หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 232 อดีตผ่านไป
สาวน้อยผู้นี้ จะไม่แทะโลมเธอสักครั้งที่พบกันได้หรือไม่? แม้ว่าจะเป็นสตรีเช่นเดียวกัน เกี้ยวพาราสีสักหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่คนบ้าของเธอเป็นเจ้านายที่ไม่ยอมให้แม้แต่ยุงตัวเมียเข้าใกล้ หากร่างกายของเธอแปดเปื้อนกลิ่นแป้งของสตรีอื่นกลับไปก็คงไม่อาจทนได้
“แค่ก” อวี๋หวั่นเอามือของต่งเซียนเอ๋อร์ออกไปอย่างแยบยล “ไม่ได้พบกันนาน แม่นางต่งสบายดีหรือ?”
“เอามือสกปรกของท่านออกไป อย่ามาแตะต้องข้า!” ต่งเซียนเอ๋อร์จ้องอวี๋หวั่น
เอ่อ…ใครเป็นคนจับก่อนกันแน่?
ต่งเซียนเอ๋อร์ยิ้มร่ามองอวี๋หวั่น ดวงตาแย้มยิ้มโค้งราวกับจันทร์เสี้ยวที่งดงาม
คำพูดหนึ่งแวบขึ้นมาในใจของอวี๋หวั่นอย่างอธิบายไม่ได้ – ก่อนหน้านี้ทำทีชื่นชอบการเห็นชายชั่วถูกตี
“ว่าไปแล้ว เหตุใดแม่นางต่งถึงมาที่วัดพิษได้?” อวี๋หวั่นรวบรวมความคิดกลับไปที่หัวข้อ
ต่งเซียนเอ๋อร์ฮึดฮัด “ท่านมาได้ ข้ามาไม่ได้รึ?”
“ได้สิ ได้แน่นอน” อวี๋หวั่นตามน้ำ
ต่งเซียนเอ๋อร์ราวกับถูกเธอทำให้เสียอารมณ์ พลันโบกพัดในมือและกล่าวว่า “ข้ามาหาคนที่วัดพิษ แต่เพื่อช่วยท่าน ข้าก็เลยพลาดเวลาที่นัดหมายกับเขา ท่านพูดมา จะชดใช้ข้าอย่างไร?”
“อา เรื่องนี้…” อวี๋หวั่นไม่รู้จะทำอย่างไร
ต่งเซียนเอ๋อร์กุมท้องหัวเราะฮ่าๆๆ
อวี๋หวั่นมองเธออย่างว่างเปล่า ตลกมากเลยหรือ? เรื่องแค่นี้ เส้นตื้นเกินไปหรือไม่?
ต่งเซียนเอ๋อร์หัวเราะจนน้ำตาไหล นางยกมือขึ้นเช็ดและหยุดเสียงหัวเราะ “โง่นัก!”
“…” โง่ก็โง่ เจ้ามีความสุขก็นับว่าดี
โดยพื้นฐานแล้ว อวี๋หวั่นไม่ได้ชอบคนพูดเร็ว แต่อีกฝ่ายไม่มีความคิดมุ่งร้าย อย่างน้อยก็เห็นจากการติดต่อไม่กี่ครั้งที่ผ่านมา
นางจะมีนัดจริงๆ หรือไม่ อวี๋หวั่นไม่รู้ แต่ที่นางช่วยเธอไว้เป็นความจริง ดังนั้นหากนางรักที่จะล้อเลียนก็ให้ล้อเลียนแล้วกัน อย่างไรก็ไม่ได้เสียหายอะไร
ต่งเซียนเอ๋อร์ยิ้มพลางมองอวี๋หวั่น “ข้าทำให้ท่านโกรธเสมอเลย ท่านคงเกลียดข้ามากใช่หรือไม่?”
อวี๋หวั่นผู้ซึ่งมีจิตใจเข้มแข็งจากการถูกทำให้หงุดหงิดกับจอมประสาทมานาน กล่าวอย่างใจเย็น “เกรงว่าท่านจะเข้าใจผิดบางอย่างเกี่ยวกับการทำให้คนโกรธ”
มีคนที่ชวนให้โมโหอยู่ในบ้าน ทักษะเจ้าเพียงเท่านี้ไม่อาจเทียบได้เลย
ต่งเซียนเอ๋อร์รู้สึกขบขันกับท่าทางจริงจังของอวี๋หวั่นอีกครั้ง พลันหัวเราะตัวโยนเดินหน้าถอยหลัง จับไม้ไผ่ไว้ ไม่สามารถหยุดหัวเราะได้
อวี๋หวั่นสงสัยว่านางไม่เคยหัวเราะมาก่อนในชีวิต
ไม่รู้ว่านางหัวเราะมานานเพียงใด อวี๋หวั่นไม่ได้นับเวลา
ในที่สุดนางก็หัวเราะจนพอ พลันยิ้มให้อวี๋หวั่น “ถึงเวลาที่ข้าจะถามท่านแล้ว ท่านมาทำอะไรที่นี่อีก?”
