หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 243 จุดจบ
อวี๋กังชะงักไป “คุณชายใหญ่หมายความว่าอย่างไรขอรับ”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ตอบ และเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมา
“ฮูหยินน้อย…” อวี๋กังมองอวี๋หวั่นด้วยท่าทางสับสน หมายให้อวี๋หวั่นตอบคำถามของเขา
อวี๋หวั่นยักไหล่ “ไม่ต้องมองข้า”
ความคิดของผู้ชายคนนั้น เธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ
หลังจากที่สองสามีภรรยาเดินจากไป อวี๋กังยังคงยืนอยู่ที่เดิม ชัดเจนอยู่ว่าคำพูดของคุณชายใหญ่หมายความว่าฮูหยินเป็นคนทำร้ายท่านแม่ทัพใหญ่ แต่ฮูหยินจะทำเรื่องนั้นได้อย่างไรกัน? ฮูหยินและท่านแม่ทัพใหญ่เป็นสามีภรรยากัน ถึงแม้ว่า…เรื่องสวมเขานั้นเขาจะยังเคลือบแคลงใจอยู่ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสงสัยในความรู้สึกระหว่างทั้งสองมาก่อนเลย
ส่วนแม่ทัพใหญ่จะคิดอย่างไรนั้น เขาเองก็ไม่อาจรู้ได้
“เป็นปัญหาที่ชวนปวดหัวเหลือเกิน” อวี๋กังเกาศีรษะแกร็กๆ และตัดสินใจว่าจะไม่นำคำพูดของคุณชายใหญ่ไปบอกท่านแม่ทัพใหญ่ รอให้ความจริงเปิดเผยค่อยว่ากันอีกที
บางทีแม้แต่อวี๋กังก็อาจไม่ทันได้สังเกตว่าตัวเขาผู้ซึ่งสาบานว่าจะภักดีต่อเห้อเหลียนเป่ยหมิงแต่เพียงผู้เดียว บัดนี้ก็เริ่มจะเชื่อใจเยี่ยนจิ่วเฉาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เรื่องทั้งหมดนี้ เยี่ยนจิ่วเฉาไม่รู้
เขาบอกเล่าสิ่งที่ตนเองคิดแก่อวี๋กัง ไม่ใช่เพราะเชื่อว่าอวี๋กังเก็บความลับได้ แต่เป็นเพราะเรื่องทั้งหมดดำเนินมาถึงตอนนี้ จะเก็บเป็นความลับหรือไม่เก็บเป็นความลับก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาสามารถรับมือได้ก็เพียงพอแล้ว
“เยี่ยนจิ่วเฉา” อวี๋หวั่นตามสามีของตนไป แล้วดึงข้อมือเย็นเฉียบของเขาเอาไว้
เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบมองเธอ “อวี๋อาหวั่น เจ้าติดใจหรือ?”
อวี๋หวั่น “…”
ท่านเป็นสามีข้า จับมือแล้วอย่างไร? ท่านหอมหัวแมวทั้งวันทั้งคืนทำไมไม่บอกว่าติดใจบ้างละ?
ท่านทำได้คนเดียว แล้วคนอื่นทำไม่ได้หรืออย่างไร?!
