หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 252 ทวดหลานพานพบ
ชุยเฒ่ายกมือขึ้นปิดตา จบกัน เรื่องใหญ่แล้ว…
ครานี้พวกเขาหลบไม่พ้นแล้ว
หากองค์ประมุขรู้ว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นางหนู จะเกิดเรื่องเลวร้ายขนาดไหนก็คงเดาได้
เมื่อถึงตอนนั้น การถูกขับออกจากหนานจ้าวก็จะเป็นเพียงเรื่องเล็ก แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือองค์ประมุขอาจทรงกริ้วจนลงมือจัดการกับสองแม่ลูกที่ ‘กลับหนานจ้าว’ มาโดยพลการ
ในช่วงเวลาอันสั้น ความคิดมหาศาลผุดขึ้นในสมองของชุยเฒ่า
จนเขาได้ยินเสียงเรียกด้วยความตกใจดังขึ้นจากด้านข้าง “หวั่นเฟิง?”
หัวหน้าลูกศิษย์จากสำนักราชครูชะงัก เขาเบิกตาโพลง มองไปยังสตรีตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ “เป็น…เป็นท่าน?”
ชุยเฒ่าปล่อยมือ แล้วมองไปยังทั้งสอง
เกิดอะไรขึ้น?
อะไรเฟิงนะ?
พวกเจ้ารู้จักกันหรือ?
หวั่นเฟิงเหลือบไปมองศิษย์น้องของตนซึ่งตามมาด้านหลัง จากนั้นสาวเท้าขึ้นมา เพื่อให้มั่นใจว่าตนไม่ได้จำคนผิด เขามีท่าทางตื่นตระหนกเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงค่อยว่า “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ไม่ได้ยินว่าต้าโจวส่งราชทูตมานี่?”
“ข้าแอบมา” อวี๋หวั่นตอบ
หัวใจของชุยเฒ่าแทบร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เจ้าเด็กโง่ เจ้าจะเปิดเผยตนเองง่ายๆ อย่างนี้เลยรึ?
หวั่นเฟิงพยักหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจ “เป็นเช่นนี้เอง มิน่าเล่าสำนักราชครูจึงไม่ได้รับข่าว เมื่อสองวันก่อนอาจารย์ข้าเห็น ข้ายังไม่เชื่อเลย ที่แท้ก็เป็นท่านจริงๆ! แต่ท่านวางใจได้ อาจารย์ของข้าก็ไม่กล้ายืนยันว่าเป็นท่าน อาจารย์คิดเสียอีกว่าเป็นแม่นางที่หน้าเหมือนท่านก็เท่านั้น!”
ชุยเฒ่ามุมปากกระตุก เจ้างั่ง เจ้าจะมาแฉอาจารย์แบบได้ที่ไหนกัน?
หวั่นเฟิงพูดต่อ “ใช่สิ แล้วท่านมาที่หนานจ้าวได้อย่างไร? มาคนเดียวหรือ?”
อวี๋หวั่นส่ายหน้า “ข้ามากับเยี่ยนจิ่วเฉา แล้วก็คนที่บ้านอีก ข้ามาหาสมุนไพร”
ชุยเฒ่าแทบล้มทั้งยืน!
นางหนู!
เจ้าไม่ต้องบอกทุกเรื่องก็ได้!
เจ้าเปิดโปงตัวเองหมดแล้ว!!!
อย่าลืมสิว่าพวกเจ้าเป็นศัตรูกัน เป็นศัตรูกัน เป็นศัตรูกัน!!!
หวั่นเฟิงร้อง ‘โอ้’ แล้วกล่าวว่า “ท่านหาสมุนไพรอะไรหรือ? ข้าช่วยได้หรือไม่?”
อวี๋หวั่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องสมุนไพรไม่ต้องลำบากท่าน เพียงแต่ข้ามีเพื่อนที่โดนขังอยู่ในสำนักราชครู”
ชุยเฒ่ายกมือขึ้นปิดหน้า หมดกัน นางหนูเจ้าไร้ทางรอดแล้ว เปิดโปงสามี เปิดโปงเพื่อน อาเว่ยกับเจียงไห่ พวกเจ้าตายอนาถอย่างแน่นอน!
หวั่นเฟิงถามว่า “เพื่อนท่านหน้าตาเป็นอย่างไร? มีรหัสลับพิเศษที่ใช้สื่อสารกันหรือไม่? ประเดี๋ยวข้ากลับไปสำนักราชครู ข้าจะไปแอบปล่อยเพื่อนท่านให้”
จะไม่ถามสักหน่อยหรือว่าพวกเขาไปทำอะไรที่สำนักราชครู? ของบ้านเจ้าถูกขโมย เจ้ากลับปล่อยหัวขโมยไป! เข้าข้างคนนอกแบบนี้มันได้รึ?!
เจ้าสองคนนี้ประหลาดเหลือเกิน!
