ชิงเหยียนยกมือยกไม้เชื้อเชิญผู้อาวุโสเยวี่ย
ผู้อาวุโสเยวี่ยเดินไปนั่งที่ม้านั่งหินอ่อนอย่างเกรงอกเกรงใจ
อวี๋หวั่นสะกิดแขนเยี่ยนจิ่วเฉา “จะไปกินอะไรหรือไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉาเบือนหน้าหนีพร้อมกับแค่นเสียงขึ้นจมูก “ไม่ไป”
พักนี้เขางอแงมากขึ้น อวี๋หวั่นเองก็ไม่อาจต้านทานได้ เธอมักจะใจอ่อนอยู่ร่ำไป อวี๋หวั่นใช้มือที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อแขนกว้างจับปลายนิ้วของเขาไว้ “เช่นนั้นข้าก็ไม่ไป”
ชิงเหยียนซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขาและถูกบีบบังคับให้ดูฉากละครน้ำเน่า “…”
จิ้มตาข้าให้บอดไปเลย…
ผ่านไปครู่หนึ่ง ต่งเซียนเอ๋อร์ซึ่งไปเติมเครื่องสำอางก็ยังไม่มา ผู้ที่มาถึงกลับเป็นองค์หญิงน้อย
นางยังคงแต่งกายเป็นบุรุษ นางคิดว่าตนปลอมตัวได้แนบเนียนเสียเหลือเกิน นอกจากต่งเซียนเอ๋อร์และสาวใช้ของต่งเซียนเอ๋อร์แล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้ แต่หารู้ไม่ว่าอวี๋หวั่นและคนอื่นๆ ล้วนรู้ฐานะที่แท้จริงของนางแล้ว
นางถือพัดไว้ในมือ เดินเข้ามาในศาลาอย่างสง่างามและเย่อหยิ่ง
ด้านหลังของนาง มีปรมาจารย์พิษขั้นสูงของจวนประมุขหญิงสวมชุดยาวสีดำสนิท
คนผู้นี้น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผู้อาวุโสเยวี่ย กระนั้นเขากลับดูหรูหราว่าผู้อาวุโสเยวี่ยมาก พวกเขาสวมชุดยาวของปรมาจารย์พิษขั้นสูงเหมือนกัน แต่ของคนผู้นี้กลับเป็นผ้าไหมขอบทอง ท่าทางการเดินของเขาขึงขังน่าเกรงขาม นิ้วโป้งมือข้างซ้ายของเขาสวมแหวนหยกล้ำค่า
สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์พิษแห่งจวนประมุขหญิง ความสามารถยังไม่ต้องพูดถึง แค่เพียงการแต่งตัวก็เลิศเลอมากแล้ว
ทันใดนั้นเองอวี๋หวั่นก็นึกถึงเฟ่ยหลัวที่ถูกพวกเขาสังหารนอกเมืองหลิ่ว จะเป็นไปได้ไหมว่าอาจารย์ของเขาที่ประจำอยู่ในจวนประมุขหญิงคือปรมาจารย์พิษท่านนี้?
ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังครุ่นคิด ผู้อาวุโสเยวี่ยก็เอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์น้อง”
ทุกคนล้วนแต่ตื่นตะลึง
แม้แต่องค์หญิงน้อยเองก็ยังผงะไป นางมองไปยังบุรุษซึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อน แล้วหันกลับไปมองปรมาจารย์พิษอาวุโสบ้านตน ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
………………………………………