“ติดใจแล้วอย่างไร? ข้าไม่ปล่อยมือด้วย!” อวี๋หวั่นกอดแขนเขาเอาไว้แน่น
“โง่งม” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดเสียงเล็ดลอดไรฟัน แล้วเดินถืออวี๋หวั่นซึ่งห้อยต่อยแต่งกลับห้องไปอย่างสบายอารมณ์
หลังจากนี้ก็ต้องจัดการกับจวนตะวันตก พ่อบ้านสารภาพความผิดของนายท่านรองใหญ่มาหมดเปลือก เดิมทีนางหลี่ เห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิงยังไม่ยอมรับ คิดว่าจวนตะวันออกทรมานเขาจนต้องยอมรับสารภาพ ตราบจนองครักษ์ของนายท่านรองใหญ่ทยอยสารภาพออกมาทีละคนๆ นางหลี่และลูกๆ จึงเข้าใจแล้วว่านายท่านรองใหญ่ได้ทำความผิดซึ่งมีโทษสถานหนัก เรื่องค่ายหน่วยกล้าตายนั้นเห้อเหลียนเป่ยหมิงยังไม่ได้บอกกับนางหลี่ เพียงแต่เรียกเห้อเหลียนเฟิงเข้าไปหา
“เจ้าเป็นหลานชายคนโตของท่านอารอง มีเรื่องบางเรื่องข้าก็ไม่สามารถบอกกับแม่และน้องชายเจ้าได้ แต่ข้าคิดว่าเจ้าควรได้รู้เรื่องทั้งหมด” เห้อเหลียนเป่ยหมิงพูดจบ ก็ให้อวี๋กังพาเห้อเหลียนเฟิงไปยังค่ายหน่วยกล้าตาย
หากบอกว่าเห้อเหลียนเฟิงยังมีท่าทีต่อต้านในตอนแรก เช่นนั้นเมื่อเขาเห็นค่ายหน่วยกล้าตาย เขาก็ยอมแพ้ทันที
เขาไม่เหมือนกับน้องชายตัวแสบสองคน เขาถูกเลี้ยงมาในฐานะผู้สืบทอดสกุลตัั้งแต่ยังเล็ก กฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ของหนานจ้าวเขาจำได้ขึ้นใจ เรื่องอื่นยังไม่ต้องเอ่ยถึง ลำพังสิ่งที่ขัดต่อข้อกฎหมายอย่างค่ายหน่วยกล้าตายแห่งนี้ก็เพียงพอให้พวกเขาได้รับโทษประหารทั้งตระกูลแล้ว
“ระ…เรื่องนี้ ทะ…ท่านปู่ของข้าเป็นคนทำหรือ?” เขาพูดไม่เป็นศัพท์ เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น ผู้ที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจมากที่สุดคงจะไม่ใช่เห้อเหลียนเป่ยหมิงซึ่งเคารพอารองของตนมาก หากแต่เป็นหลานชายคนโตผู้ซึ่งมีความศรัทธาในตัวท่านปู่ของตนอย่างแรงกล้า
โชคดีที่ในค่ายหน่วยกล้าตายยังหลงเหลือหน่วยกล้าตายอยู่อีกหนึ่งคน หน่วยกล้าตายหน้ากากทองผู้นั้นเคยปฏิบัติภารกิจให้นายท่านรองใหญ่ ยังไม่ทันถูกทุบตี เขาก็ออกตัวสารภาพเรื่องของนายท่านรองใหญ่แล้ว จนดูไม่เหมือนหน่วยกล้าตายเอาเสียเลย
หากจวนตะวันออกทำเรื่องนี้ จะนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ระดับแผ่นดิน แต่นี่เป็นเรื่องของจวนตะวันตก เห้อเหลียนเป่ยหมิงสามารถจัดการเองได้
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเดินไปยังเตียงของนายท่านรองใหญ่ “ท่านเป็นอาของข้า ข้าไม่คิดจะให้ท่านออกจากจวน ข้าได้แจ้งเรื่องนี้ต่อผู้อาวุโสในสกุลแล้ว พวกเขาจะตัดสินความผิดของท่านเอง”
ผลการเจรจาออกมาอย่างรวดเร็ว ผู้อาวุโสในสกุลด้านหนึ่งต่างรู้สึกเวทนาหนิวตั้นที่เลี้ยงน้องชายใจคอโหดเหี้ยมเอาไว้ในบ้าน อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกปีติยินดีที่พบอวี๋เซ่าชิงแล้ว ทั้งยังเปิดโปงความชั่วของคนโฉดได้อีกด้วย นายท่านรองใหญ่ไม่อาจอยู่ในจวนสกุลเห้อเหลียนได้อีกต่อไป
