หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 244 เด็กน้อย
ฟ้าเริ่มสาง เสียงระฆังดังขึ้นจากวัดพิษ ก้องกังวานไปทั้งทิวเขา เพรียกหารุ่งอรุณอันหลับใหลให้ตื่นขึ้น
เสียงระฆังจากวัดพิษดังมาถึงสำนักแม่ชีบนเขาอีกลููกหนึ่ง เหล่าแม่ชีในสำนักแม่ชีเริ่มปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน
สำนักแม่ชีแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมาหลายปี ทว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมามีแม่ชีจำนวนหนึ่งเข้ามาอยู่ เพราะฉะนั้นจึงเริ่มมีการจุดธูปอีกครั้ง เพียงแต่ว่าวัดพิษซึ่งอยู่ใกล้เคียงนั้นมีผู้คนแวะเวียนมามาก เมื่อเทียบกันแล้วจึงทำให้สำนักแม่ชีแห่งนี้ดูเงียบเหงายิ่งนัก
ที่นี่มีแม่ชีอาศัยอยู่สามคน คนหนึ่งเป็นแม่ชีอาวุโสซึ่งอายุมากแล้ว คนหนึ่งเป็นแม่ชีน้อยอายุประมาณสิบห้าสิบหก อีกคนหนึ่งเป็นแม่ชีวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าซึ่งดูงามสง่าโดดเด่น
สำนักแม่ชีมีคนมาจุดธูปไม่มาก นานๆ จะมีคนแวะเวียนสักครั้ง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ สำนักแม่ชีก็ยังคงเปิดเฉกเช่นทุกวัน
เมื่อทั้งสามคนตื่นนอนหลังจากที่ได้ยินเสียงระฆัง พวกนางล้างหน้าแปรงฟัง จากนั้นทำวัตรเช้า กินอาหารมังสวิรัติอย่างเรียบง่ายแล้วจึงแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน
ชีวิตความเป็นอยู่เรียบง่าย ไม่จำเป็นใช้แรงงานมาก แม่ชีอาวุโสและแม่ชีน้อยนั้นงานไม่มาก มีเพียงแม่ชีวัยกลางคนที่ต้องตัดแต่งกระถางดอกไม้และปลูกต้นไม้
หลังจากที่นางจัดการต้นไม้และดอกไม้เสร็จเรียบร้อย แม่ชีน้อยก็โยนถังไม้สองใบใส่นางอย่างไม่เกรงใจ “ไปตักน้ำได้แล้ว! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะไปคนเดียว!”
แม่ชีวัยกลางคนมิได้โต้ตอบ นางค้อมกายลงไปหยิบถังน้ำขึ้นมา คว้าคานหาบข้างกำแพงมา แล้วหาบถังไม้ขึ้นบ่า
แม่ชีน้อยก็หาบถังไม้สองไปเช่นกัน ทั้งสองเดินออกไปพร้อมกัน
สถานที่สำหรับตักน้ำนั้นไม่นับว่าไกลแต่ก็ไม่ใกล้ เดินออกจากสำนักแม่ชีไปทางทิศตะวันออก เดินไปประมาณสองหลี่ก็จะพบลำธารใสสายหนึ่ง ทั้งสองใช้ถังไม้ตักน้ำ แล้วหาบขึ้นมา
แม่ชีวัยกลางคนตักน้ำได้เกือบเต็มถัง แม่ชีน้อยรู้สึกเกียจคร้าน นางแสร้งทำเป็นตักน้ำได้เต็มถัง แต่เมื่อแม่ชีวัยกลางคนหันหลังกลับไป นางก็เทน้ำกลับลงลำธารไปครึ่งหนึ่ง
แม่ชีวัยกลางคนเดินไป พลางเหลือบมองแม่ชีน้อย
แม่ชีน้อยนัยน์ตากระตุกวูบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “มองอะไร! เดินไปสิ! ล้มไปจะมาโทษข้าไม่ได้นะ!”
