หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 204 นางเอกละครตัวแม่
จวนประมุขหญิงอีกแล้ว!
เมื่อชาติที่แล้วพวกเขามีความแค้นกับจวนประมุขหญิงหรืออย่างไร ชาตินี้จึงต้องตามมาทะเลาะกันเช่นนี้ เรื่องของ
ราชบุตรเขยยังไม่กระจ่าง พวกเขาก็มีปัญหากับองค์หญิงน้อยและปรมาจารย์พิษแห่งจวนประมุขหญิงเสียแล้ว และไม่นาน พวกเขาก็คงต้องมีปัญหากับตัวประมุขหญิงเองอีกแล้ว…
ไม่สิ มีปัญหากับนางไปตั้งนานแล้ว
เจ้าสัตว์พิษตัวน้อยที่ประมุขหญิงตามหานั้นอยู่ในมือของเธอ
อวี๋หวั่นกดหน้าอก
เฮ้อ ให้นางไม่ได้
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เธอรู้สึกไม่อยากคืนให้นาง
พวกเขาลงจากเขา
เดินไปได้ครึ่งทาง สาวใช้ของต่งเซียนเอ๋อร์ก็กระวีกระวาดเข้ามา แล้วกระซิบข้างหูของนาง ต่งเซียนเอ๋อร์เบ้ปาก แล้วตอบไปอย่างไม่เต็มใจว่า “เข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปบอกว่าข้าจะถึงในอีกหนึ่งชั่วยาม”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ขี่ม้ากลับไป
อวี๋หวั่นไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง เพียงแต่หูของเธอดีเหลือเกิน จึงทำได้เพียงแสร้งว่าไม่ได้ยิน
ต่งเซียนเอ๋อร์เดินเข้ามาด้วยท่าทางอ่อนหวาน นางดึงแขนเสื้อของอวี๋หวั่น “ข้าจะไปแล้วนะเจ้าคะ”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “เดินทางปลอดภัย”
ต่งเซียนเอ๋อร์สะบัดแขนเสื้อของอวี๋หวั่น กระทืบเท้าแล้วพูดว่า “เจ้าคนหัวดื้อ!”
อวี๋หวั่น: ข้าทำอะไรอีกเนี่ย ถึงกลายเป็นคนหัวดื้อไปได้!!!
ต่งเซียนเอ๋อร์เดินขึ้นรถม้าไปด้วยความขุ่นเคือง ทันทีที่ขึ้นรถม้าไป นางก็เดินลงมายัดผ้าเช็ดหน้าใส่มืออวี๋หวั่น ขณะที่อวี๋หวั่นยังมีสีหน้ามึนงงอยู่นั้น นางชายตามองอวี๋หวั่นแล้วเดินขึ้นรถม้าไป
เอ…แม่นาง เจ้าเป็นนางเอกละครหรือ…
หากไม่มีเรื่องที่ปี้ลั่วซานจวงเกิดขึ้น อวี๋หวั่นคงคิดว่าฮวาขุยผู้นี้ต้องตกหลุมรักเธอเป็นแน่ นางมีความลับไปไม่น้อยกว่าพวกเขา ก็ต้องมองออกว่าเธอปลอมตัวเป็นผู้ชายสิ?
“อาหวั่น” เยว่โกวเอ่ยปากขึ้นมา
เยว่โกวพูดน้อย เขามักจะนิ่งเงียบอยู่เสมอ อวี๋หวั่นถามเท่าใด เขาก็ตอบเท่านั้น ถ้าอวี๋หวั่นไม่พูด เขาก็จะปิดปากสนิทเหมือนเปลือกหอย
เพราะฉะนั้นเมื่อเขาพูดขึ้นมา จึงสามารถดึงความสนใจของอวี๋หวั่นได้ในทันที “มีอะไรหรือ?”
“เจ้าดู” เยว่โกวชี้
อวี๋หวั่นมองตามไป ก็พบว่าฝั่งตรงข้ามของเขาลูกนี้มีรถม้าหรูคันหนึ่ง และเป็นเพราะทั้งคู่สายตาดี จึงสามารถมองเห็นได้ชัดเจน หากเป็นคนอื่นคงไม่รู้ว่าเป็นรถม้าของสกุลใด
“รถม้าจวนพวกเราหรือ?” อวี๋หวั่นลูบคางด้วยความประหลาดใจ “ใครออกมากัน? ท่านลุงใหญ่หรือว่าเยี่ยนจิ่วเฉา?”
