หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 202.1 ความลับสุดยอด (1)
อวี๋หวั่นเคยเห็นไข่มุกพิษ แต่ไม่เคยเห็นไข่มุกพิษจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน ทั้งยังประดับไปทั่วทั้งกล่อง ซื้อไข่มุกพิษมาทั้งใต้หล้าเลยหรืออย่างไร?
ลักษณะของไข่มุกพิษไม่ได้แตกต่างกับไข่มุกธรรมดา ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือมันสามารถเรืองแสงได้เมื่ออยู่ในมือของเธอ
ต่งเซียนเอ๋อร์นั้นตกใจยิ่งกว่าเธอเสียอีก สายตาของนางจับจ้องไปยังไข่มุกซึ่งส่องแสงวับวาม กล่องนั้นเป็นของนาง นางรู้จักมันดี สายตาของนางกำลังบอกอวี๋หวั่นว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดทำให้ไข่มุกเหล่านี้ ‘ส่องแสง’ มาก่อน
“ท่าน…” ต่งเซียนเอ๋อร์มีสีหน้าเคร่งขรึม
อวี๋หวั่นรีบหยิบเห็ดหลินจือออกมาอย่างรวดเร็ว วางกล่องลงบนโต๊ะ พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ท่านไม่เห็นอะไร ท่านตาพร่าไปเองก็เท่านั้น”
ต่งเซียนเอ๋อร์ซึ่งเดิมทีงุนงงอยู่ไม่น้อย เมื่อได้ยินอวี๋หวั่นร้อนตัวเช่นนี้ นางก็หัวเราะออกมา
“ท่านหัวเราะอะไร?” อวี๋หวั่นใช้ผ้าห่อเห็ดหลินจือแดง แล้วยัดเข้าไปในช่องว่างในแขนเสื้อ
ต่งเซียนเอ๋อร์นั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่รีบร้อน ดื่มชาเข้าไปหนึ่งคำ กล่าวว่า “ข้าหัวเราะที่ข้าไปรู้ความลับสุดยอดเข้าแล้ว”
“อ้อ”
“ท่านอยากฟังหรือไม่?”
“ไม่อยาก”
“แต่ข้าก็จะพูดให้ท่านฟังอยู่ดี”
เอ๊ะ!
ต่งเซียนเอ๋อร์หัวเราะอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “อันที่จริงมีเรื่องเล่าจำนวนมากในเมืองหลวง หนึ่งในนั้นก็คือบัลลังก์ของประมุขหญิงมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แม้ว่าท่านจะไม่ใช่คนหนานจ้าว…”
เรื่องนี้ก็ดูออกด้วยหรือ?
ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวจริงๆ!
อยากกลับบ้านเหลือเกิน!
“แต่คิดว่าท่านคงรู้ว่าประมุขหญิงคือผู้ใด และคงได้ยินมาบ้างว่าตำแหน่งรัชทายาทของนางได้มาอย่างไรกระมัง” ต่งเซียนเอ๋อร์ไม่ทันรอให้อวี๋หวั่นตอบ นางก็พูดต่อในทันใด “นางตามหาราชันหมื่นสัตว์พิษให้กับหนานจ้าว ราชันหมื่นสัตว์พิษเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของหนานจ้าว และสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยอมรับนางเป็นเจ้านาย นางกลายเป็นผู้ที่ได้รับการปกปักรักษา องค์ประมุขแห่งหนานจ้าวจึงแต่งตั้งให้นางเป็นรัชทายาท เรื่องนี้ได้รับการยอมรับจากอาณาประชาราษฎร์ นับว่าเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับมีข่าวว่า…สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้หายไป สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจออกจากเจ้านายไปได้ง่ายๆ นอกเสียจากว่า…เรื่องยอมรับประมุขหญิงเป็นเจ้านายนั้นเป็นเรื่องโกหก”
บนใบหน้าของอวี๋หวั่นเต็มไปด้วยประโยคว่า ‘ข้าไม่ได้คิดมากขนาดนั้น’ ‘ข้าแค่อยากได้เห็ดหลินจือ’ ‘ปล่อยข้าไปเถอะ’
เดี๋ยวนะ ทำไมนางต้องบอกเธอด้วยนะ?
