หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 230 จุดจบ เป่ยหมิงฟื้นคืนสติ
นายท่านรองใหญ่ไม่เคยคาดคิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับเขา ทั้งร่างตะลึงงัน นี่มันปีศาจ หรือคนบ้ากันแน่? กลางวันแสกๆ บอกว่าจะแทงก็แทงเสียดื้อๆ?! นี่มันแตกต่างจากการสังหารคนข้างถนนอย่างไร! ! !
กริชที่เยี่ยนจิ่วเฉาใช้ เป็นกริชที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงถูกใช้เพื่อลอบสังหาร
นายท่านรองใหญ่กล้าใช้มันแทงเห้อเหลียนเป่ยหมิงแผลหนึ่ง เยี่ยนจิ่วเฉาก็แทงเขาแผลหนึ่งเช่นกัน
ใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดที่เยี่ยนสติฟั่นไม่กล้าทำ และเรื่องที่เขาคิดไม่ถึง
คนที่คิดไม่ถึงคือนายท่านรองใหญ่ เขาไม่เคยเห็นบุรุษที่ไม่ปกติเช่นนี้มาก่อน ในใจของเขาไร้ซึ่งความเกรงกลัวหรือรู้สึกผิดสักนิดจริงๆ หรือ?
เจ้าบ้า!
นี่มันบ้าชัดๆ!
“ใคร…”
นายท่านรองใหญ่กำลังจะเอ่ยปาก ทว่าก็เจ็บเกินกว่าจะเปล่งเสียง เยี่ยนจิ่วเฉาฮึดฮัด ช่วยกล่าวแทนเขาจนจบด้วยความกรุณา “ใครก็ได้ นายท่านรองใหญ่ถูกลอบสังหาร!”
นายท่านรองใหญ่ “…”
นายท่านรองใหญ่เห็นอารมณ์สงบเยือกเย็นของเขา ก็เกิดฟ้าผ่าลงกลางใจอีกครั้ง
เหล่าองครักษ์มาถึงในไม่ช้า มองดูนายท่านรองใหญ่ที่นอนจมกองเลือดโดยมีกริชติดอยู่ในท้อง ก็ตกตะลึงปากอ้าตาค้างไปตามๆ กัน
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “เมื่อครู่มีนักฆ่าคนหนึ่งบุกเข้ามาในจวนเพื่อมาลอบทำร้ายข้า ทว่าปู่รองช่วยรับกริชแทนข้า พวกเจ้ารีบตามไปจับมือสังหารมา แล้วก็เรียกข้ารับใช้สองคนพาปู่รองกลับไปรักษาที่จวนตะวันตก”
เหล่าองครักษ์ไม่สงสัยเขา รีบรับคำสั่ง “ขอรับ! คุณชายใหญ่!”
นายท่านรองใหญ่ท่าไม่สู้ดี
พวกเจ้ากลับมาให้หมด!
มือสังหารคือเขา!
เขาแทงข้า!
องครักษ์ห้าคนไปตามจับมือสังหาร องครักษ์อีกคนไปเรียกข้ารับใช้ที่มากพละกำลัง ยกเปลหามมาพานายท่านรองใหญ่ขึ้นไป
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว “นายท่านรองใหญ่วางใจเถิด คนดีเช่นท่านย่อมได้รับความเมตตาจากเบื้องบน จะต้องไม่เป็นอะไรแน่”
กล่าวจบ เยี่ยนจิ่วเฉาก็ก้มลงมองเขา “เจ้าดูดีๆ ว่าหากไม่มีแม่ทัพใหญ่กับฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ข้าจะหยิกเจ้าให้ตายได้หรือไม่?”
