หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 233 พบเจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์อีกครั้ง
อวี๋หวั่นมองเขาด้วยความประหลาดใจ “สีหน้าของเจ้าดูไม่ปกติ มีเรื่องอะไรหรือ? ท่านลุงทราบเรื่องของนายท่านรองใหญ่แล้วหรือ?”
อวี๋กังส่ายหัว
อวี๋หวั่นคิดอยู่พักหนึ่ง “จิ้งจอกหิมะป่วยหรือ?”
อวี๋กังส่ายหัวอีกครั้ง
อวี๋หวั่นเลิกคิ้วเบิกตา “เช่นนั้นเพราะอะไร?”
อวี๋กังถอนหายใจ “ไอ้หยา คุณหนูใหญ่เข้าไปดูด้วยตัวเองเถิดขอรับ”
ในความเป็นจริงเรื่องเช่นนี้ ตามคุณชายใหญ่จะปกติสมเหตุสมผลมากกว่า ทว่าอวี๋กังไม่อาจเข้ากับนิสัยของคุณชายใหญ่ได้ และหากคุณชายใหญ่ทำตัวเป็นจอมปีศาจขึ้นมาก็รู้สึกว่าจะควบคุมไม่ได้
ทั้งสองคุยกันพลางเดินเข้าไปที่เรือนของเห้อเหลียนเป่ยหมิง
อวี๋กังเดินไปที่ระเบียงทางเดินและหยุดลง จากนั้นทำมือเชื้อเชิญอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นสูดหายใจก้าวเข้าไปในห้องราวกับเห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ!
อาการปัจจุบันของเห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่เหมาะแก่การพบแขก แต่กลับมีบุรุษแปลกหน้านั่งอยู่หน้าเตียงของเขา
บุรุษผู้นี้อายุราวๆ ยี่สิบ มีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ผิวแทน รูปร่างสูงใหญ่กำยำ หัวจรดเท้าเผยกลิ่นอายทวนทองอาชาเหล็ก[1] ใบหน้าของเขาคล้ายคลึงกับสองพี่น้องเห้อเหลียนที่อวี๋หวั่นเคยพบเจอมาก่อน อวี๋หวั่นพอจะเดาตัวตนของเขาออก เขาก็คือหลานชายคนโตของจวนตะวันตก เห้อเหลียนเฟิง
เห้อเหลียนเฟิงประจำการอยู่ที่ซีเฉิงมิใช่หรือ? เหตุใดถึงกลับเมืองหลวงมากะทันหันเช่นนี้?
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเอนหลังพิงเบาะหนาอยู่บนเตียง ใบหน้าที่มีสีเลือดขึ้นมาอย่างยากลำบาก ได้กลายเป็นสีขาวซีดอีกครั้งเพราะต้อนรับแขก
อวี๋หวั่นรู้สึกปวดใจกับท่านลุงที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใดๆ ผู้นี้ และก็เป็นทุกข์กับเห็ดหลินจือแดงที่เยี่ยนจิ่วเฉามอบให้ วัตถุดิบยาพิเศษก็ยังไม่อาจต้านทานความพลิกผันไปมาเช่นนี้ได้
“ท่านลุง” อวี๋หวั่นเดินเข้ามาในห้อง
บุรุษทั้งสองที่อยู่ในห้องหันมองเธอตามๆ กัน
อวี๋หวั่นเปลี่ยนกลับมาสวมเสื้อผ้าของสตรีจากด้านในรถม้าแล้ว ยามนี้เธอสวมชุดกระโปรงยาวรัดเอวสีน้ำเงินทะเลสาบที่ไม่นับว่าหรูหราทว่าสุภาพดูดี พร้อมกับเสื้อคลุมผ้าโปร่งสีขาว ดูนุ่มนวลงดงาม ให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็น หากไม่ใช่เพราะมวยผมสตรีที่มีครอบครัว ผู้คนก็คงคิดว่าเธอเป็นดรุณีน้อยที่ยังไม่แต่งงาน
เมื่อสายตาของเห้อเหลียนเฟิงตกกระทบตัวเธอ ดวงตาพลันฉายความประหลาดใจ
ดวงตาของเห้อเหลียนเป่ยหมิงอ่อนลงโดยที่เขาก็ไม่ทันสังเกต “อาหวั่นมาแล้ว นี่คือน้องรองของเจ้า เห้อเหลียนเฟิง เฟิงเอ๋อร์นี่คือพี่สะใภ้ของเจ้า”
ในแง่อายุ อวี๋หวั่นอ่อนกว่าเห้อเหลียนเฟิงถึงสองสามปี คำเรียกนี้นับเป็นการเรียกตามเยี่ยนจิ่วเฉา
อวี๋หวั่นกล่าวทักทายเห้อเหลียนเฟิง “น้องรอง”
เห้อเหลียนเฟิงลุกขึ้นคำนับอวี๋หวั่น “พี่สะใภ้”
“มานั่งเถิด” เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว
อวี๋หวั่นนั่งเก้าอี้ตัวเล็กอีกตัวซึ่งวางอยู่ข้างเตียง โดยไม่รีบกล่าวทักทายเห้อเหลียนเฟิง หากแต่หันไปเอ่ยกับเห้อเหลียนเป่ยหมิงก่อน “ท่านลุงรู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“ดีขึ้นมากแล้วละ” เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว
ดีขึ้นมากก็แปลกแล้ว ใบหน้าขาวซีดถึงเพียงนี้ เมื่อคิดเช่นนี้ อวี๋หวั่นก็อดไม่ได้ที่จะส่งสายตาเชือดเฉือนให้เห้อเหลียนเฟิง ไม่เห็นรึว่าเขาป่วยจนเป็นเช่นนี้แล้ว? ยังให้มานั่งต้อนรับเขาอีก ไม่รู้จักละอายใจ!