เยว่โกวตอบว่า “รถม้าของจวนตะวันตก ข้าเคยเห็นสารถีคนนั้น”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “พวกเขามาปรากฏตัวแถวนี้ได้อย่างไรกัน? คงไม่ใช่ว่าพวกเราแผนแตกหรอกนะ ไปกันเถอะ ไปดูกัน”
ทั้งสองลงไปยังเชิงเขา สารถีนั่งพิงประตูรถงีบหลับ เยว่โกวเปิดดูด้านใน ในรถม้าไม่มีคน
อวี๋หวั่นมองไปรอบๆ เธอส่งสัญญาณมือให้เยว่โกว บนเขาลูกนี้มีสำนักแม่ชีตั้งอยู่ สำนักแม่ชีแห่งนี้เก่าแก่คร่ำคร่า ประตูก็ดูมอซอ ไม่ยักคล้ายกับมีคนแวะเวียนมา
หรือว่าคนจากจวนตะวันตกจะไปที่นั่น?
ไม่ไปวัดพิษ แต่กลับไปยังสำนักแม่ชีที่ร้างผู้คน
คนจากจวนตะวันตกกำลังเล่นบ้าอะไรกันอยู่?
อวี๋หวั่นบอกกับเยว่โกวว่า “ข้าจะไปดู เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ จะได้จับตาดูสารถีไปด้วย อย่าให้เขาหนีไป”
รถม้าของพวกเขาจอดอยู่ที่เชิงเขา ลำพังสายตาของเยว่โกวสามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่ที่แห่งนี้ก็อยู่ห่างจากสำนักแม่ชีไม่มาก หากอวี๋หวั่นได้รับอันตราย เยว่โกวก็สามารถตามไปช่วยได้
เยว่โกวพยักหน้าตอบรับ
อวี๋หวั่นไปยังสำนักแม่ชี
ประตูด้านหน้าคล้ายกับจะถูกลงกลอนจากด้านใน
ในใจของอวี๋หวั่นพลันเกิดความสงสัย ที่นี่อยู่กลางป่าเขาไร้ผู้คน หากคนจากจวนตะวันตกขึ้นมาบนเขาจริงๆ สถานที่เพียงแห่งเดียวที่จะไปก็คือสำนักแม่ชี
ทำตัวลึกลับอย่างนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน!
อวี๋หวั่นปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อปีนข้ามกำแพง ขาของเธอพาดอยู่บนต้นไม้ ร่างกายท่อนบนพาดอยู่บนกำแพง เธอมองเห็นลานในสำนักแม่ชีได้อย่างชัดเจน ที่นี่ดูเก่าทรุดโทรมยิ่งกว่าบ้านในหมู่บ้านเหลียนฮวาของเธอเสียอีก นอกจากอ่างน้ำและเชือกสำหรับตากผ้า ก็ไม่มีของอื่นแล้ว
คนอยู่ไหนละ?
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงแปลกประหลาดดังมา “ข้ารู้สึกเสียดายแทนท่าน ท่านว่าหากในตอนนั้นไม่ได้ทำผิด ท่านจะถูกไล่ออกจากบ้าน มาอยู่ในที่ที่ลำบากเช่นนี้หรือ?”
นางหลี่!
นางกำลังพูดกับใคร? คนที่ถูกไล่ออกจากบ้าน…สำนักแม่ชี…
อวี๋หวั่นชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง
หรือว่าจะเป็นนางถานผู้ซึ่งสวมเขาให้เห้อเหลียนเป่ยหมิง?
“ทำไมไม่พูดแล้วเล่า? พี่สะใภ้ใหญ่รู้สึกว่าข้าขวางหูขวางตา ไม่ดีใจที่ข้ามาเยี่ยมหรือ?”