แม่ชีวัยกลางคนมิได้ตอบโต้ดังเคย นางหันหน้ากลับและหาบน้ำเดินกลับไปยังสำนักแม่ชีโดยมิได้ชายตามองแม้ชีน้อย
แม่ชีน้อยมักแอบอู้งานจนติดเป็นนิสัย ก่อนหน้านี้ใส่น้ำมาเพียงครึ่งเดียว ระหว่างทางก็ยังรู้สึกว่าหนักอยู่ จึงแอบเททิ้งไปอีก เมื่อกลับถึงสำนักแม่ชีก็เหลือน้ำอยู่เพียงน้อยนิด
แม่ชีน้อยแสร้งทำเป็นยกน้ำเทใส่ในบ่อ จากนั้นก็บอกแม่ชีวัยกลางคนว่า “ต้องโทษเจ้านั่นแหละที่ตักน้ำมาน้อย น้ำแค่นี้จะไปพอกินได้อย่างไร? เจ้าไปตักน้ำมาอีกสองครั้ง! ข้าจะไปทำกับข้าว!”
แม่ชีวัยกลางคนตอบว่า “ข้าคนเดียวตักน้ำมากเช่นนั้นไม่ไหวหรอก หากเจ้าไม่ไปกับข้า วันนี้ก็ไม่ต้องกินน้ำ”
แม่ชีน้อยนึกอยากเถียงต่อ ทันใดนั้นแม่ชีอาวุโสซึ่งอยู่ในห้องก็เอ่ยปากว่า “เอะอะโวยวายอะไรกัน? ยังไม่ไปตักน้ำอีก!”
แม่ชีน้อยไม่กล้าต่อปากต่อคำ จึงได้แต่แค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วไปหาบน้ำต่อ
ครั้งนี้นางยังคงตักน้ำเพียงครึ่งเดียวดังเคย
ทว่าเมื่อทั้งสองหาบน้ำกลับมา ก็บังเอิญไปเห็นเด็กน้อยนอนอยู่ข้างทาง
เด็กน้อยคนนั้นเนื้อตัวขะมุกขะมอม ดูแล้วน่าจะอายุไม่ถึงสามขวบดี ตัวอ้วนจ้ำม่ำ โกนผมจนเกลี้ยง มองดูเหมือนไข่กลมๆ ลูกหนึ่ง
ความสนใจของทั้งสองถูกเด็กน้อยดึงดูด แต่ไหนแต่ไรมาพวกนางไม่เคยเห็นเด็กน้อยน่ารักเช่นนี้มาก่อน มองเพียงครั้งเดียว ก็ละสายตาไม่ได้เสียแล้ว
ทั้งสองวางถังน้ำลง เดินไปยังเด็กน้อย แม่ชีวัยกลางคนนั่งยอง แล้วแตะไหล่เด็กน้อยเบาๆ
เด็กน้อย ‘ตื่นขึ้น’ ดวงตากลมโตคู่นั้นของเขาช่างงดงาม ลูกตาดำขลับราวกับไข่มุก น่ารักเสียจนหากใครได้พบเห็นเป็นต้องหลงรัก
ดูจากเสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ ไม่น่าจะเป็นลูกหลานจากตระกูลยากจน อีกทั้งยังอยู่ใกล้วัดพิษ ที่นั่นมีคนแวะมาบ้างเป็นครั้งคราว ทั้งสองจึงคิดว่าเด็กคนนี้ก็คือคนที่แวะเวียนมาเช่นกัน
แม่ชีวัยกลางคนเอ่ยถามเบาๆ ว่า “เด็กน้อย เจ้ามานอนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร? พลัดหลงกับคนที่บ้านหรือ?”
เด็กน้อยมองนางด้วยสายตาบ้องแบ๊ว
แม่ชีวัยกลางคนยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่ได้มากับพ่อแม่หรอกหรือ?”
เด็กน้อยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงส่ายหน้า จากนั้นก็พยักหน้า
“หมายความว่าอย่างไร?” แม่ชีน้อยไม่เข้าใจ
แม่ชีวัยกลางคนถามว่า “มากับพ่อหรือ?”
