หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 251 มาเยือนถึงบ้าน
วันรุ่งขึ้น ประมุขหญิงผู้ซึ่งค้างคืนในวังหลวงก็ได้เดินทางกลับจวน เมื่อหวนนึกถึงเรื่องน่าหัวร่อที่เกิดขึ้นท่ามกลางสายตาผู้คน นางก็โมโหจนปวดหนึบที่หน้าอก โทสะที่หลงเหลืออยู่ระคนกับความกระดากใจ อายุก็ไม่ใช่น้อย แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำเรื่องขายหน้ามาก่อน ผู้ใดปองร้ายนางกัน?
ประกาศจากวังหลวงเผยแพร่ออกไปแล้ว เนื่องจากไม่รู้ว่าผู้ที่ขโมยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปนั้นเป็นคนเดียวกับผู้ที่ปล่อยหนอนพิษใส่ประมุขหญิงหรือไม่ เพราะฉะนั้นรางวัลนำจับจึงแบ่งเป็นคนละส่วน ทางวังหลวงคาดว่าคนร้ายในกรณีแรกคือปรมาจารย์พิษเทพ ในจุดนี้ประมุขหญิงไม่เห็นด้วย ความจริงเป็นอย่างไร นางรู้ดียิ่งกว่าผู้ใด สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บสมบัติก็เท่านั้น ขอเพียงมีวรยุทธ์สูงพอ ก็สามารถหลบหลีกสายตาขององครักษ์ไปได้ มิจำเป็นต้องมีความข้องเกี่ยวกับวิชาพิษแต่อย่างใด
ส่วนคนร้ายในคดีที่สองนั้น การคาดเดาของวังหลวงบังเอิญตรงกับการคาดเดาของประมุขหญิง การอารักขาของวังหลวงนั้นแน่นหนากว่าในจวนประมุขหญิง สามารถลักลอบเข้าถึงมงกุฏหงส์ขององค์ประมุขและฮองเฮาได้นั้น วิชาตัวเบาของเขาย่อมต้องแตะระดับสุดยอดแล้ว กว่าฝึกฝนวิชาตัวเบาถึงระดับนี้และใช้จนชำนาญได้นั้น ต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบกว่าปี และผู้ที่ฝึกวิชามาเป็นเวลานานเช่นนี้ มักจะมีร่างกายกำยำล่ำสัน
เมืองหลวงเริ่มตั้งป้อมยามไปทั่ว และเริ่มสืบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ใกล้ๆ ร้านขายถังหูลู่ก็มีองครักษ์มาจับกุมคนไปสอบสวน
เด็กน้อยทั้งสามนั่งกินถังหูลู่อยู่ด้านข้าง มองพวกเขาด้วยใบหน้าบ้องแบ๊ว
พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ได้เกี่ยวกับพวกเขาสักหน่อย ใช่ไหมเล่า?
“หลีกไปๆ กำลังสืบสวนคดี! ลูกหลานบ้านไหนเนี่ย! อย่าทำให้การจับกุมคนร้ายของพวกข้าล่าช้า!” องครักษ์ไล่
เด็กๆ ออกไปให้พ้นทาง
วันนี้ฝูหลิงและจื่อซูเป็นคนพาพวกเขาออกมา
ทั้งสองกลัวว่าเด็กน้อยทั้งสามจะถูกฝูงชนเบียดได้ จึงรีบจูงพวกเขาเดินออกไป
คนร้ายที่ปล่อยหนอนพิษใส่ประมุขหญิงได้หลบหนีไปต่อหน้าต่อตาเหล่าองครักษ์แล้ว!
