หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 250 ใต้หล้ารู้กันทั่ว
“เป็นไปได้อย่างไร? เสด็จพ่อไม่เชื่อลูกหรือเพคะ?” ประมุขหญิงไม่ยอมรับ
การยอมรับนั้นเป็นเพียงประโยคหนึ่งเท่านั้น แต่บางคนไม่ถึงฮวงโหไม่ยอมเลิกรา ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
ประมุขหญิงมองไปยังสายตาแข็งกร้าวขององค์ประมุข แล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อจะไม่เชื่อลูกก็ได้ แต่เสด็จพ่อไม่เชื่อตนเองหรือเพคะ? ในปีนั้นที่ตำหนักไท่ชู เสด็จพ่อและเหล่าเชื้อพระวงศ์ก็เห็นกับตาว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยอมรับข้าเป็นเจ้านาย ข้าทำให้ไข่มุกพิษส่องสว่างได้ทั้งหมด”
ในตอนนั้นเป็นเช่นนั้นจริง เพียงแต่สิ่งที่ยอมรับนางเป็นเจ้านายไม่ใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นราชันพันสัตว์พิษตัวหนึ่งก็เท่านั้น เพื่อที่จะเพิ่มกลิ่นของราชันพันสัตว์พิษให้แข็งแกร่งขึ้น ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งให้ยาแก่ราชันพันสัตว์พิษ แม้ว่าจะสามารถปลดปล่อยกลิ่นที่เหมือนกับกลิ่นของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ แต่ก็ในช่วงเวลาอันสั้น เมื่อผ่านไปได้ไม่นาน ราชันพันสัตว์พิษก็หมดแรงและสิ้นใจตาย
เพียงแต่ว่าไม่มีผู้ใดตามสืบเรื่องนี้
หลังจากนั้นประมุขหญิงก็ไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ เหตุผลประการแรกคือเพื่อให้ทุกคนเชื่อนางอย่างสนิทใจ เหตุผลประการที่สองก็เพราะคนน้อยนักที่จะสามารถจำแนกกลิ่นของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้ แม้แต่ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งก็ยังทำไม่ได้
ราชครูสามารถทำได้ แต่ราชครูก็เป็นคนของจวนประมุขหญิง เชื่อว่าเรื่องนี้คงไม่มีผู้ใดคาดคิด
ด้วยเหตุผลสองประการนี้ คำโกหกสามารถหลอกลวงผู้คนมาได้อย่างแนบเนียน จวบจนวันนี้ กลับเกิดเรื่องประหลาดขึ้นกับประมุขหญิงผู้เป็นรัชทายาท
ประมุขหญิงคว้ามือขององค์ประมุขเอาไว้ แล้วกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “เสด็จพ่อเชื่อข้านะเพคะ มีคนขโมยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปจากข้าจริงๆ”
“โดยเข้าไปในจวนประมุขหญิงน่ะหรือ?” องค์ประมุขตรัสถาม
ประมุขหญิงพยักหน้าด้วยความจริงใจ “เพคะ การอารักขาของจวนประมุขหญิงมิได้ไร้ช่องโหว่”
องค์ประมุขตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ต่อให้เป็นเช่นนั้น เจ้ากำลังหมายความว่า หนานจ้าวมีปรมาจารย์พิษเทพปรากฏตัวขึ้นหรือ?”
ประมุขหญิงพูดไม่ออก
ปรมาจารย์พิษอาวุโสสิบจั้ง ปรมาจารย์พิษเทพร้อยจั้ง หมายความว่าพลังของปรมาจารย์พิษเทพ นั้นเหนือกว่าปรมาจารย์พิษอาวุโสไปอีก แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาณาจักรหนานจ้าวนั้นไม่เคยมีปรมาจารย์พิษเทพปรากฏกายมาก่อน ว่ากันว่าในเผ่าปีศาจเคยมี แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน
เมื่อครู่ประมุขหญิงก็พูดเพียงแก้ต่าง โดยที่ลืมไปว่าราชันหมื่นสัตว์พิษควบคุมได้ยากเพียงใด
หากไม่ได้เป็นเช่นนั้น เหตุใดเผ่าปีศาจจึงยอมมอบราชันหมื่นสัตว์พิษให้พวกเขาเล่า? คนในเผ่าปีศาจต่างไม่สามารถควบคุมมันได้ เก็บเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์ มิสู้นำไปแลกเปลี่ยนกับหนานจ้าว และได้พระธิดาที่งดงามดุจบุปผาชาติมาคนหนึ่งไม่ดีกว่าหรือ?