“ข้า…”
อวี๋หวั่นยังไม่ทันตอบ รอยยิ้มของต่งเซียนเอ๋อร์ก็จางหายไป “ข้าแนะนำว่าท่านอย่าได้โกหกข้า ราชครูยังไม่ได้ไปจากวัดพิษ ข้าสามารถส่งท่านไปได้ทุกเมื่อ”
อวี๋หวั่นมองนางอย่างขมขื่น นางไม่น่ารักอีกแล้ว
“ว่ามาสิ” ต่งเซียนเอ๋อร์กอดอก
อวี๋หวั่นถอนหายใจและบอกความจริงเพียงครึ่งหนึ่ง “ข้ามาเพื่อตรวจสอบคดี ในปีนั้นตระกูลเห้อเหลียนมีคดีที่ยังไม่สิ้นสุด เมื่อได้ยินเรื่องนี้ข้าก็อยากรู้ จึงมาที่นี่เพื่อหาข่าว”
ต่งเซียนเอ๋อร์มองเธอขึ้นลง “ความสัมพันธ์ของท่านกับตระกูลเห้อเหลียนเป็นอย่างไร?”
อวี๋หวั่นใช้มือที่ถือพัดยกคำนับ “เรื่องนี้ ขออภัยที่ข้ายังไม่สะดวกบอก”
ต่งเซียนเอ๋อร์โบกมือ “เอาละ ท่านไม่อยากบอก ข้าก็ไม่ถนัดบีบบังคับคน แต่ปัญหาคือท่านบอกว่าคุณชายใหญ่ของตระกูลเห้อเหลียนถูกไล่ออกจากบ้านหรือ?”
“แม่นางต่งก็ได้ยินเรื่องนี้ด้วยหรือ?” อวี๋หวั่นประหลาดใจ
ต่งเซียนเอ๋อร์หัวเราะกับตัวเอง “เหตุการณ์นี้โกลาหลไปทั้งเมือง มีผู้ใดในเมืองหลวงไม่รู้หรือ? ว่ากันว่าคุณชายใหญ่ของตระกูลเห้อเหลียนได้ฆ่าสามัญชน หลังจากนั้นก็ยังไม่กลับใจ ทั้งยังขู่ว่าจะทำลายทั้งตระกูล จวนตะวันออกจึงทนไม่ได้ และขับไล่บุตรชายอกตัญญูผู้นี้ออกไป”
อวี๋หวั่นมองต่งเซียนเอ๋อร์อย่างครุ่นคิด “เมื่อฟังน้ำเสียงของแม่นางต่ง ดูเหมือนว่าจะไม่เชื่อเรื่องนี้”
“แน่นอนว่าไม่เชื่อ ท่านละเชื่อหรือไม่?”
“หากข้าเชื่อ ก็คงไม่มาหาข่าวถึงที่นี่”
ต่งเซียนเอ๋อร์มองไปยังทิศของอาราม “ท่านมาถามคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นหรือ?”
เมื่อเห็นสีหน้านางดูไม่เห็นด้วย อวี๋หวั่นจึงกล่าวว่า “ทำไมหรือ? ถามไม่ได้รึ?”
ต่งเซียนเอ๋อร์กล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ไม่ถามจะดีกว่า”
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ต่งเซียนเอ๋อร์ชี้ไปที่แม่ชีบนเนินเขาพร้อมกับโบกพัด “ท่านคิดว่านางอาศัยอยู่ในสำนักแม่ชีคนเดียวหรือ? หากข้าเป็นท่าน ข้าจะไม่ไปสร้างความรำคาญที่นั่นเด็ดขาด”
กล่าวเช่นนี้ นางถานถูกคนจับตามองมาตลอดหลายปีหรือ?