เขาถูกส่งไปอยู่ในบ้านเก่าโกโรโกโสนอกเมืองหลวง โดยอ้างเหตุผลว่าไปรักษาตัว ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงการนอนรอความตาย เขาไม่อาจกลับมายังบ้านสกุลเห้อเหลียนได้อีกชั่วชีวิต เมื่อล่วงลับไปแล้วก็ไม่อาจนำไปฝังในหลุมศพของตระกูลได้
นั่นจะเรียกว่าเป็นการตัดชื่อออกจากตระกูลก็ย่อมได้ เขาลงทุนลงแรงมาทั้งชีวิต สุดท้ายก็ต้องมีจุดจบที่อนาถนัก สำหรับนายท่านรองใหญ่ ไม่มีเรื่องใดน่าเศร้าไปกว่านี้อีกแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าก็เหมือนกับบ่าวส่วนมากในจวน คิดว่านายท่านรองใหญ่ย้ายไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติในท้องทุ่งเพื่อรักษาอาการป่วย ในความคิดของนาง เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ อวี๋เซ่าชิงมีชีวิตรอดกลับมา เห้อเหลียนเป่ยหมิงรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ในเมื่อทุกอย่างได้รับการเยียวยาแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องไปเปิดปากแผลอีก
“เรื่องของนางถานกับเห้อเหลียนเซิง…จะบอกท่านลุงใหญ่ไหม?” ก่อนเข้านอน อวี๋หวั่นเอ่ยถามเยี่ยนจิ่วเฉา
“บอกว่าอะไร?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามกลับพลางเล่นกับเส้นผมของเธอ
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าผมกลุ่มนั้นของตนไม่สวยพอ จึงหยิบผมอีกกลุุ่มหนึ่งยัดใส่มือของเยี่ยนจิ่วเฉา จากนั้นก็พูดว่า “ต่งเซียนเอ๋อร์บอกข้าว่านางถานกับเห้อเหลียนเซิงมีความลับ”
เยี่ยนจิ่วเฉาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วค่อยบอกก็ยังไม่สาย”
อวี๋หวั่นคิดไปคิดมา ก็จริง แค่เรื่องใหญ่อย่างเรื่องของจวนตะวันตก เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ต้องใช้พลังมหาศาลในการรักษาจิตใจอันบอบช้ำ ร่างกายของเขาก็ได้รับบาดเจ็บ ตอนกลางวันชุยเฒ่ามาบ่นกับเธอว่าถ้าหากเห้อเหลียนเป่ยหมิงยังคงทำงานหนักเช่นนี้ต่อไป กินเห็ดหลินจือแดงไปก็คงไร้ประโยชน์
ไม่นาน วันเซ่นไหว้บรรพชนก็มาถึง อวี๋เซ่าชิงและสามพี่น้องสกุลเห้อเหลียนเดินทางไกลไปยังศาลบรรพชน
ในตอนที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงเล่าเรื่องของนายท่านรองใหญ่ให้ผู้อาวุโสในตระกูลฟัง เขาถือโอกาสเล่าเรื่องน้องชายให้ฟังด้วย เดิมทีเหล่าผู้อาวุโสคิดว่าเขาจำคนผิด ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าซึ่งดูราวกับถอดแบบจากหนิวตั้นออกมา ก็ไม่มีผู้ใดกล่าวอะไรอีก
เหล่าผู้อาวุโสในสกุลจึงเชิญอวี๋เซ่าชิงไปจุดธูป
อวี๋เซ่าชิงจุดธูปดอกที่หนึ่งสองสามรวดเดียว และนั่นเป็นคำอธิบายว่าเพราะเหตุใดจึงบอกว่าจุดธูปของจวนตะวันออก เพราะจวนตะวันตกไม่มีโอกาสได้จุดธูปเลย!
สามพี่น้องถึงกับตกตะลึงจนอ้าปากค้าง…
จุดธูปเสร็จ อวี๋เซ่าชิงก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจขึ้นมาว่าตนเองกำลังถูกเห้อเหลียนเป่ยหมิงหลอก เนื่องจากการเซ่นไหว้บรรพบุรุษไม่ได้เป็นงานหนักแต่อย่างใด และไม่ต้องใช้เวลาทั้งวัน เพราะฉะนั้นทำไมต้องหลอกให้เขามาเซ่นไหว้บรรพบุรุษด้วยเล่า?