“ข้าไม่รู้ ข้าไม่เคยพบเขา” ต่อให้ปรมาจารย์พิษเทพจะฟังดูเป็นไปไม่ได้เสียยิ่งกว่าฝนตกมาเป็นมีดเสียอีก แต่นางก็ยังดึงดันไม่บอกว่าสัตว์พิษไม่ยอมรับนางเป็นเจ้านาย สรุปแล้วก็คือหากนางไม่หลุดปากไป องค์ประมุขย่อมปราศจากหลักฐาน
บรรยากาศในห้องแปรเปลี่ยนไปเป็นความอึดอัด
องค์ประมุขเหลือบมองธิดาของตน
ประมุขหญิงรู้ว่าเสด็จพ่อไม่มีทางเชื่อตนง่ายๆ แต่ทั้งเรื่อง นี้มีเพียงเสด็จพ่อที่รู้สึกเหลือเชื่อคนเดียวหรืออย่างไร? นางเองก็ยังงุนงงอยู่ว่าหัวขโมยผู้ไม่รักตัวกลัวตายที่ไหนกล้าเข้ามาขโมยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของนาง
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้รับการอารักขาเป็นอย่างดีของประมุขหญิงหายไป หากแพร่งพรายออกไป ผู้ใดจะเชื่อ?
เมื่อเห็นว่าดวงตาของบิดาดูเย็นชายิ่งกว่าเดิม ฮองเฮาก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่า “ลูกบอกว่าถูกขโมยไป เหตุใดท่านไม่เชื่อ ข้าอยู่ตรงนั้น ข้าเองก็เห็น สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นของเยี่ยนเอ๋อร์ เยี่ยนเอ๋อร์เป็นผู้กำหนดโชคชะตา หรือว่าท่านไม่รักเยี่ยนเอ๋อร์แล้ว?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” องค์ประมุขเลิกคิ้ว แล้วตรัสกับฮองเฮาอย่างอ่อนโยนว่า “เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้าย่อมต้องถามจนกระจ่าง เพื่อนำไปอธิบายให้แขกเหรื่อในงานเข้าใจ”
อธิบายเรื่องอะไร
อธิบายว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของประมุขหญิงได้ถูกขโมยไป ประมุขหญิงปิดบังพวกเขา จนวันนี้ความลับถึงจะถูกเปิดเผยอย่างนั้นหรือ?
องค์ประมุขปวดเศียรเวียนเกล้าเหลือเกิน
โชคดีที่เป็นธิดาของฮองเฮา หากเป็นตัวกาลกิณีที่เกิดจากครรภ์ของอวิ๋นเฟยละก็ องค์ประมุขคงจะไม่พูดพร่ำทำเพลง พระราชทานโทษประหารฐานหลอกลวงเบื้องสูงทันที!
ฮองเฮากอดบุตรสาวเอาไว้ แล้วมองไปยังองค์ประมุข
องค์ประมุขถอนหายใจด้วยความใจอ่อน “รู้แล้ว ข้าจัดการได้”
ความหมายก็คือเขายินดีที่จะปกป้องนาง ประมุขหญิงยังไม่มั่นใจว่าเสด็จพ่อเชื่อนางแล้วหรือยัง แต่นางคิดว่าตราบใดที่นางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านแม่ เสด็จพ่อไม่มีทางทำร้ายนางได้ลงคอ
คืนนี้ ประมุขหญิงนอนในห้องของฮองเฮา
ประมุขหญิงนอนไม่ค่อยหลับ กระสับกระส่ายทั้งคืน
ฮองเฮาแตะมือของนาง “อย่าได้กังวลไป เสด็จพ่อจัดการเรื่องนี้ได้”
“ขอบคุณเพคะเสด็จแม่” ประมุขหญิงตอบ
“เด็กโง่ ขอบคุณแม่ทำไม” ฮองเฮาถามด้วยความเอ็นดู
ประมุขหญิงจ้องมองเข้าไปในดวงตาอันอ่อนโยนคู่นั้น “เสด็จพ่อรักลูกก็เพราะเสด็จแม่ ลูกจึงต้องขอบคุณท่านเสด็จแม่”
ฮองเฮายิ้ม “เหลวไหล เสด็จพ่อรักเจ้า เหตุผลแรกก็เพราะเจ้าเป็นลูกของเขา เหตุผลอื่นนั้นเป็นเรื่องรอง”
ประมุขหญิงโน้มเข้าหาอ้อมกอดของมารดา “เป็นวาสนาของลูกเหลือเกินที่ได้เป็นลูกของเสด็จแม่”
สุดท้ายแล้วเรื่องที่ประมุขหญิงถูกหนอนพิษก็แพร่สะพัดออกไป อย่างไรเสียแขกเหรื่อที่มาร่วมงานก็มีมาก คนมากก็ยิ่งพูดกันไปสารพัด องค์ประมุขยังมิทันได้มีรับสั่ง ข่าวนี้ก็กระจายออกไปเป็นวงกว้าง แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าวิจารณ์ประมุขหญิง พวกเขาเพียงแต่ฉงนใจว่าประมุขหญิงถูกหนอนพิษกัดจริงหรือไม่ และเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
“ประมุขหญิงโดนหนอนพิษจริง” องค์ประมุขเอ่ยขึ้นในท้องพระโรง
ผู้คนล้วนแต่ตื่นตะลึง ประมุขหญิงไม่ได้มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ เหตุใดจึงโดนหนอนพิษเล่นงานเข้าได้?