นายท่านรองใหญ่ข่มกลั้นความเจ็บปวด จ้องมองไปที่เยี่ยนจิ่วเฉาอย่างโกรธแค้น
เยี่ยนจิ่วเฉาแม้เปลือกตาก็หาได้ขยับ เขาหมุนตัวเดินออกไป ทว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเดินกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ “บุตรชายของเจ้า ข้าเป็นคนฆ่าเอง”
ฉีเอ๋อร์
นายท่านรองใหญ่ถมึงตา พุ่งไปหมายจะจับเยี่ยนจิ่วเฉา ทว่าถูกคนแบกเปลหามจับไว้
“นายท่านรองใหญ่อย่าได้ตระหนก พวกเรากำลังตามหมอมารักษาท่าน!”
บัดซบเอ๊ย! แกฆ่าฉีเอ๋อร์ของข้า!
เขาไม่ใช่เห้อเหลียนเฉา!
เขาไม่ใช่!
พวกเข้าทุกคนโดนหลอก!
หากเขาเป็นเห้อเหลียนเฉาจริง ความพ่ายแพ้ของนายท่านรองใหญ่ในน้ำมือของเขาก็ดูไม่ได้อยุติธรรมเกินไปนัก ทว่าเด็กคนนี้เป็นตัวปลอม ไม่มีคุณสมบัติจะแข่งขันกับเขาด้วยซ้ำ! ในที่สุดนายท่านรองใหญ่ก็เข้าใจว่าเหตุใดเห้อเหลียนเป่ยหมิงถึงไม่รีบร้อนให้ลำดับวงศ์ตระกูลแก่เขา เพราะเขาไม่ใช่แต่แรกแล้ว! แล้วแผนการที่ตนทุ่มเทเช่นนี้เพื่อสิ่งใดกัน? เป็นเพียงเรื่องตลกรึ?!
ที่น่าขันกว่านั้น คนผู้นี้ก็คือศัตรูตัวฉกาจของตนเอง!
นายท่านรองใหญ่ไม่รู้จะเกลียดตัวเองที่คิดจะจัดการเห้อเหลียนเป่ยหมิงโดยที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างแน่ชัด หรือจะเกลียดที่ตนเองไม่สามารถฆ่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงได้กันแน่!
ไอ้พวกชั่ว!
พวกเจ้า พวกเจ้า…
นายท่านรองใหญ่โกรธจนตัวสั่น ทรวงอกของเขาเริ่มเคลื่อนขึ้นลงอย่างรุนแรง จากนั้นแขนขาก็กระตุก ไม่นานจมูกกับปากก็เริ่มเบี้ยว
ข้ารับใช้ที่มีประสบการณ์ร้อง “ไม่ดีแล้ว! นายท่านรองใหญ่เส้นเลือดในสมองแตก!”
เขากำลังลำบาก แต่เยี่ยนจิ่วเฉากลับสบายอย่างยิ่ง
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินกลับไปที่เรือนอย่างผ่อนคลาย
ข่าวการลอบสังหารนายท่านรองใหญ่แพร่กระจายไปทั่วทั้งจวนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเรื่องการลอบสังหารเห้อเหลียนเป่ยหมิง ว่ากันว่ามือสังหารทั้งสองเป็นคนคนเดียวกัน เริ่มแรกมือสังหารได้ซุ่มโจมตีเห้อเหลียนเป่ยหมิงจากด้านนอกจวน จากนั้นก็แทรกซึมเข้าจวนตะวันออกเพื่อลอบสังหารเยี่ยนจิ่วเฉา นายท่านรองใหญ่รักหลานชายของเขามาก จึงรับกริชแทนเขา ทว่าอาการบาดเจ็บสาหัส และด้วยอายุที่มาก จึงเกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตก
“เอ มีดนั่นก็ไม่ได้ทำลายจุดสำคัญ ไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ที่สำคัญคือเขาเป็นโรคหลอดเลือดสมอง…โรคหลอดเลือดสมองนั้นอันตรายมาก…” นี่คือคำพูดดั้งเดิมของหมอที่จวนตะวันตกเชิญมา
นางหลี่เกือบจะร้องไห้จนเป็นลม
ยามเสียสามี นางยังไม่เศร้าใจถึงเพียงนี้
สามีของนางเป็นคนเจ้าสำราญ เขามักจะใช้เวลาทั้งวันไปกับการเด็ดดอกไม้ริมทางอยู่ข้างนอก หากเขาได้เป็นผู้นำตระกูล ผีเท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะช่วยให้อนุภรรยาคนใดขึ้นเป็นใหญ่หรือไม่ ดังนั้นนางหลี่จึงไม่ได้สนใจว่าเห้อเหลียนฉีจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่นายท่านรองใหญ่ต่างออกไป
อย่ามองว่านายท่านรองใหญ่ไม่ชอบสะใภ้คนนี้ ทว่านายท่านรองใหญ่ก็รักบุตรชายทั้งสามของนางเข้ากระดูก วันใดที่มีนายท่านรองใหญ่ วันนั้นบุตรชายของนางก็จะมีโอกาสลืมตาอ้าปาก แต่นายท่านรองใหญ่ล้มแล้ว นางหลี่รู้สึกราวกับฟ้าถล่ม
นางหลี่ไม่อาจสนใจอาการบาดเจ็บที่เอวของนางได้อีก นางไปที่เตียงของนายท่านรองใหญ่และเรียกบุตรชายที่รักทั้งสองเข้ามาในห้อง บอกให้พวกเขาอยู่ปกป้องนายท่านรองใหญ่ไม่ให้ห่าง อย่าให้นายท่านรองใหญ่เป็นอะไรไปเด็ดขาด
“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร? หากรู้แต่แรก…หากรู้แต่แรก เราคงไม่ทิ้งท่านปู่ไว้แล้วกลับมาเองแน่” เห้อเหลียนอวี่กล่าวตำหนิตัวเอง
เห้อเหลียนเฉิงกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “ต้องโทษเจ้า ข้าไม่ได้อยากไป แต่เจ้าก็ยังลากข้าไป!”
เห้อเหลียนอวี่สูดหายใจ “ในเมื่อท่านปู่สั่งแล้ว ข้าไม่ทำได้หรือ? บางทีตอนนั้นท่านปู่อาจจะรู้ว่ากำลังจะมีอันตราย ดังนั้นจึงให้พวกเราจากไป”
เห้อเหลียนเฉิงพึมพำ “แต่ท่านปู่ไม่ได้เกลียดชังเห้อเหลียนเฉาหรอกหรือ? เหตุใดท่านต้องช่วยเขา? ข้าว่าเห้อเหลียนเฉารักตัวกลัวตาย จึงวิ่งหนีไป มือสังหารไม่สามารถจับเขาได้ ดังนั้นก็เลยลอบสังหารท่านปู่แทนกระมัง?”
เห้อเหลียนอวี่กล่าวอย่างจริงจัง “ไม่ผิดแน่! เขาเป็นคนรักตัวกลัวตาย!”
ทั้งสองครุ่นคิดด้านเลวร้ายเกี่ยวกับเยี่ยนจิ่วเฉา ทว่าเรื่องเลวร้ายของเยี่ยนจิ่วเฉา พวกเขาไม่อาจจะจินตนาการได้เลย
หนีรึ? ปล่อยให้นายท่านรองใหญ่เผชิญหน้ากับนักฆ่าคนเดียว?