อวี๋เซ่าชิงขมวดคิ้ว แล้วจมอยู่ในห้วงความคิด
……
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่อวี๋หวั่นขบคิดอยู่หลายวัน สุดท้ายก็ยังปล่อยวางเรื่องของนางถานและเห้อเหลียนเซิงไม่ได้ จากความเข้าใจที่เธอมีต่อเยี่ยนจิ่วเฉานั้น หากไม่มีอะไร เขาไม่มีทางสร้างเรื่องขึ้นมาอย่างแน่นอน เขาบอกว่านางถานเป็นคนวางยาพิษเห้อเหลียนเป่ยหมิง เช่นนั้นเขาก็เชื่อว่าคนร้ายคือนางถานอย่างแน่นอน เมื่อมาคิดๆ ดูแล้วก็ไม่แปลก อย่างไรเสียเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็เป็นคนระแวดระวังตัว คนทั่วไปคงหาโอกาสลงมือกับเขาไม่ได้ง่ายๆ มีเพียงของที่ภรรยาผู้เป็นที่รักส่งให้ เขาถึงกินโดยปราศจากความเคลือบแคลงใจ
บางทีอาจไม่จำเป็นต้องกินเข้าไป เนื่องจากวิธีการวางยาพิษนั้นมีมาก ทั้งการรมควัน การป้ายยาก็ล้วนแต่นับว่าเป็นทางเลือกที่นิยม กระนั้นก่อนหน้านี้กลับกล่าวถึงเพียงว่าคนร้ายสามารถเข้าถึงอาหารการกินของเห้อเหลียนเป่ยหมิงได้
อวี๋หวั่นคิดไม่ออกว่าทำไมนางถานจึงต้องทำเช่นนี้
ทั้งยังมีเรื่องที่เห้อเหลียนเซิงถูกขับออกจากสกุล เป็นฝีมือของนางถาน เพียงแต่ไม่รู้ว่าสองเรื่องนี้มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
ก๊อกๆๆ!
อวี๋หวั่นเคาะประตูห้องของเห้อเหลียนเป่ยหมิง
“เข้ามา”
เสียงทุ้มต้ำของเห้อเหลียนเป่ยหมิงดังมาจากด้านใน
มือข้างหนึ่งของอวี๋หวั่นถือถ้วยยา อีกข้างหนึ่งผลักประตูเข้ามา “ได้เวลาดื่มยาเจ้าค่ะ ท่านลุงใหญ่รู้สึกอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือยังเจ้าคะ?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงลุกขึ้นมาจากเตียง สวมเสื้อคลุม แล้วรับยามา “ดีขึ้นมากแล้ว เรื่องพวกนี้ให้คนอื่นทำก็ได้ เจ้าไม่ต้องลำบาก”
อวี๋หวั่นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง เธอยกยิ้มมุมปาก “ก็แค่ต้มยาถ้วยเดียวเองเจ้าค่ะ ตอนอยู่ที่หมู่บ้าน ผ่าฟืนหาบน้ำข้าล้วนทำมาหมดแล้ว!”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงยกยาขึ้นมาดื่ม แล้วถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “เป็นความผิดของข้าเอง ทำให้พวกเจ้าต้องลำบาก”
อวี๋หวั่นยิ้ม “ข้าไม่ได้ตั้งใจมาพรรณนาความลำบากให้ท่านลุงใหญ่ฟังนะเจ้าคะ”
“ข้ารู้ เจ้าเป็นเด็กดี” เห้อเหลียนเป่ยหมิงพยักหน้า
อวี๋หวั่นไม่ได้ตอบ เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ แล้วบอกว่า “ดื่มยาอีกสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงยกยาขึ้นมาดื่มอย่างว่าง่าย
อวี๋หวั่นรับถ้วยยามา แล้วส่งผลไม้เชื่อมให้เขากิน นี่เป็นวิธีที่เยี่ยนจิ่วเฉาใช้กับเธอ เธอจึงเรียนรู้และนำมาใช้กับเห้อเหลียนเป่ยหมิงบ้าง
เห้อเหลียนเป่ยหมิงหัวเราะแล้วหยิบผลไม้เชื่อมมาใส่ปาก รสชาติเปรี้ยวอมหวานกำจายออกมา ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว รสขมปร่าของยาก็หายไป
“อร่อยไหมเจ้าคะ?” อวี๋หวั่นเอ่ยถามพลางยกยิ้มมุมปาก
ความอ่อนโยนปรากฏในดวงตาของเห้อเหลียนเป่ยหมิง “อร่อย”
อวี๋หวั่นส่งจานให้เขา “ข้าขอถามท่านลุงใหญ่เรื่องหนึ่งได้ไหมเจ้าคะ?”