อวี๋หวั่นสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดี
ต่งเซียนเอ๋อร์ยืนขึ้น แล้วเดินไปตรงหน้าอวี๋หวั่น นางยื่นปลายนิ้วขาวปลอดมาเชยคางของอวี๋หวั่น “ท่านรู้หรือไม่ว่าบนกล่องนี้มีไข่มุกทั้งหมดกี่ลูก? หนึ่งร้อยแปดลูก ราชันสัตว์พิษที่เก่งกาจยังไม่อาจทำให้ไข่มุกสว่างได้ถึงครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ”
อวี๋หวั่นมีสีหน้าราบเรียบ “ไม่ใช่ว่าคนอื่นทำไม่ได้ แต่ท่านอาจไม่รู้”
ต่งเซียนเอ๋อร์ยิ้ม “ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าตามหาปรมาจารย์พิษขั้นสูงมาทดลองแล้วกี่คน?”
สรุปแล้วนางไม่ได้ตามหาปรมาจารย์พิษไปเรื่อยเปื่อยสินะ?
“ไข่มุกของท่านอาจจะพังแล้วก็เป็นได้” ทำอย่างไรก็จะไม่ยอมรับว่าเธอมีราชันหมื่นสัตว์พิษหรอก!
ต่งเซียนเอ๋อร์ขยับเข้ามาใกล้อวี๋หวั่น แล้วพูดอย่างมีเลศนัย “หรือว่า ท่านมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในครอบครอง”
“อาหารกินส่งเดชได้ แต่คำพูดไม่อาจพูดส่งเดช สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของหนานจ้าวเป็นของประมุขหญิง ท่านกล่าววาจา
ใส่ความข้าเช่นนี้ เพราะคิดจะยืมมือประมุขหญิงมาแก้แค้นที่ข้าไม่อาจสนองความต้องการของท่านได้หรือ?” อวี๋หวั่นไม่ชอบลับฝีปากกับใคร แต่เมื่อถึงคราวจำเป็น แต่ละคำของเธอก็รุนแรงราวกับบาดลึกลงไปในเนื้อ
เป็นดังคาด ต่งเซียนเอ๋อร์ตะลึงงันไป ชั่ววินาทีหนึ่งนางไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร
อวี๋หวั่นใช้จังหวะที่นางกำลังยืนงง เดินออกจากห้องไปอย่างสง่างาม
เมื่อต่งเซียนเอ๋อร์ตั้งสติได้ นางได้แต่หรี่ตามองตามหลังอวี๋หวั่น “เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของหนานจ้าวหรือไม่ ข้าย่อมมีวิธีพิสูจน์!”
เมื่อออกมาห่างจากเรือนแล้ว อวี๋หวั่นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ฮวาขุยคนนี้น่ากลัว ไม่เห็นเหมือนหน้าตาเลย! โชคดีที่เธอหนีออกมาได้อย่างว่องไว และไม่ทิ้งหลักฐานเอาไว้ ไม่เช่นนั้นหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป นอกจากจะหาตัวยาสมุนไพรไม่ได้แล้ว คงจะถูกประมุขหญิงตามมาฆ่าเธอแล้วเอาสัตว์พิษกลับไปด้วย
ในตอนที่อวี๋หวั่นนำเห็ดหลินจือกลับมายังศาลาริมน้ำ พวกองค์หญิงน้อยก็กลับไปแล้ว ผู้อาวุโสเยวี่ยมีธุระ ก็ขอตัวกลับไปแล้วเช่นกัน โดยมีเจียงไห่เดินทางไปส่ง ชิงเหยียนนำคำพูดของผู้อาวุโสเยวี่ยบอกกับอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นรู้สึกตกใจ ไม่คิดว่าปรมาจารย์พิษเมิ่งท่าทางขึงขังคนนั้นจะเก่งกาจปานนั้น โชคดีที่เยี่ยนจิ่วเฉาจัดการคนแซ่อวี๋นั่นแล้ว ไม่เช่นนั้นหากคนแซ่อวี๋ไปบอกเขาว่าพวกเขาฆ่าเฟ่ยหลัวตาย เกรงว่าวันนี้พวกเขาคงไม่มีทางได้เห็ดหลินจือมาเป็นแน่