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม รถม้าก็มาถึงจวนประมุขหญิง ประมุขหญิงก้าวลงจากรถม้าด้วยสีหน้าอ่อนล้า
นางกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืน พยายามคิดหาหนทางกู้หน้าและเกียรติยศของตนมากลับมา ถูกกักบริเวณนั้นเป็นเรื่องเล็ก จะกู้หน้าและนำสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาอย่างไรนี่สิจึงจะเป็นเรื่องใหญ่ ครั้นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมยไป พวกเขาพบได้ทัน และตามไปถึงต้าโจว ทว่าหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็อันตรธานไปกับสายลม
เรื่องนี้ไม่สามารถสืบหาอย่างเปิดเผย นางจำต้องใช้จอมยุทธ์จากยุทธจักรในต้าโจว โชคดีที่จอมยุทธ์เหล่านี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง และตามหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จนพบ น่าเสียดายที่เจ้าคนที่ชื่ออวี้จื่อกุยนั่นทำสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หายไป
หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อีก
นางไม่กลัวที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์หายไป ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตามหาคนพบ ที่กลัวก็คือมันยอมรับเจ้านายไปแล้ว…
ราชันสัตว์พิษอย่างสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้น ชั่วชีวิตจะยอมรับเจ้าของเพียงคนเดียว หากมันยอมรับเจ้านายไปแล้ว เห็นทีคำโกหกที่ว่าตนถูกมันยอมรับเป็นเจ้านายไปแล้วก็คงถูกเปิดโปง
ประมุขหญิงส่ายหน้า เป็นไปไม่ได้ หากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยอมรับเจ้านายสุ่มสี่สุ่มห้า นางจะมาทุ่มเทตามหามันเพื่ออะไร?
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ต้องรอนางอยู่ที่ใดสักแห่ง เจ้าของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์คือนางเพียงคนเดียว!
ขณะที่กำลังอยู่ในห้วงความคิด นางก็เดินมาถึงหลิวกวงเก๋อ
ประมุขหญิงยั้งความคิดของตนชั่วขณะ กดลงบนหว่างคิ้วเบาๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าปกติ
ราชบุตรเขยนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทอดมองไปยังหมู่บุปผาในสวนด้านนอก
ประมุขหญิงเดินเข้าไป “ราชบุตรเขย”
ราชบุตรเขยหันหน้ากลับมา กล่าวว่า “เจ้ากลับมาแล้ว”
เขาดูไร้ชีวิตชีวา
ประมุขหญิงนั่งลงข้างเขา ก้มหน้าลงแล้วกล่าวว่า “เรื่องเมื่อวาน”
ราชบุตรเขยพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว เจ้าถูกคนปล่อยหนอนพิษใส่”
“น่าขายหน้าเหลือเกินใช่ไหม?” ประมุขหญิงเอ่ยถามอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” ราชบุตรเขยบอก
ประมุขหญิงเห็นท่าทางเข้าอกเข้าใจของราชบุตรเขย จึงไม่รู้ว่าควรตอบว่าอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง นางลองคิดว่าหากผู้ที่ถูกปล่อยหนอนพิษใส่คือราชบุตรเขย นางจะทำอย่างไร? นางจะรู้สึกอับอายจนบังเกิดโทสะ หรือนางจะสั่งประหารเขา ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางสงบสติอารมณ์อย่างราชบุตรเขยได้
ราชบุตรเขยมิได้สนใจว่าจะขายหน้า หรือว่าในใจของเขาไม่ได้ใส่ใจนางกันแน่?
“ราชบุตรเขย?” นางค่อยๆ โน้มกายหาลาดไหล่ของเขา “ท่านเป็นห่วงข้าหรือไม่?”
ราชบุตรเขยหยุดคิดชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วตอบว่า “เป็นห่วงสิ”
ประมุขหญิงจึงบอกว่า “เช่นนั้นท่านกอดข้าหน่อย”
ราชบุตรเขยกอดนาง
ประมุขหญิงสูดดมกลิ่นกายของบุรุษผู้นี้ และรู้สึกว่าความรู้สึกหดหู่ในใจลดลง ไม่ว่านางจะสูญเสียสิ่งใดไป อย่างน้อยก็ยังต้องมีเขาอยู่ นางเกิดมาเป็นประมุขหญิง ราชวงศ์ก็ควรจะเป็นของนาง นี่เป็นเรื่องที่สมควร และยังเป็นความรับผิดชอบที่นางไม่อาจผลักไส ต่างกับบุรุษผู้นี้ นางได้เขามาด้วยความยากลำบาก หัวใจดวงนี้ของนางมอบให้เขาไปแล้ว
“ราชบุตรเขย ท่านจะหนีข้าไปไหม?”