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไม่ง่ายดาย
ต่งเซียนเอ๋อร์ยิ้ม “อันที่จริงเรื่องนี้ข้าก็พอรู้มาบ้าง ท่านถามข้าก็ได้ เห็นแก่ความน่ารักของท่าน ข้าจะบอกท่านทุกอย่าง”
อวี๋หวั่นไม่ได้ถามว่านางรู้ได้อย่างไร ต่งเซียนเอ๋อร์มีความสามารถของตัวเอง นางไม่ใช่หญิงคณิกาธรรมดาๆ อวี๋หวั่นจึงถามนาง “เห้อเหลียนเซิง…เป็นเลือดเนื้อของแม่ทัพใหญ่เห้อเหลียนเป่ยหมิงหรือไม่?”
“ใช่” ต่งเซียนเอ๋อร์กล่าว “ในตอนนั้นนางถานถูกคนใส่ความ มีชายแปลกหน้ามาที่บ้าน โดยอ้างว่านางถานเคยสัญญาว่าจะเป็นผู้หญิงของเขาตลอดชีวิต ทั้งยังยืนยันอีกว่านางถานหลับนอนกับเขาสองสามคืนก่อนวันแต่งงาน เห้อเหลียนเซิงเป็นบุตรของเขากับนางถาน”
อวี๋หวั่นชะงัก “ขอกล่าวตามตรง แม้ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากับนางถานจริง แต่หลังจากนั้นไม่นาน นางถานก็แต่งงานเข้าตระกูลเห้อเหลียน นางกับแม่ทัพใหญ่เห้อเหลียนก็ได้กลายเป็นคู่สามีภรรยาตัวจริง บุรุษผู้นั้นจะสรุปได้อย่างไรว่าเห้อเหลียนเซิงต้องเป็นบุตรของเขา ไม่ใช่ของเห้อเหลียนเป่ยหมิง?”
“นี่ก็คือปัญหา” ต่งเซียนเอ๋อร์มองอวี๋หวั่นเละกล่าวว่า “นางถานยอมรับกับเห้อเหลียนเป่ยหมิงเป็นการส่วนตัว ว่าหลับนอนกับเขา นางได้ดื่มยาห้ามครรภ์ถ้วยหนึ่ง ดังนั้นเด็กจึงไม่สามารถเป็นบุตรของเห้อเหลียนเป่ยหมิงได้”
อวี๋หวั่นสงสัย “นางถานไม่ได้บอกหรือว่าเหตุใดถึงทำเช่นนั้น?”
ต่งเซียนเอ๋อร์มองอารามและกล่าวว่า “นางบอกว่า นางไม่เคยชื่นชอบเห้อเหลียนเป่ยหมิง นางมีความรักกับบุรุษผู้หนึ่ง ทว่าตระกูลเห้อเหลียนใช้อำนาจบีบบังคับ บิดามารดาของนางไม่อาจรับโทษ นางจึงยอมแต่งงาน ในอดีตนางเคยวางแผนที่จะหลบหนี ทว่าถูกคนในครอบครัวจับกลับมา คนที่นางเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือเห้อเหลียนเป่ยหมิง และผู้ใหญ่ที่นางเกลียดที่สุดก็คือฮูหยินผู้เฒ่า นางอยู่กับครอบครัวเห้อเหลียนอย่างทุกข์ทรมานทุกวัน ทำได้เพียงฝืนยิ้ม จนแผนร้ายได้แดงขึ้น นางจึงรู้สึกว่าในที่สุดก็เป็นอิสระแล้ว”
“…ข้าไม่เชื่อ” อวี๋หวั่นกล่าว
ต่งเซียนเอ๋อร์ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลับมามีสีหน้าปกติ “ใช่ หากท่านเชื่อ ก็คงไม่มาที่นี่”
“ท่านเชื่อหรือไม่?” อวี๋หวั่นถาม
“ข้าเชื่อหรือไม่สำคัญหรือ?” ต่งเซียนเอ๋อร์เอ่ยพลางหลับตา
ไม่ว่าคิดไปเองหรือไม่ อวี๋หวั่นก็รู้สึกถึงความเปลี่ยวเหงาจากนาง
แต่มันแปลกมากมิใช่หรือ? นางไม่ใช่คนจากตระกูลเห้อเหลียน จะกังวลเกี่ยวกับตระกูลเห้อเหลียนได้อย่างไร?
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ขอบคุณแม่นางต่งที่บอกเรื่องนี้”
ต่งเซียนเอ๋อร์เอียงศีรษะมองเธอ “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะเล่าเรื่องไร้สาระโกหกท่านหรือ?”
อวี๋หวั่นตะลึง “อา ท่านทำหรือ?”