อวี๋หวั่นบอกเรื่องของคนแซ่อวี๋กับชิงเหยียนและเจียงไห่ ทั้งสองอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง เกือบไปแล้ว เฟ่ยหลัวเป็ยลูกศิษย์ของปรมาจารย์พิษขั้นสูงเมิ่ง
อวี๋หวั่นบอกว่า “ไม่เป็นไร เรื่องของคนแซ่อวี๋นั่นจัดการเรียบร้อยแล้ว”
ชิงเหยียนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจัดการกับร่างของคนแซ่อวี๋ จากนั้นจึงบังคับรถม้าตามอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉากลับจวนไป
วันเวลาชวนอกสั่นขวัญแขวนได้จบลง พวกเขาได้เห็ดหลินจือมาครอบครอง เรื่องแรกที่อวี๋หวั่นทำหลังจากกลับจวนก็คือไปหาชุยเฒ่า ให้เขาดูว่าเห็ดหลินจือแดงนี้เป็นของจริงหรือไม่
ชุยเฒ่าวางหัวผัดกาดซึ่งกัดไปได้เพียงครึ่งเดียวลง จากนั้นก็หยิบเห็ดหลินจือขึ้นมาพลิกไปพลิกมา พินิจพิจารณาอยู่พักใหญ่
เขาทำให้อวี๋หวั่นใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ “อย่าบอกนะว่าเป็นของปลอม!”
ชุยเฒ่าขมวดคิ้ว พึมพำว่า “บนโลกนี้มีเห็ดหลินจือแดงต้นที่สองจริงด้วย…”
อวี๋หวั่นหรี่ตาด้วยความหวาดระแวง “หมายความว่าอย่างไร? ท่านรู้หรือว่าเห็ดหลินจือแดงอยู่ที่ไหน?”
“แค่ก!” ชุยเฒ่าอยากจะตีปากตนเองเหลือเกิน ทำไมในช่วงเวลาสำคัญ เขาถึงปากไม่มีหูรูดขึ้นมาได้นะ?
เขาตอบว่า “จิ้งอ๋องมีเห็ดหลินจือแดงอยู่ต้นหนึ่ง”
ไม่ได้นึกถึงคนคนนั้นมานานแล้ว เมื่อได้ยินชื่อแล้วอวี๋หวั่นถึงกับชะงักไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง จากนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าคนที่ชุยเฒ่ากล่าวถึงก็คือเยี่ยนไหวจิ่ง เมื่อสงบจิตสงบใจได้แล้ว ลำพังความรู้สึกที่เยี่ยนไหวจิ่งมีต่ออวี๋หวั่น ให้เธอไปหยิบลูกเกาลัดออกมาจากกองไฟ ไปหาต่งเซียนเอ๋อร์ยังจะดีกว่า
“เอาเถอะ เก็บของให้ดี เห็ดหลินจือมีจิตวิญญาณ อย่าแตะต้องบ่อยนัก” ชุยเฒ่าว่าพลางหากล่องซึ่งทำจากหยกขาว ปูด้วยผ้าไหมสีแดง แล้วนำเห็ดหลินจือใส่ลงไปอย่างระมัดระวัง
เมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งได้ ชุยเฒ่าก็เอ่ยขึ้นว่า “แล้วก็ ครั้งนี้ได้รับความช่วยเหลือจากเห้อเหลียนเป่ยหมิง เจ้าอย่าลืมไปขอบคุณเขา”
อวี๋หวั่นพยักหน้า ไม่ต้องให้ชุยเฒ่าเตือน เธอก็ตั้งใจจะไปขอบคุณเห้อเหลียนเป่ยหมิงอยู่แล้ว อย่างไรเสียหากเขาไม่ได้เชิญผู้อาวุโสเยวี่ยมาให้ การได้มาซึ่งเห็ดหลินจือแดงก็คงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา
แต่จะขอบคุณเขาอย่างไรดี?
อวี๋หวั่นลูบคาง “ใช่สิ ชุยเฒ่า วิชาแพทย์ของท่านล้ำเลิศ ท่านรักษาขาของลุงใหญ่ข้าได้ไหม?”