ไม่ใช่หรอก
เขานั่นละเป็นคนแทง
หากจะกล่าวว่าเหตุใดถึงไม่สงสัยในตัวเยี่ยนจิ่วเฉา ก็คงต้องขอบคุณอาวุธสังหารนั่น เพราะมันไม่ใช่สิ่งของของตระกูลเห้อเหลียน ยามที่นายท่านรองใหญ่ส่งคนไปลอบสังหารเห้อเหลียนเป่ยหมิง เขาคิดแล้วว่าไม่อาจให้ผู้ใดล่วงรู้ อาวุธสังหารจึงถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ นอกจากเยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋หวั่น ชุยเฒ่าและอวี๋กัง คนอื่นๆ ล้วนไม่มีผู้ใดจำได้ว่านั่นเป็นกริชที่แทงเห้อเหลียนเป่ยหมิง
เมื่ออวี๋กังไปที่จวนตะวันตกเพื่อสืบหาเบาะแส เขาก็เห็นกริช
กริชถูกคุณชายใหญ่ยึดไป และตอนนี้ก็มาอยู่ในที่เกิดเหตุลอบสังหารนายท่านรองใหญ่ กล่าวได้เพียงว่ามือสังหารหาใช่ผู้ใด แต่เป็นคุณชายใหญ่ของเขาเอง
อวี๋กังไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณชายใหญ่ถึงทำเช่นนี้ ทว่าโดยสัญชาตญาณ อวี๋กังเงียบงันและไม่เอ่ยสิ่งใด
สถานการณ์ของนายท่านรองใหญ่ไม่ดีไปกว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิง บรรดาหมอพยายามช่วยชีวิตทั้งวันทั้งคืน ว่ากันว่าอาการบาดเจ็บทรงตัวแล้ว ทว่าโรคหลอดเลือดสมองร้ายแรงเกินไป ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีโอกาสตื่นขึ้นมาอีกครั้งหรือไม่ และแม้จะตื่นขึ้นมาแล้ว ก็ไม่อาจใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป
“เช่น…เช่นนั้นกลับบ้านเกิดไหว้บรรพชนได้หรือไม่?” นางหลี่ถามหมอ
หมอใช้สายตามองนางหลี่ราวกับคนโง่ เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยออกมาเท่านั้น เขาเป็นอัมพาต! โจ๊กยังกินไม่ได้เลย เจ้ายังคาดหวังให้เขาไหว้บรรพชนอีกหรือ? ข้าว่าให้เขาไปไหว้พระเสียดีกว่า!
“ไม่ได้” หมอบอก
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ในช่วงเวลาสำคัญอย่างการไปไหว้บรรพชนที่บ้านเกิด เกือบจะเป็นโชคดีของจวนตะวันตกอยู่แล้วเชียว!
หลังจากฟังคำพูดของหมอ นางหลี่พลันตาเหลือกสลบไป
จวนตะวันออกไม่มีใครนึกถึงการไหว้บรรพชน หลังจากได้ยินว่านายท่านรองใหญ่ก็ถูกลอบสังหาร ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไปเยี่ยมเขาด้วยตนเอง และขอบคุณที่เขาช่วยหลานชายของนางไว้ พลางบอกให้เขาตั้งใจรักษาอาการป่วย ไม่ต้องกังวลเรื่องของจวนในระยะนี้ เฉาเอ๋อร์กำลังไปจับตัวมือสังหารแล้ว และต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างแน่นอน
เห้อ เหลียน เฉา จับ มือ สัง หาร?!
นายท่านรองใหญ่ที่มีแววจะฟื้นขึ้น กลับปิดตาสลบไปอีกครั้ง!
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก อย่างไรบุตรชายของนางก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ฮูหยินผู้เฒ่าสนทนากับนายท่านรองใหญ่ซึ่งอยู่ในอาการหลับใหลครู่หนึ่ง ซึ่งหัวข้อสนทนาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าอนาคตที่สดใสของตระกูล เพื่อให้รักษาอาการป่วยอย่างสบายใจ หลังจากนั้นนางก็เดินจากไป
หมอไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าไปเยี่ยมนายท่านรองใหญ่ อาการของนายท่านรองใหญ่ก็ดูไม่ค่อยดีนัก…
ฮูหยินผู้เฒ่าไปที่เรือนของเห้อเหลียนเป่ยหมิง
อวี๋หวั่นถอนหายใจ “ท่านย่า ท่านมาช้าไปก้าวเดียว ท่านลุงเพิ่งกินโจ๊กและหลับไปเมื่อครู่”
ฮูหยินผู้เฒ่าผิดหวัง “ข้าพลาดอีกแล้วหรือ?”