เมื่อได้ยินคำที่นางหลี่ใช้เรียกอีกฝ่าย ก็รู้แล้วว่าต้องเป็นนางถานไม่ผิดแน่
อวี๋หวั่นยื่นแขนออกไป เธออยากเห็นว่านางถานหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ห้องนั้นลึกเกินไป เธอมองเห็นเพียงเงาที่ทอดยาวลงมาบนพื้น
เงานั้นเรียวเล็กเหลือเกิน เธอจึงคิดว่านางถานมีรูปร่างผอม
นางไม่ตอบนางหลี่
นางหลี่เริ่มรู้สึกรำคาญใจ ข้ามาเยี่ยมท่านท่านกลับไม่สนใจ คนที่ถูกไล่ออกจากสกุลอย่างท่านคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเช่นนี้
อวี๋หวั่นรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมา นางหลี่มีโทสะสุมอยู่ในใจ จึงมาระบายออกที่นางถาน
ไม่มากไปหน่อยหรือ? ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่นางถานไม่ได้เป็นคนของเห้อเหลียนเป่ยหมิงอีกแล้ว ถึงหากเป็นแล้วอย่างไร? นางถานทำผิดต่อเห้อเหลียนเป่ยหมิง ไม่ได้ทำผิดต่อนางหลี่จากจวนตะวันตกสักหน่อย นางหลี่โมโหเรื่องที่บ้าน จะระบายกับสาวใช้ก็ไม่หาย จะระบายกับบุตรชายก็ไม่ได้ จึงต้องมาหาพี่สะใภ้ที่เคยกดหัวนาง
ว่ากันว่าครอบครัวเดียวกันมักจะมีอะไรเหมือนๆ กัน มิน่าเล่าเห้อเหลียนฉีและนางหลี่เป็นสามีภรรยากัน จึงมีนิสัยเสียไม่ต่างกัน
กระนั้นความอดทนของนางถานก็นับว่าอยู่เหนือจินตนาการของอวี๋หวั่น นางหลี่กล่าวคำพูดระคายหูไปไม่รู้เท่าไร นางถานกลับมิได้โต้ตอบแม้แต่คำเดียว นางไม่ยักคล้ายกับไม่กล้าตอบ แต่เหมือนกับไม่ใส่ใจจะตอบเสียมากกว่า
“…พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าละเสียดายแทนท่านจริงๆ ในตอนนั้นท่านเป็นถึงภรรยาที่ยกเกี้ยวแต่งเข้ามาอย่างเป็นทางการของพี่ใหญ่ ท่านอยู่ในจวนดูแลสามี อบรมเลี้ยงดูลูก รับใช้พ่อแม่สามี ต่อให้ไม่มีความดีความชอบแต่ก็ยังมีแรงงานของท่าน ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ไล่ท่านออกมา ทำเช่นนี้หมายความว่าไม่คิดให้พวกท่านมีเส้นทางชีวิตต่อเลย ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าไปหาเด็กบ้านนอกมาจากไหน บอกว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของน้องรอง ข้าว่าพวกนั้นก็เป็นเพียงคนหลอกลวง ฮูหยินผู้เฒ่ารักและเอ็นดูเขาเสียยิ่งกระไร คุณชายใหญ่เรียกฮูหยินผู้เฒ่าว่าย่ามานานหลายปี ความรู้สึกผูกพันเช่นนี้ยังเกิดขึ้นได้แม้แต่ตอนที่เลี้ยงสุนัข ฮูหยินผู้เฒ่ากลับใจร้ายใจดำได้ถึงเพียงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เพียงใจร้าย แต่ยังเลอะเลือน ไล่หลานชายที่เลี้ยงกับมือมาจนโตไป แล้วเอ็นดูคนมิจฉาชีพจากข้างนอกแทน!”
