หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 246 ครอบครัวอบอุ่นและผู้เป็นที่รัก
เดือนสิบของหนานจ้าวมีความเย็นเบาบางเหลือเกิน เด็กน้อยทั้งสามร้อนจนจะกลายเป็นไข่ลวกอยู่แล้ว สุดท้ายพวกเขาก็ไม่นอนผึ่งพุงอยู่ในเรือนอีกต่อไป จึงถือถังหูลู่ที่ท่านพ่อซื้อให้เดินเตาะแตะเข้าไปยังห้องของนางเจียงและอวี๋เซ่าชิง
อวี๋เซ่าชิงตื่นแต่เช้า เขาเดินไปยังห้องครัวเพื่อทำอาหารให้นางเจียงและเด็กๆ แน่นอนว่าเขาทำอาหารเผื่อลูกสาวและเจ้าลูกเขยงี่เง่าด้วย แล้วก็…ทำเผื่อฮูหยินผู้เฒ่าและแม่ทัพใหญ่สกุลเห้อเหลียนด้วยอีกเล็กน้อย
สุดท้ายก็เท่ากับว่าเขาทำอาหารเช้าให้คนทั้งบ้าน
หลังจากทำอาหารเช้าเสร็จ เขาก็กลับห้องไปปลุกนางเจียงและเด็กน้อยซึ่งนอนเปิดพุงผึ่งลม ก็เห็นว่าเด็กน้อยกำลังให้บริการปลุกนางเจียงด้วยถังหูลู่มันวาวในมือ
จุ๊บ!
ต้าเป่าหอมแก้มนางเจียง
อีกครู่หนึ่ง
จุ๊บ! จุ๊บ!
เอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่าก็หอมอีกคนละครั้ง
เจ้าหญิงนิทราถูกเด็กน้อยทั้งสามหอมแก้มจนตื่น ลืมตาตื่นมาด้วยสีหน้ามึน(ตื่น)งง(เต้น)
“อาซู อรุณสวัสดิ์”
เสี่ยวเป่าพูด
“อาซู อรุณสวัสดิ์”
เอ้อร์เป่าพูด
ต้าเป่าพูดไม่ได้ แต่ต้าเป่าให้ถังหูลู่เป็นคนบอก เขายื่นถังหูลู่ให้นางเจียง
เนื่องจากอวี๋เซ่าชิงและเยี่ยนจิ่วเฉาต้องกลายมาเป็น ‘พ่อลูก’ กัน อวี๋หวั่นจึงให้ทั้งสามเปลี่ยนจาก ‘ท่านตา’ และ ‘ท่านยาย’ มาเป็น ‘ท่านปู่’ และ ‘ท่านย่า’
เมื่อเรียกอวี๋เซ่าชิง เสี่ยวเป่าและเอ้อร์เป่าก็เรียก ‘ท่านปู่’ อย่างว่าง่าย แต่เมื่อเรียกนางเจียง พวกเขากลับเรียกว่า ‘อาซู’
อวี๋เซ่าชิงหน้าดำคร่ำเครียด อาซูเป็นของเขานะ! เจ้าพวกเด็กอย่ามาเรียกพล่อยๆ นะ! แล้วก็มือของพวกเจ้า อย่ากอดมั่วซั่วสิ!
เด็กน้อยทั้งสามไม่เพียงกอด แต่ยังปีนขึ้นไปบนเตียง มุดเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วกอดนางเจียงซึ่งกำลังงัวเงีย
อวี๋เซ่าชิงโมโหจนเบ้ปาก พวกเจ้า พวกเจ้าทำอย่างนี้ประเดี๋ยวจะอดกินซาลาเปารูปหมู…
ในเดือนสิบ จวนตะวันออกได้รับข่าวใหญ่สองเรื่อง เรื่องแรกก็คือเยว่โกวและชิงเหยียนซึ่งเข้าไปในสำนักราชครูได้กลับจวนมาอย่างปลอดภัย พวกเขานำจดหมายซึ่งเกี่ยวกับนักบุญและหมอผีกลับมา จดหมายนั้นถูกบรรจุไว้ในกล่องซึ่งทำจากทองและกลไกติดอยู่
เรื่องที่สองก็คือกล่องใบนั้นถูกนำกลับมายังชีสยาย่วนแล้ว
อวี๋หวั่นรีบตามไปทันทีที่รู้ข่าว แต่กลับเห็นเพียงสองคน จึงอดสงสัยไม่ได้ “ทำไมพวกเจ้ากลับมาแค่สองคน? เจียงไห่กับอาเว่ยละ?”