“อะแฮ่ม!” เห้อเหลียนเฟิงกระแอมในลำคอแก้ความอึดอัด
อวี๋หวั่นถาม “ไม่ทราบว่าน้องรองมาถึงจวนเมื่อใดหรือ?”
เห้อเหลียนเฟิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าเพิ่งมาถึงวันนี้ ได้ยินว่าลุงใหญ่ได้รับบาดเจ็บ ข้าก็เลยมาดูลุงใหญ่”
อวี๋หวั่นยิ้มจางๆ “ทำให้น้องรองไม่สบายใจแล้ว น้องรองได้พบฮูหยินผู้เฒ่าแล้วหรือ?”
“กำลังจะไปพอดี” เห้อเหลียนเฟิงกล่าว
อวี๋หวั่นยิ้ม “ข้าก็อยากไปทักทายฮูหยินผู้เฒ่าพอดี เราไปพร้อมกันเถิด ให้ท่านลุงได้พักผ่อนสักหน่อย”
เห้อเหลียนเฟิงลังเลจะเอ่ย
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเอ่ยกับอวี๋หวั่น “ข้ากับเฟิงเอ๋อร์กำลังพูดถึงการไหว้บรรพชน”
“ไหว้บรรพชน?” อวี๋หวั่นชะงัก
อวี๋หวั่นเพิ่งมาอยู่ที่จวนเห้อเหลียนได้ไม่นาน จึงไม่ทราบว่าครอบครัวเห้อเหลียนมีกฎไหว้บรรพชนเช่นกัน ที่หมู่บ้านเหลียนฮวา สุสานของชาวบ้านจะตั้งอยู่ด้านหลังเนินเขา ในช่วงเทศกาลหรือปีใหม่ จะไปรำลึกถึงบรรพชน จุดธูปหน้าหลุมฝังศพ แต่ไม่เคยพูดถึงการไหว้บรรพชน หลังจากแต่งงานเข้าจวนคุณชาย บรรพบุรุษของพวกเขาถูกฝังอยู่ในสุสานจักรพรรดิ นั่นยิ่งทำให้เธอไม่ต้องคิดถึงมันอีก
ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ อวี๋หวั่นจึงรู้สึกแปลกใหม่
การเซ่นไหว้บรรพบุรุษถูกจัดการโดยผู้อาวุโสในครอบครัว ไม่จำเป็นต้องให้จวนแม่ทัพใหญ่เทพเสียแรงคิด ด้วยเหตุนี้ เห้อเหลียนเป่ยหมิงซึ่งทำได้เพียงชี้นิ้วสั่งจึงไม่ได้คิดเรื่องนี้ในทันที
ปีก่อนๆ คนในครอบครัวต้องไปทั้งหมด เห้อเหลียนเป่ยหมิงขึ้นไปจุดธูปคนแรก ยามที่เห้อเหลียนเซิงยังเป็นคุณชายใหญ่ของจวน เขาเป็นคนขึ้นจุดธูปคนที่สอง หลังจากเขาถูกไล่ออกจากบ้าน ก็มีเห้อเหลียนฉีเข้ามาแทนที่
ยามนี้เห้อเหลียนฉีไม่อยู่แล้ว แผนเดิมคือให้เห้อเหลียนเฟิงขึ้นแทน
ทว่าหลังจากเห้อเหลียนเป่ยหมิงถูกลอบสังหาร แผนการนี้ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เห้อเหลียนเป่ยหมิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่เหมาะจะเดินทาง เขาไม่สามารถไปได้
“ให้อารองไปขึ้นจุดธูปคนแรก เจ้าก็ตามอารองไป ส่วนเฉาเอ๋อร์ให้อยู่จวนกับข้า” เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว
นายท่านรองใหญ่แห่งจวนตะวันตกขึ้นจุดธูปคนแรก เห้อเหลียนเฟิงเป็นคนที่สอง เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ใช่คุณชายใหญ่ตัวจริง โดยปกติแล้วจึงไม่อาจขึ้นไปจุดธูปได้ แม้ว่าเขาจะอยากไป ทว่าหากไม่ได้ขึ้นลำดับวงศ์ตระกูล ก็ไม่อาจไปศาลบรรพชนได้
อวี๋หวั่นรู้สึกไม่พอใจ ไม่ว่าจะโง่เพียงใดก็ยังฟังออกว่าธูปแรกธูปรองหมายความว่าอย่างไร นี่มิใช่สิ่งที่ผู้นำตระกูลกับผู้สืบทอดตระกูลจะมีสิทธิ์ทำได้เท่านั้นหรือ? จวนตะวันออกหาใช่ไร้ผู้สืบทอดจริงๆ เสียหน่อย เหตุใดต้องยกให้จวนตะวันตก?