“ขาลุงใหญ่เจ้าไม่ได้รักษาหายแล้วหรอก…” ชุยเฒ่ายังพูดไม่จบ ก็นึกได้ว่าลุงใหญ่ที่อวี๋หวั่นพูดถึงคือลุงใหญ่อีกคนหนึ่ง เขาถลึงตาใส่เธอ “เรียกลุงใหญ่ซะคล่องปากเชียว! เขาไม่ได้ป่วย เขาบาดเจ็บ เส้นเอ็นฉีกขาด ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก”
……………
กลางดึกเงียบสงัด เห้อเหลียนเป่ยหมิงนั่งอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพัง ด้านข้างของเขาคือสาส์นจำนวนหนึ่งจากผู้ใด้บังคับบัญชา เบื้องหน้าของเขามีภาพเขียนม้วนหนึ่ง เป็นภาพเขียนของเด็กหนุ่มซึ่งดูคล้ายกับเขาสักห้าหกส่วนเห็นจะได้
ปลายนิ้วของเขาลูบไปบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน
“ท่านลุงใหญ่เจ้าคะ!”
เสียงของอวี๋หวั่นดังมาจากด้านนอก
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเก็บภาพเขียนใส่ลงในตะกร้าด้านข้าง แล้วกล่าวเสียงค่อยว่า “เข้ามา”
อวี๋หวั่นยกถาดใบหนึ่งเข้ามา “ข้าเดาว่าท่านลุงใหญ่ยังไม่นอน เมื่อครู่ข้าไปจึงเข้าครัว ทำของว่างมาให้เจ้าค่ะ”
“เจ้ายังไม่นอนหรือ?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงเอ่ยถาม
“ข้าดีใจ นอนไม่หลับ” อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ
“ก็แค่เห็ดหลินจือแดงต้นเดียว” เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
อวี๋หวั่นจึงบอกว่า “แต่ก็ได้มายากเหลือเกิน ท่านลุงใหญ่ไม่รู้หรอกเจ้าค่ะว่าวันนี้ข้าเจอใครมา องค์หญิงน้อยท่านนั้น…” พูดถึงเท่านี้ อวี๋หวั่นก็หยุดไปครู่หนึ่ง สายตาของเธอเหลือบมองเขา “ข้าบอกท่านลุงใหญ่ไปหรือยังเจ้าคะว่าองค์หญิงน้อยจากจวนประมุขหญิงต้องการแย่งชิงเห็ดหลินจือกับพวกข้า?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงส่งสายตาเป็นเชิงว่า ‘เจ้าคิดว่าเจ้าเก็บความลับได้เก่งหรือ?’ ให้กับอวี๋หวั่น
เอาเถอะ
อวี๋หวั่นกระแอม ช่วงนี้ยุ่งจนหัวหมุนไปหมด สมองของเธอทำงานไม่ค่อยไหว พวกเขาอยู่ในจวนสกุลเห้อเหลียน พวกเขาทำอะไร จะไปรอดพ้นหูตาของเขาได้อย่างไรกัน? และที่เชิญผู้อาวุโสเยวี่ยมาก็คงเพราะรู้ดีว่าพวกเขากำลังมีเรื่องกับใคร ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ยังยอมช่วย จนถึงตอนนี้ ความรู้สึกซาบซึ้งที่อวี๋หวั่นมีต่อเห้อเหลียนเป่ยหมิงเพิ่มขึ้นมาอีกสามส่วน
อวี๋หวั่นพูดอย่างภาคภูมิใจ “ปรมาจารย์พิษขั้นสูงของจวนประมุขหญิงเก่งกาจเหลือเกิน โชคดีที่เขาเป็นศิษย์น้องของผู้อาวุโสเยวี่ย จึงยังไว้หน้าผู้อาวุโสเยวี่ยอยู่บ้าง”
บนโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นได้อย่างไร? หากไม่ใช่เพราะเห้อเหลียนเป่ยหมิงเดาได้แต่แรกแล้วจะเป็นใคร เขายังล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองด้วย จึงไปเชิญผู้อาวุโสเยวี่ยมากจากบนเขา ส่วนผู้อาวุโสเยวี่ยไม่รู้เรื่องด้วย