ชิงเหยียนมีสีหน้าลำบากใจ “พวกเขายังอยู่ที่สำนักราชครู”
“ทำไมยังอยู่ที่สำนักราชครู?” อวี๋หวั่นถามอย่างไม่เข้าใจ
ชิงเหยียนถอนหายใจ กล่าวว่า “พวกเราหาในวั่นซูเก๋ออยู่นาน ในที่สุดก็หาของที่ต้องการพบ ระหว่างที่กำลังจะหลบหนีจากสำนักราชครู ก็ถูกศิษย์ในสำนักราชครูจับได้เสียก่อน ในตอนนั้นพวกข้าติดตั้งกลไกเรียบร้อยแล้ว เดิมทีคิดว่าจะออกมาด้วยกัน อยู่ๆ เจียงไห่ก็บอกว่าเขาจะหลอกล่อพวกนั้นเอง สุดท้ายก็หลอกล่อองครักษ์ออกไป”
อวี๋หวั่นลูบคาง “ฟังจากที่เจ้าพูด เจียงไห่ตั้งใจจะอยู่ที่นั่น?”
ชิงเหยียนพยักหน้า “ข้าสงสัยว่าอย่างนั้น ข้ารู้สึกมาตั้งแต่ที่วั่นซูเก๋อ พวกข้าล้วนแต่หาจดหมายพบแล้ว แต่เหมือนว่าเขากำลังหาของอื่นอยู่ด้วย หลังจากนั้นอาเว่ยก็ไปตามหาเขา และกลับไปยังสำนักราชครู”
ชิงเหยียนพูดมาถึงตรงนี้ ก็มองไปยังของในมืออวี๋หวั่น “กล่องนี้มีกลไกอยู่ ไม่อาจงัดออกได้ ไม่เช่นนั้นกลไกจะทำลายของด้านใน”
อวี๋หวั่นจำต้องล้มเลิกความคิดที่จะทำลายกล่องนี้ในทันที “เช่นนั้นต้องเปิดอย่างไร?”
“กุญแจ” ชิงเหยียนบอก
“แล้วกุญแจละ?” อวี๋หวั่นถาม
ชิงเหยียนชะงักไป “อยู่ที่อาเว่ย”
อวี๋หวั่น “…”
ชิงเหยียนกระแอม แล้วรีบบอกว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป เจียงไห่คล้ายกับจะคุ้นเคยกับที่สำนักราชครูเป็นอย่างดี อีกอย่างวรยุทธ์ของทั้งสองนับว่าไม่เลว คงไม่เป็นอะไรหรอก ข้ากับเยว่โกวนำของมาให้เจ้าก่อน แล้วจะกลับไปรับพวกเขา ทั้งคนทั้งกุญแจจะต้องกลับมาได้อย่างปลอดภัย”
อวี๋หวั่นพยักหน้า
“ช่วงที่พวกข้าไม่อยู่ ในจวนไม่ได้เกิดเรื่องขึ้นกระมัง?” ชิงเหยียนถาม
อวี๋หวั่นเล่าเรื่องของจวนตะวันออกและเรื่องของพ่อแม่เธอให้ชิงเหยียนและเยว่โกวฟัง
ทั้งสองไม่คิดว่าระหว่างที่พวกเขาไม่อยู่นั้นจะเกิดเรื่องใหญ่มากมายเช่นนี้ แน่นอนว่าเรื่องที่ไม่คาดคิดที่สุดก็คืออวี๋หวั่นจะเป็นหลานของสกุลเห้อเหลียน สกุลเห้อเหลียนจงรักภักดีมารุ่นสู่รุ่น ซื่อสัตย์ต่อราชสำนักและไม่เคยมีเรื่องแก่งแย่งชิงดี พวกเขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าผู้สืบสกุลเห้อเหลียนจะมาสมรสกับพระธิดาขององค์ประมุขแห่งหนานจ้าว
ทันใดนั้นเองชิงเหยียนก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าสีหน้าของเห้อเหลียนเป่ยหมิงหลังจากที่รู้ความจริงเป็นอย่างไร เขารู้สึกสนอกสนใจเหลือเกิน
หลังจากนั้นชิงเหยียนก็ถามถึงอาการป่วยของเยี่ยนจิ่วเฉา
“ควบคุมได้ดี คงไม่เป็นอะไรในระยะเวลาอันสั้น”