“ท่านปู่ของข้า เขา…ได้รับบาดเจ็บ ไปไม่ได้แล้ว” เห้อเหลียนเฟิงกล่าวอย่างโศกเศร้า
เห้อเหลียนเป่ยหมิงผงะ “อารองได้รับบาดเจ็บ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
อวี๋หวั่นอยากจะทุบคนผู้นี้ให้ตายเสียจริง!
เรื่องที่พยายามปกปิดมาอย่างยากลำบาก กลับถูกเขาทำพังทลายลงอย่างง่ายดาย
เห้อเหลียนเฟิงประหลาดใจ “ท่านลุงไม่ทราบหรือ? มีนักฆ่าแฝงตัวเข้ามาในจวนหมายจะทำร้ายพี่ใหญ่ และทำให้ท่านปู่บาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ”
แววตาของเห้อเหลียนเป่ยหมิงมืดหม่น “อวี๋กัง”
อวี๋กังดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย “ข้าอยากบอก ทว่ามิใช่เพราะไม่มีโอกาสหรือ? ทุกครั้งท่านตื่นขึ้นมาเพียงครู่หนึ่งแล้วก็หลับไปอีก”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงมองอวี๋กังอย่างเย็นชา พลันหันศีรษะและถอนหายใจ “ดำเนินตามกฎเถิด”
ตามกฎแล้ว คนที่จะขึ้นไปจุดธูปก็ควรเป็นเห้อเหลียนเฟิง
เห้อเหลียนเฟิงลังเล “แล้วพี่ใหญ่…”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว “พี่ใหญ่ของเจ้าสุขภาพไม่ดี ไม่สะดวกต่อการเดินทาง อีกอย่างเขาก็เพิ่งกลับมา จึงขึ้นลำดับวงศ์ตระกูลไม่ทัน”
“ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว” เห้อเหลียนเฟิงคำนับมือไปทางเขา ก่อนจะสนทนาอีกสองสามประโยค และหมุนตัวออกจากเรือนไป
เมื่อไม่มีคนนอก สีหน้าของเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็หม่นหมอง เขามองไปที่อวี๋หวั่นและอวี๋กังที่จงใจปกปิดเขาอย่างเห็นได้ชัด “บอกข้ามาตามตรง เหตุใดถึงมีนักฆ่ามาที่จวนได้”
จากการคุ้มกันของจวนเห้อเหลียน จะปล่อยให้นักฆ่าเข้ามาได้ง่ายดายเช่นนั้นเชียวหรือ? ทั้งยังแทงนายท่านรองใหญ่แห่งจวนตะวันตก? องครักษ์ไปทำสิ่งใดอยู่? ตายกันหมดแล้วรึ?