องค์ประมุขแถลงไขว่า “สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมยไป”
ทั้งท้องพระโรงหายใจเฮือกด้วยตวามตื่นตะลึง!
องค์ประมุขกล่าวต่อ “วันแรกที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์หายไป ประมุขหญิงเข้าวังมาสารภาพกับข้าแล้ว แต่ข้ารอให้สืบสาวราวเรื่องเสียก่อนแล้วค่อยประกาศออกไป ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เป็นความผิดของข้าเอง”
พระองค์แบกรับความผิดไว้กับตน เหล่าขุนนางต่างไม่รู้ว่าควรพูดว่าอย่างไร พวกเขาต่างรู้ว่าเป็นความผิดของประมุขหญิง แต่เห็นแก่พระพักตร์ของพระองค์ จึงไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวโทษประมุขหญิงมากนัก
เพียงแต่พวกเขายังไม่เข้าใจว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หายไปได้อย่างไร หากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ได้ยอมรับเจ้านายก็ว่าไปอย่าง แต่เมื่อยอมรับเจ้านายไปแล้ว มันจะไม่จากไปง่ายๆ อย่างแน่นอน
องค์ประมุขเดาความเคลือบแคลงของพวกเขาได้ไม่ยาก อย่างไรเสียสิ่งที่พระองค์ได้ยินมาก็ไม่ต่างกับคนอื่นๆ และคิดว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือพระองค์กล้าสงสัยในตัวประมุขหญิง แต่พวกเขาไม่กล้า
กล่าวโทษตนเองไปครั้งหนึ่งก็เพียงพอแล้ว องค์ประมุขไม่อาจทำเช่นนี้เป็นครั้งที่สอง พระองค์จึงตรัสอย่างแข็งกร้าวว่า “ประมุขหญิงไม่ได้รักษาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้ดี จะโทษใครอื่นไม่ได้ แต่หัวขโมยที่ลักลอบเข้ามาในจวนนั้นเป็นต้นเหตุ ข้าจะลงโทษประมุขหญิง แต่ก็จะตามจับหัวขโมยนั้นให้ได้ด้วย”
“แต่ว่า…” อ๋องคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้น แม้ว่าอายุของเขาจะรุ่นราวคราวเดียวกับองค์ประมุข แต่เมื่อนับตามลำดับเครือญาติแล้ว องค์ประมุขกลับต้องเรียกเขาว่าท่านอา
เขากล่าวว่า “ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีผู้ใดสามารถขโมยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จากประมุขหญิงได้เล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
องค์ประมุขตอบอย่างไม่เป็นทุกข์ร้อนว่า “ก่อนหน้านี้ไม่มี ทว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปมีแล้ว”
“ผู้ที่สามารถแตะต้องสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้ ต้องเป็นปรมาจารย์พิษระดับใดกัน?”