“ไม่” เขาตอบด้วยรอยยิ้ม
ประมุขหญิงหลับตาลงอย่างพึงพอใจ “เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
ต่อให้เผชิญกับความลำบากกว่านี้ ขอเพียงมีเขาอยู่ข้างกาย นางก็จะกัดฟันสู้ต่อไป
……
ประมุขหญิงไม่ได้อธิบายว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในต้าโจว ก่อนหน้านี้ในพิธีสมรสของเฉิงอ๋องและองค์หญิงซยงหนู องค์ประมุขไม่ได้รับเทียบเชิญ เดิมทีก็มิใช่เรื่องใหญ่ เป็นประมุขหญิงที่ออกตัวให้ส่งคนไปต้าโจว ด้านหนึ่งก็เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับต้าโจว อีกด้านหนึ่งก็เพื่อสืบเรื่องความร่วมมือระหว่างต้าโจวและซยงหนู เพื่อที่จะปกปิดแผนการของตน ประมุขหญิงจึงเสนอให้ราชทูตซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับตนเดินทางไปต้าโจว
เรื่องนี้ หากองค์ประมุขรู้ว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในต้าโจวตั้งแต่แรก ก็คงเดาได้ไม่ยากว่าที่ประมุขหญิงมีแผนการไปเยือนต้าโจวนั้นเป็นเรื่องโกหก แต่ไปเพื่อตามหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเรื่องจริง และหากไม่นับบรรดาราชทูตซึ่งไม่ลงรอยกับประมุขหญิงแล้ว ความสัมพันธ์ของประมุขหญิงและราชครูก็คงถึงคราถูกเปิดเผย
ในเมื่อประมุขหญิงไม่พูด องค์ประมุขย่อมคิดว่าคนร้ายที่ขโมยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปนั้นยังอยู่ในพื้นที่ควบคุมของเมืองหลวง และเมื่อเป็นเช่นนี้ องค์ประมุขก็ทำได้เพียงพึ่งโชคเท่านั้น
องค์ประมุขส่งทั้งศิษย์ในสำนักราชครู องครักษ์ของราชวงศ์ และปรมาจารย์พิษ ให้พวกเขาถือไข่มุกพิษไปตรวจตราตามบ้านต่างๆ
และแล้วก็มาถึงคราของสกุลเห้อเหลียน
ผู้ที่มาคือองครักษ์ของราชวงศ์และลูกศิษย์ของสำนักราชครู พวกเขาสำรวจจากด้านหลังเข้ามา เริ่มจากเคาะประตูใหญ่ของจวนตะวันตก
นางหลี่รักษาตัวอยู่ในห้อง ผู้ที่จำต้องรับมือกับลูกศิษย์สำนักราชครูคือสองพี่น้องสกุลเห้อเหลียน
เห้อเหลียนเฉิงขมวดคิ้ว “ใครให้พวกเจ้ามา? ไม่รู้หรือว่านี่เป็นจวนเทพสงคราม? พวกเราจะไปขโมยของได้อย่างไร?”