ชิงเหยียนรู้สึกวางใจ เมื่อนึกบางอย่างออก เขาก็พูดกับอวี๋หวั่นว่า “แม้ว่าเห็ดหลินจือแดงจะหายาก แต่ใต้หล้าก็ไม่ได้มีเพียงต้นเดียว เอาไว้พวกเราค่อยไปตามหา ตามหาเจอได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องกังวลใจ”
อวี๋หวั่นยิ้ม “อื้ม ตกลง”
ถึงแม้จะบอกว่าจะเป็นตัวยาสมุนไพรของเยี่ยนจิ่วเฉา แต่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนเสาะแสวงหากันมาด้วยความยากลำบาก เธอรู้สึกดีใจที่ทุกคนไม่ได้กล่าวโทษโกรธเคืองเพราะเรื่องนี้ มิหนำซ้ำยังปลอบเธอว่าไม่ต้องกังวลไป
“ไปละ” ชิงเหยียนยกมือขึ้น กำลังจะลูบศีรษะของอวี๋หวั่น ไหนเลยจะรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาเดินมาพอดี ชิงเหยียนชะงักไปครู่หนึ่ง มือของเขาเปลี่ยนทิศ แล้วหันไปลูบศีรษะของเยี่ยนจิ่วเฉาแทน
โอ้
จิ่วเฉาตัวน้อยศีรษะกลมๆ ผมก็นุ่ม
เยี่ยนจิ่วเฉาตวัดสายตามองเขาอย่างเย็นชา
ชิงเหยียนรีบหดมือกลับทันใด “อ้อ ข้าไปจริงๆ แล้ว ของนี่คือให้เจ้า”
เขาพูดพลางส่งกล่องอาวุธลับที่ชิงเหยียนให้มาให้เยี่ยนจิ่วเฉา พวกเขาคุ้นเคยกับสำนักราชครูแล้ว รู้ว่าจะลอบเข้าไปได้อย่างไร ชิงเหยียนและเยว่โกวมิได้รั้งอยู่ในจวนนาน พวกเขาหยิบอาวุธลับและยาไปเพิ่มเล็กน้อย จากนั้นจึงกลับสำนักราชครูไป
เรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่จะเกิดขึ้นในจวนตะวันออกก็คือวันเกิดของนางเจียง
ตามหลักแล้ว หากไม่ใช่อายุครบรอบทุกๆ สิบหรือสิบสองปี คนชนบทจะไม่ฉลองวันเกิด ทว่าอวี๋เซ่าชิงรักภรรยามาก เขาฉลองวันเกิดให้ภรรยาทุกปี ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้พลาดวันเกิดของภรรยาไปถึงหกปี เมื่อกลับมาเขาจึงทุ่มเทอย่างเต็มที่
อันที่จริงปลายเดือนจึงจะถึงวันเกิด แต่อวี๋เซ่าชิงเริ่มเตรียมการตั้งแต่ต้นเดือน ทันทีที่เขาลงมือ คนทั้งจวนตะวันออกก็รู้ทันทีว่าวันเกิดของฮูหยินรองได้ใกล้เข้ามาแล้ว
“วันไหนหรือ?” ในห้องหนังสือ เห้อเหลียนเป่ยหมิงเอ่ยถามอวี๋เซ่าชิงซึ่งกำลังก้มหน้าขะมักเขม้นอยู่ที่โต๊ะหนังสือ
อวี๋เซ่าชิงแค่นเสียงขึ้นจมูก “ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!”
สายตาของเห้อเหลียนเป่ยหมิงไปหยุดบนแผ่นกระดาษซึ่งเขียนว่าวันที่สามสิบ เขายกยิ้มมุมปาก “อื้ม ไม่บอกก็ไม่บอก”
จวนตะวันออกเริ่มง่วนกับการจัดงานวันเกิดของนางเจียง ฮูหยินผู้เฒ่าให้คนเปิดห้องเก็บของ นางโบกมือเบาๆ “นำของมีค่าออกมา! นำออกมาให้หมด!”
บ่าวมุมปากกระตุก นำออกมาก็ใช่อยู่หรอก แต่ทำไมคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าฟังดูแปลกๆ?
ก็เห็นอยู่ว่าเป็นสมบัติของบ้านตน เหตุใดจึงรู้สึกเหมือนนางกำลังมาปล้นอยู่กัน?