นางหลี่คนนี้วาจาร้ายกาจ มาหานางถานถึงที่นี่เพื่อยุแยงตะแคงรั่วชัดๆ
นัยน์ตาของอวี๋หวั่นกระตุกวูบหนึ่ง นางหลี่ออกมา นางออกมาโดยที่อวี๋หวั่นไม่ทันตั้งตัว เธอรีบดึงตัวกลับ แต่ปลายเท้ากลับลื่น ร่างของเธอร่วงลงจากทั้งต้นไม้และกำแพง
ขณะที่กำลังจะร่วงลงมาก้นกระแทกพื้นนั้น ก็มีท่อนแขนแกร่งข้างหนึ่งรับเธอเอาไว้ เธอพลิกตัว แล้วคว้าแขนของเขาเอาไว้ตามสัญชาตญาณ
หลังจากที่อวี๋หวั่นทรงตัวได้แล้ว ก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นภิกษุสวมชุดสีฟ้าอ่อนและหมวกสาน จึงรีบดึงมือออกในทันใด “ขอบคุณไต้ซือ”
พูดจบ อวี๋หวั่นก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลกๆ จึงเงยหน้ามองอีกฝ่าย
นี่ไม่ใช่ภิกษุที่พบในซีเฉิงถึงสองครั้งหรอกหรือ? ภิกษุรูปที่อยู่ข้างห้องของเธอและเข้าคุกไปพร้อมกับเธอ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้มาพบกันที่นี่อีกครั้ง
“ไต้…”
อวี๋หวั่นกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ภิกษุชุดสีฟ้าก็ยกมือขึ้นกล่าวลาและเดินจากไป
อวี๋หวั่นไม่ทันเห็นแม้แต่รูปร่างของเขา แต่การแต่งตัวอย่างนั้น หมวกใบนั้น อวี๋หวั่นมั่นใจว่าตนไม่ได้จำผิด
เขาจำเธอไม่ได้? หรือจำได้แต่ไม่อยากรู้จัก?
อวี๋หวั่นส่ายหน้า ไม่ได้ตามไปตอแยเขาอีก
เธอเสียเวลาไปมาก จึงรีบตามไปจัดการนางหลี่สักหน่อย
เธอไปยังรถม้าของนางหลี่ ดึงมีดสั้นออกมาแล้วลงมือแงะล้อรถม้า
ช่วงบ่าย ทันทีที่อวี๋หวั่นเข้ามาในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า สาวใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าก็รีบเข้ามารายงานด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ไอ้หยา ฮูหยินผู้เฒ่า แย่แล้วเจ้าค่ะ รถม้าของฮูหยินรองเสียระหว่างทาง ล้อรถกลิ้งหลุดออกไป รถม้าทั้งคันพลิกคว่ำเจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นนางเป็นอย่างไรบ้าง?” อวี๋หวั่นถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
สาวใช้ตอบว่า “ฮูหยินรองเอวเคลื่อนเจ้าค่ะ! เอวเคลื่อนตอนอายุปูนนี้ หมอบอกว่าคงลุกจากเตียงไม่ได้ไปอีกหลายเดือนเจ้าค่ะ!”
อวี๋หวั่นยกชาขึ้นมาดื่มด้วยสีหน้าราบเรียบ ยุแยงเก่งดีนัก
ฮูหยินผู้เฒ่าไปเยี่ยมไข้นางหลี่ ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ดีว่านางหลี่ไม่ชอบหน้าหลานชายของนาง จึงไม่ได้พาอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาไปด้วย
อวี๋หวั่นใช้โอกาสนี้เข้าไปในห้องของเยี่ยนจิ่วเฉา ชิงเหยียนและเจียงไห่ก็อยู่ด้วย
พวกเขาไม่ได้ถามอะไร ก็แค่นางหลี่ เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวกับพวกเขา
อวี๋หวั่นเล่าเรื่องที่ได้พบกับต่งเซียนเอ๋อร์ รวมไปถึงเรื่องคางคกหิมะและปรมาจารย์พิษอาวุโสที่รู้มาจากต่งเซียนเอ๋อร์ให้พวกเขาฟัง “…ดูแล้ว ประมุขหญิงก็คงคิดครอบครองคางคกหิมะเหมือนกัน ตอนนี้น่าจะมีแค่สองวิธี หนึ่งคือส่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์คืน ประมุขหญิงจะได้ล้มเลิกความตั้งใจจะครอบครองคางคกหิมะ อีกวิธีหนึ่ง…ก็คือไม่ต้องส่งคืนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ไปแย่งคางคกหิมะมา พวกเจ้าคิดว่า…”
ทุกคนตอบอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ข้อสอง!!!”
อวี๋หวั่น “…”
พวกเจ้าไม่ใช่โจรจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย?
……………………………..