ไม่ใช่พลาด อันที่จริง เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่ได้ตื่นขึ้นมา
เห็ดหลินจือแดงได้ผล สีหน้าของเขาดูดีขึ้น เพียงแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาเท่านั้น วันนี้อวี๋หวั่นรู้สึกกังวล ท่านลุงคงมิได้กลายเป็นผักไปแล้วกระมัง? หากเป็นเช่นนั้นก็โหดร้ายเกินไปแล้ว
หัวใจแม่ลูกเชื่อมต่อกัน แม้ฟ้าไร้ตะเข็บ ทว่าในใจของฮูหยินผู้เฒ่ากลับเริ่มเกิดความตระหนกขึ้นรางๆ
“ย่าทวด! ย่าทวด!” เสี่ยวเป่ากอดต้นขาของฮูหยินผู้เฒ่า “ป้อนเสี่ยวเป่า!”
“เอ้อร์เป่าด้วย!” เอ้อร์เป่ากอดขาอีกข้างของฮูหยินผู้เฒ่า
ต้าเป่ากระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของฮูหยินผู้เฒ่าและกอดฮูหยินผู้เฒ่าไว้แน่น
เด็กน้อยทั้งสามเบี่ยงเบยความสนใจของฮูหยินผู้เฒ่าได้สำเร็จอีกครั้ง แต่วิธีนี้ก็คงใช้ได้เพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น ไม่อาจใช้ได้ตลอดไป
จะดีกว่าหากเห้อเหลียนเป่ยหมิงตื่นมาด้วยตัวเอง
ราตรีมืดมิด ลมพัดหวีดหวิว
เห้อเหลียนเป่ยหมิงนอนสลบไสลอยู่บนเตียง ควันยาจางๆ ลอยออกจากกล่องธูปหอม
จู่ๆ เงาร่างหนึ่งก็แวบเข้ามาในเรือนและผลักเปิดประตูออกเงียบๆ
หญิงรับใช้กะดึกหลับไปบนโต๊ะ
คนผู้นั้นสะกดจุดหลับใหลของนาง และย่องไปที่เตียงของเห้อเหลียนเป่ยหมิงอย่างเงียบๆ
เขานั่งลง จับมืออันเยือกเย็นและผอมบางของเห้อเหลียนเป่ยหมิง
ปลายนิ้วของเห้อเหลียนเป่ยหมิงเริ่มขยับ
วันรุ่งขึ้นท้องฟ้าสดใส
สิ่งแรกที่อวี๋หวั่นต้องทำหลังจากตื่นนอน คือไปดูอาการของท่านลุงที่ห้อง นี่เป็นวันที่สามแล้ว อีกไม่นานก็จะไม่อาจปิดบังฮูหยินผู้เฒ่าได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เธอก็คงต้องให้เยี่ยนจิ่วเฉาคิดวิธีหว่านล้อมให้ฮูหยินผู้เฒ่าออกจากเรือนไปสักพัก
เธอคิดไปพลาง เดินไปพลาง เมื่อเข้าไปในห้องก็เห็นเห้อเหลียนเป่ยหมิงซึ่งเดิมนอนหมดสติ นั่งอยู่ข้างเตียงอย่างกระปรี้กระเปร่า ทว่าใบหน้ายังคงซีดขาว ริมฝีปากไร้สีเลือด แต่ไหนเลยดวงตากลับสดใสเป็นประกาย
“ท่านลุงตื่นแล้วหรือ?” อวี๋หวั่นเดินมาด้วยความประหลาดใจ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงพยักหน้า เขาถือกริชไม้ไว้ในมือ กริชนั้นเล็กและเก่ามาก ดูมีอายุมานานพอตัว
“นี่อะไรหรือ ท่านลุง?” อวี๋หวั่นถามพลางมองไปที่กริช
รอยยิ้มรำลึกถึงอดีตปรากฏผ่านดวงตาของเห้อเหลียนเป่ยหมิง “กริชที่ข้าทำให้เซิงเอ๋อร์ ยามที่เขาอายุเจ็ดขวบ”
เมื่อเขาตื่นขึ้นมา กริชก็วางอยู่ข้างเตียงของเขาแล้ว
เซิงเอ๋อร์มาที่นี่
…………………………………………