ฮูหยินผู้เฒ่าให้คนนำเงินทอง อัญมณี และภาพเขียนโบราณออกมาทั้งหมด จากนั้นก็เริ่มเลือกของขวัญให้ลูกสะใภ้ “อันนี้ อันนี้ อันนี้ อันนี้…”
“…” บ่าวต่างมองไปยังของขวัญซึ่งเพิ่มพูนมาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นพ่อบ้านของจวนตะวันออกก็กระวีกระวาดเข้ามา “ฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ มีเทียบเชิญมาจากวังหลวง”
“เทียบเชิญอะไร?” ฮูหยินผู้เฒ่ากอดลูกคิดทองคำเอาไว้ นางกำลังคิดว่าของเหล่านี้ไม่มากพอ ให้ของขวัญแก่ลูกสะใภ้ นางจะตระหนี่ถี่เหนียวไม่ได้
เมื่อพ่อบ้านเห็นท่าทีไม่ยี่หระของประมุขบ้านตน เขาร่ำไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “เทียบเชิญจากวังหลวงขอรับ ใกล้จะถึงวันเกิดของประมุขหญิงแล้วขอรับ องค์ประมุขทรงจัดงานเลี้ยง เชิญท่านและท่านแม่ทัพไปเข้าร่วมขอรับ”
“ข้าไม่ไป!” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวขึ้นทันควัน “นายท่านก็ห้ามไป!”
พ่อบ้านจึงย้ำว่า “เป็นวันเกิดของประมุขหญิง…”
ฮูหยินผู้เฒ่าตอบด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “วันเกิดนางแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า! ไม่ใช่ลูกหลานข้าสักหน่อย! ทำไม? คิดจะให้ข้าไปอวยพรวันเกิดนางรึ? ฝันไปเถอะ!”
นะ…นางไม่ใช่ลูกหลานของท่าน แต่นางเป็นประมุขหญิงรัชทายาทแห่งหนานจ้าว เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป…
พ่อบ้านถึงกับเหงื่อตกเพราะฮูหยินผู้เฒ่าบ้านตน เอาเถิด ฮูหยินผู้เฒ่าสติฟั่นเฟือน นางคงไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้สำคัญเพียงใด สกุลเห้อเหลียนแทบไม่ได้ไปมาหาสู่กับจวนประมุขหญิงก็จริง แต่ในเมื่อประมุขหญิงส่งเทียบเชิญมา ก็ต้องไว้หน้านางสักหน่อย
พ่อบ้านตัดสินใจไปหาแม่ทัพใหญ่
เห้อเหลียนเป่ยหมิงอยู่ในเรือน พ่อบ้านจึงเล่าเรื่องเทียบเชิญเขาฟัง “…ไม่ใช่วันเกิดครบรอบ ตามหลักแล้วไม่จำเป็นต้องฉลอง แต่ใครให้ฝ่าบาททรงรักนางมากเล่าขอรับ? ทว่างานเลี้ยงนี้ไม่ได้ประกาศออกไป เป็นการจัดงานในวัง ผู้ที่เข้าร่วมก็มีเพียงราชนิกุล ในบรรดาขุนนางมีเพียงที่นี่ขอรับ”
นับเป็นเกียรติของสกุลเห้อเหลียนเหลือเกินที่สามารถเทียบชั้นกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ได้
พ่อบ้านคิดว่าแม่ทัพใหญ่ย่อมมีเหตุผลมากกว่าฮูหยินผู้เฒ่า และสามารถคิดสะระตะถึงผลดีและผลเสียได้ ไหนเลยจะรู้ว่าแม่ทัพใหญ่จะตอบเพียง ‘อืม’ เบาๆ แล้วบอกว่า “เข้าใจแล้ว เจ้าไปบอกพวกเขาเถิดว่าข้ากับฮูหยินผู้เฒ่าไปไม่ได้”
พ่อบ้าตกใจจนอ้าปากค้าง “หา…”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “หาอะไร? ข้ากับฮูหยินต้องฉลองวันเกิดคนที่บ้าน ยังต้องรักษาหน้าราชวงศ์ด้วยหรือ? สกุลเห้อเหลียนมาอยู่จุดนี้ได้ ไม่ใช่เพราะราชวงศ์ ตอนที่ข้าเลือดตกยางออกอยู่ในสนามรบ วังหลวงยังไม่เคยเรียกข้าไปร่วมงานเลี้ยงด้วยซ้ำ ตอนนี้ข้าก็ไม่จำเป็นต้องไป”
……………………………