“ฮ่าๆๆๆๆ…” ต่งเซียนเอ๋อร์ขบขันท่าทีตกตะลึงของอวี๋หวั่นอีกครั้ง นางมักจะขบขันกับสามีตัวน้อยคนนี้ นางก็ไม่รู้เพราะเหตุใด ถึงมีความสุขเพียงนี้ คล้ายกับเมฆดำในใจได้สลายหายไปหมด
“ข้าไม่ทำหรอก” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ไม่ทำ”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “เช่นนั้นเรื่องอื่นก็อาจจะทำ?”
ต่งเซียนเอ๋อร์ยิ้มให้กับเธอ “แต่งงานกับข้าสิ แล้วข้าจะไม่มีความลับใดๆ ต่อท่านเลย”
อวี๋หวั่นลูบจมูก “เช่นนั้นท่านยังมีความลับกับข้าเถอะ”
ใบหน้าของต่งเซียนเอ๋อร์งองุ้ม เอ่ยฮึดฮัด “เจ้าโง่!”
ต่งเซียนเอ๋อร์จากไปด้วยความโกรธ
อวี๋หวั่นครุ่นคิด วันนี้เอาเปรียบนางมาไม่น้อย นางช่วยเธอออกจากวงล้อมของราชครู แล้วยังช่วยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะถูกเปิดโปงในอารามแม่ชี ข้อมูลสำคัญที่ต้องการก็ได้มาแล้ว ควรจะขอบคุณนางอย่างดี แต่กลับทำให้นางโกรธจนเดินหนีไป
อวี๋หวั่นใช้พัดตบหน้าผากตัวเอง “เฮ้อ แย่จริงๆ แย่จริงๆ”
อวี๋หวั่นไม่ใช่คนที่เชื่อคำพูดของทุกคน แต่ลางสังหรณ์บอกเธอว่าต่งเซียนเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก
นางถานถูกจับตาในสำนักแม่ชี หากเป็นเช่นนี้ ‘คนทรยศ’ ในตอนนั้นก็ยังไม่เป็นอิสระ นางถานมีความลำบากของตัวเอง
บางทีอาจเป็นเพราะท่านแม่ของเธอ อวี๋หวั่นเต็มใจที่จะเชื่อว่าสิ่งที่นางถานทำไม่ใช่เพื่อตัวเองมากขึ้น
“เพื่อเห้อเหลียนเซิงหรือ?”
เพื่อปกป้องบุตรชาย อะไรที่อันตรายต่อชีวิตหรือชื่อเสียง มารดาย่อมทำได้ทุกอย่าง
การขับไล่เห้อเหลียนเซิงออกจากบ้านสกุลเห้อเหลียน เพราะบ้านสกุลเห้อเหลียนไม่ปลอดภัยเพียงพอสำหรับเขา
อวี๋หวั่นนึกถึงนายท่านรองใหญ่ผู้ร้ายกาจแห่งจวนตะวันตก
เขาข่มขู่นางถานหรือเปล่า?
ชายชรามากพิษเช่นนี้ ไม่อาจรับรองได้ว่าเรื่องที่เห้อเหลียนเป่ยอวี้ตกจากหน้าผามีเขาอยู่เบื้องหลังหรือไม่
เขาฆ่าน้องชายของเห้อเหลียนเป่ยหมิง และมาทำร้ายบุตรชายของเห้อเหลียนเป่ยหมิง เมื่อบ้านใหญ่ไร้ทายาทที่เหมาะสม จวนตะวันตกก็จะสามารถสืบทอดตระกูลเห้อเหลียนทั้งหมดได้
คิดคำนวนทุกอย่างให้ตนเองได้ประโยชน์สูงสุด แต่กลับไม่คาดคิดว่าบุตรชายของเขาจะมาตายด้วยน้ำมือของเยี่ยนจิ่วเฉา ยิ่งคาดไม่ถึงว่าตัวเขาเองจะมาย่อยยับลงในมือของเยี่ยนจิ่วเฉากระมัง?
นี่เรียกว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่ใช่ไม่ชดใช้ ทว่ายังไม่ถึงเวลาเท่านั้น!
รถม้ากลับมาถึงจวนเห้อเหลียน
อวี๋หวั่นกลับไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า เดินไปได้เพียงแค่ครึ่งทาง อวี๋กังก็เดินมาด้วยความเร่งรีบ สีหน้ายากจะอธิบายได้ “ท่านแม่ทัพใหญ่ตื่นแล้ว เขาต้องการพบท่านขอรับ”
…………………………………………