แต่ว่าเรื่องนี้ เห้อเหลียนไม่ได้บอกกับผู้ใด
อวี๋หวั่นยกจานวางลงบนโต๊ะ “ขนมเกาลัด ราดด้วยน้ำกุหลาบ นี่คือขนมมันปูกรอบ นี่คือโจ๊กผลซิ่งและลูกเดือย ข้าใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาล กินแล้วจะไม่นอนไม่หลับเจ้าค่ะ”
ขนมเหล่านี้เป็นขนมที่อวี๋หวั่นทำให้เยี่ยนจิ่วเฉากิน เยี่ยนจิ่วเฉาชื่นชอบฝีมือของเธอมาก ขอเพียงเป็นสิ่งที่เธอทำ เขาก็จะกินจนหมดไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว แต่บางครั้งอาหารที่มีน้ำตาลมากจะทำให้เขานอนไม่หลับ เขาไม่นอน เธอก็ไม่อยากนอน คุณชายคนนี้มีสารพัดวิธีทำให้เธอควบคุมตัวเองไม่ได้
“นอกจากนั้นแล้ว หากท่านไม่ชอบรสหวาน ก็ยังมีนี่” อวี๋หวั่นหยิบจานอีกใบหนึ่งซึ่งใหญ่กว่าใบก่อนหน้าออกมา ในจานมีซาลาเปาไส้เนื้อลูกใหญ่
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่เคยเห็นซาลาเปาลูกใหญ่ถึงเพียงนี้มาก่อน เขารู้สึกคล้ายกับหนังตากระตุก
อวี๋หวั่นยิ้ม “เช่นนั้น…ท่านลุงใหญ่ค่อยๆ กินนะเจ้าคะ ข้ากลับเรือนก่อน”
ฮูหยินผู้เฒ่า เยี่ยนจิ่วเฉา และจื่อซูกำลังเล่นไพ่กันอยู่ ยังขาดไปอีกหนึ่งคน!
อวี๋หวั่นเดินไปอย่างสบายอารมณ์
เห้อเหลียนเป่ยหมิงมองไปยังของว่างตรงหน้า ผ่านไปไม่นาน เขาก็จุดตะเกียงอ่านหนังสือ บ่าวก็มักจะนำของว่างมาให้ ทว่าตั้งแต่ที่ภรรยาของเขาไปบวช ก็ไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาในห้องหนังสือของเขาเช่นนี้
นอกจากซาลาเปาไส้เนื้อซึ่งดูน่ากลัวลูกนั้น ของว่างชนิดอื่นๆ ล้วนแต่ดูดียิ่งนัก เนื้อด้านนอกเป็นสีเหลืองทอง น้ำกุหลาบสีแดง เป็นขนมที่ประณีตงดงาม…เพียงมองก็รู้สึกอิ่มใจ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงพลันรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา
“ฮึ่ม!”
เจ้าจิ้งจอกหิมะน้อยบนตักของเขาตื่นแล้ว
มันได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคย ขนบนศีรษะของมันตั้งขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็กระโดดขึ้นมาบนโต๊ะ แย่งซาลาเปาลูกใหญ่ไปกอด
จิ้งจอกหิมะน้อยกอดซาลาเปาไส้เนื้อเอาไว้ แล้วกลิ้งไปมาอยู่บนโต๊ะอย่างพึงพอใจ
นั่นทำให้เห้อเหลียนเป่ยหมิงอารมณ์ดียิ่งกว่าเดิม
เด็กคนนั้นรู้จักตอบแทนบุญคุณ จึงทำขนมมาให้เพื่อแทนคำขอบคุณ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงหยิบขนมเกาลัดราดน้ำกุหลาบขึ้นมาหนึ่งชิ้น แล้วใส่เข้าปากอย่างสำราญใจ
หนึ่งวินาทีผ่านไป แม่ทัพใหญ่ถึงกับกระโดดโหยง!
บ้าจริง!
ทำไมรสชาติจึงแย่ถึงเพียงนี้!
เพิ่งจะบอกไปว่ารู้จักตอบแทนบุญคุณ
นี่มันแก้แค้นมากกว่ากระมัง!!!
…………………………………..