อวี๋กังเหงื่อตก “คือว่ามีมือสังหารมาที่นี่…เป็นมือสังหารกลุ่มเดียวกับชายที่ลอบสังหารท่าน แต่มันต้องการจับตัวคุณชายใหญ่เพื่อข่มขู่ท่าน นายท่านรองใหญ่อยู่ที่นั่นด้วย ก็เลย…เลยได้รับบาดเจ็บ…”
เรื่องราวที่แพร่กันในจวน คือนายท่านรองใหญ่รับกริชแทนเยี่ยนจิ่วเฉา ทว่าเมื่อเห้อเหลียนเฟิงไม่ได้กล่าวอย่างนั้น อวี๋กังจึงไม่ได้กล่าวแบบนั้นเหมือนกัน
เห้อเหลียนเป่ยหมิงส่งสายตาคมดั่งมีด อวี๋กังกลัวจนแทบอยากจะวิ่งหนีไปจากห้อง
อวี๋หวั่นรีบบอกปัด “ท่านลุงไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้ พวกเราจัดการได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ คือรักษาอาการบาดเจ็บของท่านให้หายโดยเร็วที่สุด แล้วก็เรื่องพิธีไหว้บรรพชน ท่านไตร่ตรองดูอีกครั้งดีหรือไม่?”
“ไตร่ตรองอันใด?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงถาม
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ก็ให้คนจากจวนตะวันออกขึ้นไปจุดธูปอย่างไรละ!” เหตุใดถึงยอมอ่อนข้อให้ไอ้พวกสารเลวแห่งจวนตะวันตกนั่น! ! !
ไม่ใช่ว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่ต้องการให้สิทธิในมรดกของตระกูลเห้อเหลียนอยู่กับบ้านใหญ่ต่อไป ทว่าสถานการณ์เกินรับมือ เขาทอดถอนใจ “ข้าไปไม่ได้ เฉาเอ๋อร์ก็ไปไม่ได้”
เห้อเหลียนเซิงที่ถูกขับออกจากบ้านยิ่งไปไม่ได้
หลังจากเห้อเหลียนเฟิงออกจากเรือน เขาก็ไปคำนับฮูหยินผู้เฒ่าที่สวนอู๋ถงก่อนจะกลับไปเยี่ยมนายท่านรองใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่จวนตะวันตก
นายท่านรองใหญ่เป็นอัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมอง ไม่เพียงแต่พูดไม่ได้ เขียนไม่ได้ แม้แต่การหายใจก็ยังกังวลว่าจะเกิดสำลักในลำคอ ชีวิตครึ่งหนึ่งของเขาถูกทำลายด้วยน้ำมือของเยี่ยนจิ่วเฉาไปแล้ว เขาเกลียด เยี่ยนจิ่วเฉา และเกลียดเห้อเหลียนเป่ยหมิงที่นำหมาป่าอย่างเยี่ยนจิ่วเฉาเข้ามาในบ้าน
“ท่านปู่ เมื่อครู่ข้าไปหาท่านลุงมา ท่านลุงให้ข้าขึ้นจุดธูป ส่วนธูปที่สอง ข้าอยากให้เป็นอวี่เอ๋อร์”
หลังจากได้ยินคำพูดของหลานชายคนโต ดวงตาหมองมัวของนายท่านรองใหญ่ก็เกิดประกายแสงสว่างที่หายไปเนิ่นนาน
ฮ่า รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้! รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้! เขาไม่อาจไปจุดธูปแล้วอย่างไร? มิใช่ต้องถึงคราวหลานชายของเขาหรือ?
ผู้นำตระกูลเป็นของจวนตะวันตก!
ตระกูลเห้อเหลียนทั้งหมดเป็นของจวนตะวันตก!
เมื่อหลานชายที่รักของเขากลายเป็นผู้นำตระกูล เขาจะใช้หน่วยกล้าตายทั้งหมดที่มีในตระกูลเห้อเหลียน ขับไล่คนของจวนตะวันออกไปให้สิ้น! เขายังอยากหยิกเยี่ยนจิ่วเฉาให้ตาย! หยิกให้ตาย! หยิกให้ตาย! หยิกให้ตาย!
ไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางหลานชายของเขาจากการสืบทอดตระกูลเห้อเหลียนได้!
เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ทำไม่ได้!
เว้นเสียแต่ว่าเด็กที่ตกหน้าผานั่นจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
แต่นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? เด็กนั่นตายไปแล้ว! ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ฮ่าๆๆๆๆ! ตระกูลเห้อเหลียนเป็นของเขา!
คืนมืดลมแรงรถม้าคันหนึ่งมาหยุดอยู่ด้านนอกจวนที่ดูโอ่อ่าหรูหรา
สารถีรถม้าที่ได้รับการว่าจ้างกล่าวว่า “นายท่าน ฮูหยิน ถึงแล้ว”
เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ที่อ่อนแออ้าปากหาว
อวี๋เซ่าชิงพยุงนางลงจากรถม้าอย่างช้าๆ
…………………………………………
[1] ทวนทองอาชาเหล็ก เป็นสำนวนเปรียบเปรยถึงท่วงท่าแห่งวีรบุรุษของเหล่านักรบที่ขี่ม้าควงทวนอยู่ในสงคราม