“ได้ยินว่าไม่นานมานี้มีปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้งปรากฏกายขึ้นในตำหนักพิษ…”
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่เทียบได้กับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำหนักพิษไม่ใช่หรือ? ปรมาจารย์พิษอาวุโสเกรงว่าจะ…”
องค์ประมุขมิได้แถลงไขให้กระจ่าง จึงไม่อาจหยุดยั้งคำวิจารณ์ลับหลังของผู้คนได้ แม้ว่ายากที่จะเชื่อ แต่ผู้คนต่างก็
ไม่กล้ากล่าวโทษองค์ประมุขและประมุขหญิง พวกเขาทำได้เพียงฝืนใจยอมรับการคาดเดาที่น่าหัวร่อขององค์ประมุขก็เท่านั้น
สิ่งที่องค์ประมุขสนใจกว่าตัวสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่หายไปก็คือผู้ที่ลักลอบเข้าไปขโมยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในจวนประมุขหญิง และผู้ที่ลักลอบเข้ามาปล่อยหนอนพิษใส่ประมุขหญิง
ดูเหมือนว่าคนร้ายจะแข็งแกร่งจนน่ากลัว
ณ จวนสกุลเห้อเหลียน เด็กน้อยผู้ซึ่ง ‘แข็งแกร่งจนน่ากลัว’ ไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วจึงขึ้นไปนอนบนเตียงนุ่ม พวกเขาผึ่งพุงไปพลาง ดื่มนมจากขวดไปพลาง…
วันต่อมา ข่าวใหญ่สั่นสะเทือนใต้หล้าได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมยไป องค์ประมุขตั้งรางวัลนำจับหัวขโมยเป็นทองคำหนึ่งหมื่นตำลึง
เมื่อข่าวนี้มาถึงจวนสกุลเห้อเหลียน อวี๋หวั่นกำลังนั่งพิจารณากล่องที่ชิงเหยียนและเยว่โกวนำกลับมา เป็นเพียงกล่องธรรมดาไม่สะดุดตา จะซ่อนกลไกอันซับซ้อนอย่างที่ชิงเหยียนบอกจริงหรือ?
ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังแกะกล่องอยู่นั้น ชุยเฒ่าก็เดินแทะน่องไก่เข้ามา
“นางหนู เกิดเรื่องแล้ว อยากฟังไหมว่าเรื่องอะไร?” ชุยเฒ่ายิ้มกรุ้มกริ่มคล้ายกับว่ากำลังมีความสุขบนหายนะของผู้อื่น
อวี๋หวั่นส่ายหน้า “ดูท่าทางของท่านแล้วน่าจะไม่ใช่เรื่องดี ข้าไม่ฟังก็แล้วกัน”
“นี่! อย่ามาใส่ความข้าแบบนี้นะ จะไม่ใช่เรื่องดีได้ยังไงละ? ข้าดูเหมือนคนที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?” ชุยเฒ่าถลึงตาใส่อวี๋หวั่น จากนั้นก็เริ่มออกท่าออกทางเล่าเรื่อง “ประมุขหญิงทำสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หาย! องค์ประมุขให้นางปิดประตูทบทวนตนเองสามเดือน!”
อวี๋หวั่นมองเขาด้วยสีหน้าประหลาด “ประมุขหญิงถูกลงโทษแล้วเกี่ยวอะไรกับท่าน ท่านดีใจทำไม”
ข้าไม่ได้ดีใจเพราะตัวเองหรอก แต่ดีใจแทนเจ้ากับเสี่ยวเจียงต่างหากเล่า! พ่อก็คนเดียวกัน เอาอะไรมาบอกว่านางเป็นดาวนำโชค แล้วเสี่ยวเจียงเป็นหมาหัวเน่า?
อาม่าเหลือบมองชุยเฒ่า เรื่องชาติกำเนิดของตี้จีองค์โตเป็นความลับของครอบครัวอาเว่ย แน่นอนว่าเยี่ยนจิ่วเฉาก็รู้เช่นกัน เพียงแต่ครอบครัวอาเว่ยไม่รู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉารู้ สรุปว่าเรื่องนี้ไม่ควรพูดออกไป ทว่าตั้งแต่อาม่าเป็นเพื่อนกับชุยเฒ่าตอนชมการแสดง อาม่าก็ได้หลุดปากพูดออกไป…
ชุยเฒ่ากระแอม “ที่เจ้าพูดก็ถูก ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
อวี๋หวั่นยักไหล่ “นั่นสิ ท่านแม่ข้าไม่ได้เป็นประมุขหญิงอีกคนสักหน่อย ใช่ไหมละ?”
อาม่าแทบสำลักน้ำชาที่ดื่ม
…………………………………..