เด็กน้อยส่ายหน้า
แม่ชีวัยกลางคนจึงถามต่อว่า “มากับแม่หรือ?”
เด็กน้อยพยักหน้า
แม่ชีวัยกลางคนเข้าใจทันที จึงบอกกับแม่ชีน้อยว่า “เขาน่าจะพลัดหลงกับแม่” จากนั้นก็พูดกับเด็กน้อยว่า “เจ้า
กลับสำนักแม่ชีกับพวกข้าก่อน ประเดี๋ยวพวกข้าพาเจ้าไปส่ง”
แม่ชีวัยกลางคนหาบน้ำขึ้นบ่า เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยไม่ตามมา นางหยุดคิดครู่หนึ่ง วางคานหาบลงแล้วเทน้ำทิ้งไปหนึ่งถัง จากนั้นก็อุ้มเด็กน้อยใส่ถัง ฝั่งหนึ่งหาบน้ำ อีกฝั่งหนึ่งหาบเด็ก เดินกลับสำนักแม่ชีไปท่ามกลางอากาศร้อนระอุ
เด็กน้อยอยู่ในถังน้ำเกือบทั้งตัว มีเพียงศีรษะที่โผล่ออกมา น่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน
หลังจากลับไปยังสำนักแม่ชี แม่ชีน้อยก็วางถังน้ำลง แล้วเข้าไปอุ้มเด็กน้อย แต่เขากลับไม่ยอมให้อุ้ม
“ข้าเอง” แม่ชีวัยกลางคนอุ้มเขาออกมา “คนที่บ้านเขาน่าจะอยู่แถวนี้ ข้าจะพาเขาไปส่ง”
แม่ชีน้อยไม่ยินดี นางอยากอุ้มเด็กน้อย อยากพาเขาไปส่ง น่าเสียดายที่เขาไม่ยอม หากรู้เช่นนี้ นางน่าจะเป็นคนเข้าไปปลุกเด็กน้อย แล้วอุ้มเขาใส่ลงในถังน้ำ
แม่ชีน้อยเดินกระทืบเท้าออกจากห้องไปด้วยความเดือดดาล
แม่ชีวัยกลางคนกล่าวบอกกับแม่ชีอาวุโส แม่ชีอาวุโสตอบ ‘อืม’ ในลำคอ “เจ้าไปเถิด”
แม่ชีวัยกลางคนจูงมือเด็กน้อยเดินลงจากเขา
เมื่อทั้งสองเดินมาถึงเชิงเขา รถม้าคันหนึ่งก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา และจอดใกล้ๆ กับทั้งสอง
ม่านของรถม้าเปิดออก เด็กน้อยร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น เขาปล่อยมือจากแม่ชีวัยกลางคน แล้วโผออกไปหารถม้า
คุณชายวัยสิบเจ็ดสิบแปดคนคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถ คุณชายคนนั้นเข้าไปกอดเด็กน้อย เด็กน้อยซุกหน้าเข้ากับอ้อมอกของคุณชายคนนั้น
คุณชายยิ้มอย่างอ่อนโยน “ต้าเป่าคิดถึงแม่แล้วใช่ไหม?”
นี่เป็นเสียงของสตรี
และนางเรียกตนเองว่า…แม่?