“เจ้าว่ามา”
“เกี่ยวกับป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ”
มือของเห้อเหลียนเป่ยหมิงซึ่งกำลังหยิบผลไม้ชะงักไปครู่หนึ่ง
อวี๋หวั่นสัมผัสได้ถึงการต่อต้านของเขา ทว่าในตอนนี้เธอไม่อาจถอยหลังกลับได้ เธอแทงมีดออกไปแล้ว ก็ต้องเจ็บให้สุดในครั้งเดียว “ข้ามาอยู่ในจวนนานแล้ว พอจะได้ยินเรื่องของป้าสะใภ้ใหญ่มาบ้าง ท่านลุงใหญ่คิดว่าเรื่องที่ท่านธาตุไฟเข้าแทรกในปีนั้นเกี่ยวข้องกับป้าสะใภ้ใหญ่หรือไม่เจ้าคะ?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงวางผลไม้เชื่อมในมือลง
เขาเงียบงันอยู่แสนนาน
จากนั้นก็กล่าวเสียงค่อยว่า “…นางไม่มีทางทำร้ายข้า”
“เช่นนั้นเรื่องที่นางหักหลังท่านละเจ้าคะ? นางไม่ได้…กับชายอื่น…” อวี๋หวั่นพูดไม่ทันจบ ก็รู้สึกว่ามีดที่ตนแทงออกไปนั้นออกจะรุนแรงไปสักหน่อย เธอมองไปยังเห้อเหลียนเป่ยหมิง แล้วพูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ท่านคิดว่านางเคยทำเรื่องไม่ดีต่อท่านหรือไม่เจ้าคะ?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงมีสีหน้าหมองหม่น
ครั้งนี้ ตราบจนอวี๋หวั่นเดินออกมา เขามิได้ปริปากพูดแม้แต่น้อย
อวี๋หวั่นไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเห้อเหลียนเป่ยหมิง ว่ากันว่าจิตใจของผู้หญิงล้ำลึกดังก้นมหาสมุทร ความจริงแล้วบางครั้งความคิดของผู้ชายก็เกินหยั่งรู้เช่นกัน
หลังจากกลับเรือนมา อวี๋หวั่นก็เล่าบทสนทนาของเธอกับเห้อเหลียนเป่ยหมิงให้เยี่ยนจิ่วเฉาฟัง “…ข้ารู้สึกว่าท่านลุงใหญ่เชื่อใจนางถาน แต่ก็เหมือน…ไม่เชื่อใจนาง”
ยิ่งพูดประโยคนี้ไป อวี๋หวั่นก็ยิ่งรู้สึกย้อนแย้ง
อันที่จริง สิ่งที่เธอต้องการจะพูดก็คือท่านลุงใหญ่เชื่อในพื้นฐานจิตใจของนางถาน นางถานไม่มีทางทำร้ายเขา แต่ดูเหมือนว่าท่านลุงใหญ่จะไม่มั่นใจในความรู้สึกที่นางถานมีต่อตน
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เขาคิดอย่างไรไม่สำคัญ ความจริงล้วนแต่อยู่ที่นางถาน”
อวี๋หวั่นพยักหน้าคล้ายกับกระจ่างขึ้นมา “จะว่าไปก็ถูก เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราคงต้องไปหานางถานสักหน่อย”
ทว่าจากคำบอกเล่าของต่งเซียนเอ๋อร์ สำนักแม่ชีของนางถานถูกคนจับตามองอยู่ เธอจำต้องคิดหาวิธีหลอกล่อให้นางถานออกมา
………………………………………