ศิษย์คนหนึ่งตอบว่า “นี่เป็นรับสั่งจากองค์ประมุข ไม่ว่าจะเป็นจวนของผู้ใด ล้วนต้องถูกตรวจสอบ คุณชายช่วยไปเรียกคนในจวนมาทั้งหมดด้วย”
“ให้ไปเรียกก็ต้องเรียกหรือ?” ช่วงนี้เห้อเหลียนเฉิงอารมณ์ไม่ดี ทั้งยังไร้ที่ระบายโทสะ ศิษย์สำนักราชครูกลับไปกระตุ้นโทสะของเขาเพิ่มขึ้นอีก
ทว่าสิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ ทันทีที่พูดจบ องครักษ์จากวังหลวงด้านหลังศิษย์สำนักราชครูก็เข้ามาจับเขา และกดเขาลงบนพื้น
ลูกศิษย์บอกกับเห้อเหลียนอวี่ว่า “เวลากระชั้นนัก โปรดให้ความร่วมมือด้วย”
เห้อเหลียนอวี่เห็นว่าอีกฝ่ายโอหังไร้ความเกรงใจเช่นนี้ จึงไม่กล้ามากความ เรียกคนจวนตะวันตกทั้งหมดไปรวมกันที่โถงบุปผา แม้แต่นางหลี่ซึ่งนอนป่วยอยู่ก็ไปเช่นกัน
พวกเขาไม่เพียงตรวจสอบคน แต่ยังตรวจค้นทั้งจวน ผลคือไม่พบสิ่งผิดปกติ จวนตะวันตกจึงรอดพ้นไป
“หึ! บอกแล้วว่าไม่มี!” เห้อเหลียนเฉิงกลอกตาใส่
“ฝั่งนั้นคือ…” ลูกศิษย์ชี้ไปยังเรือนอีกหลังซึ่งมีสวนดอกไม้กั้นกลาง
เห้อเหลียนเฉิงแค่นเสียงขึ้นจมูก “นั่นคือจวนตะวันออก! ท่านลุงใหญ่อยู่ที่นั่น! พวกเจ้ากล้าค้นรึ!”
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กล้าหรือไม่กล้า แต่นี่เป็นบัญชาขององค์ประมุข ต้องพลิกหาทุกตารางนิ้วในเมืองหลวง
เพื่อแสดงความเคารพและให้เกียรติ พวกเขาเดินอ้อมไปยังประตูใหญ่ของจวนตะวันออก
“ไอหยาแย่แล้ว!”
อวี๋หวั่นกำลังตากสมุนไพรอยู่ในชีสยาย่วน ชุยเฒ่าก็วิ่งหัวหกก้นขวิดเข้ามา
“อะไรแย่อีก?” อวี๋หวั่นนำรากซันชีที่หั่นเสร็จแล้วไปตากในกระจาก
ชุยเฒ่าเห็นท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของอวี๋หวั่น ก็พลันรู้สึกกระวนกระวายแทนเธอ เขาคว้าแขนของเธอไว้ “เจ้าไม่ต้องตากสมุนไพรแล้ว! รีบไปหาที่หลบก่อน! คนพวกนั้นมาค้นจวนแล้ว!”
“คนพวกไหน?” อวี๋หวั่นถาม
ชุยเฒ่ารู้สึกร้อนรน “คนที่มาตามหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไงเล่า! สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อยู่ที่เจ้าหรอกหรือ?”
“ท่านรู้ได้อย่างไร?” เรื่องสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เธอบอกเพียงครอบครัวอาเว่ย ไม่ได้บอกกับชุยเฒ่านี่นา
“อะแฮ่ม ” ชุยเฒ่ากระแอม
อาม่าผู้เงียบขรึม แต่กลับแอบชื่นชอบการแสดง เพื่อที่จะฟังชุยเฒ่าเล่าเรื่องให้ฟัง จึงไม่ทันระวัง หลุดปากเรื่องอวี๋หวั่นออกไป…
ชุยเฒ่ารับปากอาม่าว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ยังไม่ทันไรอาม่าก็ถูกแฉเสียแล้ว
“อาม่าสินะ” อวี๋หวั่นเดาได้ ใบหน้าถอดสีเล็กน้อย
ชุยเฒ่าย่ำเท้าด้วยความร้อนใจ “ไอๆๆๆ หยาา! ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องนี้ เจ้ารีบไปซ่อนก่อนเร็ว หากพวกเขารู้ว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่เจ้า เจ้าจบเห่แน่!”
น่าเสียดายที่สายไปแล้ว ขณะที่ชุยเฒ่าลากอวี๋หวั่นออกจากเรือน ก็พบกับศิษย์จากสำนักราชครูทั้งสองคนซึ่งพ่อบ้านพาเข้ามาเสียแล้ว
……………………………………..