ต้าเป่าพยักหน้า มือน้อยๆ ของกอดแขนของมารดา
อวี๋หวั่นอุ้มต้าเป่าขึ้นมา แล้วคำนับแม่ชีวัยกลางคน “ป้าสะใภ้ใหญ่”
ทันทีที่ถูกสตรีแปลกหน้าเรียกเช่นนั้น นางถานก็ตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง
อวี๋หวั่นพูดอย่างรู้มารยาทว่า “ข้าชื่ออาหวั่น ท่านพ่อของข้าคือเห้อเหลียนเป่ยอวี้”
นางถานตื่นตะลึง “เป่ยอวี้เขา…”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “เจ้าค่ะ เขากลับมาแล้ว เชิญป้าสะใภ้ใหญ่ขึ้นรถม้าไปสนทนากันสักครู่”
อวี๋หวั่นไม่ได้นำของยืนยันใดๆ มา เธอถึงกับมาเช่ารถม้าระหว่างทาง เพื่อจะได้ไม่เป็นที่สะดุดตา นางถานมีเหตุผลที่จะปฏิเสธอวี๋หวั่น แต่นางกลับไม่ทำเช่นนั้น นางมองอวี๋หวั่นอย่างพินิจพิจารณาแล้วยกชายเสื้อก้าวขึ้นรถม้าไป
อวี๋หวั่นอุ้มต้าเป่าขึ้นรถม้า
นางถานกล่าวว่า “ข้ามีเวลาไม่มาก”
อวี๋หวั่นตอบว่า “ข้าจะพูดอย่างรวบรัด”
นางถานพยักหน้าน้อยๆ
อวี๋หวั่นวางต้าเป่าไว้ด้านข้าง ให้เขาเล่นไปพลางๆ ส่วนเธอก็มองไปยังนางถานและเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วว่า “ในตอนที่ท่านพ่อข้าตกลงไปจากหน้าผา มีคนช่วยเอาไว้ หลังจากนั้นเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ในต้าโจวมาโดยตลอด รายละเอียดข้าไม่อาจเล่าอย่างรวบรัดได้ หากมีโอกาสเหมาะสมข้าจะเล่าให้ป้าสะใภ้ฟัง ที่ข้ามาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องอยากถามท่านป้าให้กระจ่างสองเรื่อง เรื่องแรกก็เกี่ยวกับตอนที่ท่านลุงใหญ่ธาตุไฟเข้าแทรก อีกเรื่องหนึ่งก็คือป้าสะใภ้ใหญ่และพี่ใหญ่ถูกไล่ออกจากบ้าน ข้าอยากรู้ว่าเรื่องเหล่านี้…ป้าสะใภ้ล้วนแต่เป็นคนทำใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ปฏิกิริยาตอบสนองของนางถานนั้นเยือกเย็นกว่าที่อวี๋หวั่นคิดไว้
อวี๋หวั่นเดาเอาไว้แล้วว่าหลังจากนี้นางจะตอบว่าอย่างไร นางอาจจะปฏิเสธตามสัญชาตญาณ หรือว่า…
“เจ้าอย่าเข้ามาเกี่ยวข้องจะดีกว่า” นางถานบอก “เรื่องในอดีตก็ปล่อยให้เป็นอดีตไป ไม่ต้องตามสืบให้มากความ เรื่องบางเรื่องไม่รู้จะดีกว่า”
คำตอบเช่นนี้ของนางถานมิได้อยู่เหนือความคาดหมายของอวี๋หวั่น
นี่แทบจะเป็นการยอมรับกลายๆ แล้วว่าเรื่องในครั้งนั้นมีลับลมคมใน เหตุใดนางจึงบอกหลานสาวซึ่งเพิ่งเคยพบหน้ากัน แต่กลับปิดบังเห้อเหลียนเป่ยหมิงมานานหลายปี?
“ป้าสะใภ้ใหญ่ เหตุใดท่านต้องวางยาท่านลุงใหญ่หรือเจ้าคะ?” อวี๋หวั่นเข้าประเด็นเรื่องการวางยาพิษในทันใด
นางถานชะงักไป นางไม่ได้ปฏิเสธ “ข้าบอกไปแล้วไง เรื่องบางเรื่อง เจ้าไม่รู้จะดีกว่า”
อวี๋หวั่นมองนาง “ท่านเกลียดท่านลุงใหญ่หรือไม่?”
นางถานมีสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าควรถามว่าเขาเกลียดข้าหรือไม่มากกว่า”
อวี๋หวั่นถามถึงเหตุของเรื่องนี้ แต่นางถานกำลังกล่าวถึงผลของเหตุการณ์
อวี๋หวั่นถอนหายใจน้อยๆ “ท่านลุงใหญ่ไม่รู้ว่าเรื่องยาพิษเกี่ยวข้องกับท่าน แต่เรื่องของเห้อเหลียนเซิง…ข้าไม่รู้ว่าท่านลุงใหญ่รู้หรือไม่ว่าท่านกำลังทรมานใจ”
เพราะฉะนั้นหากท่านถามข้าว่าท่านลุงใหญ่เกลียดท่านหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน
นางถานลุกขึ้นยืน “เจ้ากลับไปเถิด หลังจากนี้อย่าได้มาที่นี่อีก ข้ากับเซิงเอ๋อร์ไม่เกี่ยวข้องกับสกุลเห้อเหลียนแล้ว พวกเจ้าย่อมรู้ดี”
“ป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าคะ!” อวี๋หวั่นเรียกนางไว้
นางถานหันหลังกลับมามองเธอ “เพื่อตัวเจ้าเองก็ดี เพื่อสกุลเห้อเหลียนก็ดี ก็คิดเสียว่าวันนี้เจ้าไม่ได้มาที่นี่ เรื่องบางเรื่องเจ้าสืบไม่พบ คนบางคน เจ้าสู้ไม่ได้หรอก”
สีหน้าของอวี๋หวั่นเต็มไปด้วยความฉงนใจ
สู้ใครไม่ได้?
“ประมุขหญิง!”
ในจวนประมุขหญิง หัวหน้าองครักษ์กระวีกระวาดมายังห้องหนังสือของประมุขหญิง
ประมุขหญิงวางสาส์นลง สายตาหนักใจของนางมองไปที่เขา “เป็นเรื่องของราชบุตรเขยหรือ?”
โม่ซังยกมือขึ้นประสาน “มีองครักษ์พบราชบุตรเขยที่หอวั่งเจียง ราชบุตรเขยปฏิเสธที่จะกลับมาพ่ะย่ะค่ะ!”
ประมุขหญิงตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน “เหตุใดจึงปฏิเสธไม่ยอมกลับจวน?”
โม่ซังถูกโทสะของนางทำให้ตกใจจนค้อมตัวลง เขาก้มหัวตอบว่า “กระหม่อมไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ ราชบุตรเขยไม่พูดกับพวกกระหม่อม กระหม่อมจึงต้องมาขอคำแนะนำจากประมุขหญิง”
ประมุขหญิงกดจุดไท่หยาง แล้วละมือจากราชกิจที่กำลังทำอยู่ “นำทาง!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
โม่ซังเตรียมรถม้าให้ประมุขหญิงเรียบร้อย พวกเขามุ่งหน้าไปยังหอวั่งเจียงด้วยความเร็วสูงสุด กระนั้นก็ไม่คิดว่าทั้งสองจะไปเสียเที่ยว
ประมุขหญิงเอ่ยถามด้วยความเกรี้ยวโกรธ “ราชบุตรเขยเล่า?”
องครักษ์ตอบว่า “ทูลประมุขหญิง ราชบุตรเขยไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ราชบุตรเขยไม่ให้พวกข้าตามไป บอก…บอกว่าหากกล้าขัดคำสั่ง ก็จะตัดศีรษะพวกข้า…”
อำนาจที่มากมายถึงเพียงนี้ก็คืออำนาจที่ประมุขหญิงมอบให้เขา ประมุขหญิงทำเช่นนี้เพื่อแสดงให้ราชบุตรเขยเห็นว่านางให้ความสำคัญกับเขา และในขณะเดียวกันคนอื่นๆ ก็ไม่อาจดูแคลนเขาได้เช่นกัน ไหนเลยจะรู้ว่าภายหลังสิ่งนี้จะย้อนกลับมาทำร้ายตนเอง
ประมุขหญิงหายใจเขาลึก พยายามระงับโทสะ “มัวยืนทำอะไรกันอยู่? ยังไม่รีบไปหาอีก?”
“พ่ะ…พ่ะย่ะค่ะ!” เหล่าองครักษ์ตอบรับอย่างพร้อมเพรียงแล้วแยกย้ายกันไป
โม่ซังยังคงยืนอยู่ข้างประมุขหญิงด้วยสีหน้าแน่วแน่
“ทำไมเจ้ายังไม่ไป?” ประมุขหญิงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ที่ใดที่หนึ่งหรือ?” ประมุขหญิงพึมพำ ภายในเวลาชั่วขณะหนึ่ง นัยน์ตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมา “ร้านขายถังหูลู่!”
นั่นมันสถานที่ที่เด็กนั่นไป…
ต้าเป่าถูกอวี๋หวั่นพาออกไปข้างนอกเพียงคนเดียว เอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่าจึงน้อยใจ กินข้าวไม่อร่อย เล่นก็ไม่สนุก เยี่ยนจิ่วเฉามองท่าทางหม่นหมองของเด็กๆ ทั้งสอง สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าจะพาพวกเขาออกไปซื้อถังหูลู่
เมื่อได้ยินว่าถังหูลู่ ทั้งสองก็กระเด้งขึ้นมาทันที!
เด็กน้อยจับมือเยี่ยนจิ่วเฉา แล้วกระโดดโลดเต้นออกไปที่ถนนใหญ่
ราชบุตรเขยรออยู่ไม่ไกล เขาไม่รู้ว่าตนจะเจอคนที่อยากเจอหรือไม่ เขาเพียงแต่รอคอยอยู่เช่นนั้นราวกับคนโง่งม เขาเห็นเสี่ยวเป่ากระโดดโลดเต้นออกมาจากตรอก จากนั้นก็…เสี่ยวเป่าอีกคนหนึ่ง?
เขาถึงกับตะลึงงัน
มะ…มีสองคนหรือ?
เมื่อเสี่ยวเป่าและเอ้อร์เป่าเห็นถังหูลู่ ท่านพ่อก็ไม่สำคัญอีกต่อไป พวกเขาวิ่งเตาะแตะไปหาถังหูลู่ในทันที
“เอาๆๆ! อันนี้!” เสี่ยวเป่าเขย่งปลายเท้า แล้วชี้ไปยังถังหูลู่ไม้ที่สีสดและเป็นประกายที่สุด
“เอ้า! แล้วเจ้าจะเอาอันไหน?” เจ้าของร้านหยิบถังหูลู่ให้เสี่ยวเป่า จากนั้นก็ถามเอ้อร์เป่าซึ่งวิ่งตามมา
“เอ้อร์เป่าเอา อันนี้!” เอ้อร์เป่าชี้ไปยังผลส้มเคลือบน้ำตาลวาววับ
เจ้าของร้านหยิบส้มเคลือบน้ำตาลส่งให้เอ้อร์เป่า
ราชบุตรเขยมองดูศีรษะน้อยๆ ทีมีผมดำหรอมแหรม ก็ยิ้มตาหยี
ทันใดนั้นเอง เยี่ยนจิ่วเฉาก็เดินทอดน่องมาถึง
เขาอ้าปากหมายจะร้องเรียก ทว่ากลับยังไม่ทันได้เอ่ยปาก
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยนจิ่วเฉาจ่ายเงิน และกำลังจะพาเด็กน้อยกลับจวน ในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้า แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ด้านหลังคอ เขากลอกตาและล้มพับลงไปในอ้อมแขนของคนด้านหลัง
เขารู้สึกว่าถูกอีกฝ่ายอุ้มขึ้นมา และอุ้มขึ้นรถม้าที่คุ้นเคยไป
เขามองตามเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งหายลับไปที่มุมถนน แต่กลับขยับร่างกายไม่ได้
เขาใช้สายตายอันพร่ามัวมองไปยังผู้ที่อุ้มเขา เป็นสตรี
ประมุขหญิงลูบหน้าผากของเขา ยกถ้วยยาขึ้นมาพร้อมกับกล่าวว่า “ดื่มเสียเถิด จะได้หลับสบาย แล้วเรื่องรำคาญใจก็จะพลันหมดไป”
………………………………………