ชุยเฒ่าฟังมาถึงตอนนี้ ก็เริ่มสงสัยในชะตาชีวิต
“ศิษย์น้องข้ามาแล้ว!” หวั่นเฟิงยังคบงรื้อฟื้นความหลังกับอวี๋หวั่น แต่หางตากลับเหลือบไปเห็นศิษย์น้องจาก
สำนักราชครูซึ่งเดินตามมา
ศิษย์น้องผู้นี้ไม่ได้รับความเอ็นดูจากสำนักราชครู สถานะเป็นรองหวั่นเฟิงมาก เพราะฉะนั้นจึงปฏิบัติต่อหวั่นเฟิงด้วยความเกรงอกเกรงใจ
หวั่นเฟิงกะพริบตาให้อวี๋หวั่น และเดินออกไปพร้อมกับศิษย์น้อง
ชุยเฒ่ายืนตาค้าง!
บะ…แบบนี้ก็ได้หรือ?
“นางหนู เขารู้ใช่ไหมว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่เจ้า? ไม่อย่างนั้นเหตุใดยังไม่ทันตรวจก็เดินไปเสียแล้วละ? ดูจากท่าทางของเขาแล้วดูไม่เหมือนว่าเชื่อใจเจ้าจึงไม่ตรวจ แต่เหมือนกันว่ากำลังช่วยเจ้าปิดบัง จึงไม่ตรวจสอบ” ชุยเฒ่ากล่าวพลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
อวี๋หวั่นลูบคาง “อ้อ ที่ท่านพูดก็ฟังดูมีเหตุผล”
นี่มันท่าทางของเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ใช่รึ!
ชุยเฒ่าเริ่มโมโห “เรื่องสำคัญขนาดนี้ เจ้าไม่คิดหน่อยหรือ?”
อวี๋หวั่นครุ่นคิด “ข้าไม่ยักจำได้ว่าเคยบอกเขา แต่ถ้าเขารู้ด้วยวิธีอื่น เช่นนั้นก็จนปัญญา แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่พูดออกไปหรอก”
“…” ชุยเฒ่าเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม แต่เมื่อคิดดูแล้วก็คงจะเป็นเช่นนั้น หากเจ้านั่นคิดจะเปิดโปงพวกเขาละก็ เมื่อครู่ก็คงไม่ปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ
โทสะของชุยเฒ่าจึงเริ่มสงบลง “รู้จักกันได้อย่างไร?”
อวี๋หวั่นตอบว่า “เขาอยู่ในคณะราชทูตของหนานจ้าว เขาล้มและได้รับบาดเจ็บในงานแต่งของเฉิงอ๋อง ข้าช่วยรักษาเขา”
ชุยเฒ่าชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง “คะ…แค่นั้น?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “อื้ม แค่นั้นแหละ!”
หมอเทวดาอย่างชุยเฒ่าที่ไม่มีผู้ใดยอมบุกน้ำลุยไฟเพื่อเขา “…”
เวรเอ๊ย เขาอยากจะบ้าตายให้รู้แล้วรู้รอด…
จวนตะวันออกไม่ได้มีเพียงราชันสัตว์พิษ แต่ยังมีราชินีสัตว์พิษอีกด้วย หากสำนักราชครูให้ลูกศิษย์ตรวจสอบทุกซอกทุกมุมจริงๆ เกรงว่าพวกเขาคงจะเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่ได้ โชคดีเหลือเกินที่หวั่นเฟิงยอมปล่อยไป หายนะในครั้งนี้จึงผ่านพ้นไปได้
อวี๋หวั่นตากสมุนไพรชนิดสุดท้าย แล้วจึงกลับสวนอูถงไปอย่างสบายอารมณ์
ชุยเฒ่าจึงเตือนสติเธอว่า “เจ้าลืมไปแล้วรึว่าเมื่อครู่เพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้?”
อวี๋หวั่น “อ้อ”
พูดจบ เธอก็เดินกลับเรือนไปโดยไม่คิดอะไรมาก
ชุยเฒ่า “…”
ชุยเฒ่าไม่อยากตอแยกับเธอแล้ว เขาจะไปหาเด็กน้อยทั้งสาม!
เด็กๆ กำลังเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ โดยมีจื่อซูและสาวใช้ในสวนอูถงคอยดูแล เมื่อก่อนเวลานี้เป็นเวลานอนของพวกเขา ทว่าวันนี้ทั้งสามกินถังหูลู่มากไปหน่อย จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่ง่วงนอน ฮูหยินผู้เฒ่าหลับไปแล้ว พวกเขาก็ยังไม่นอน จึงปีนลงจากเตียงแล้วออกมาเล่นเช่นนี้
“คุณชายน้อย ระวังช้าหน่อยเจ้าค่ะ! ข้าตามไม่ทัน!” จื่อซูจับชายกระโปรง วิ่งเร็วสุดแรงเกิด แต่ก็ยังตามเด็กทั้งสามไม่ทัน
เห็นพวกเขาพูดช้าเช่นนี้ แต่พวกเขาเดินได้เร็วกว่าเด็กปกติ ความสามารถในการหลบหลีกว่องไว ครั้นอยู่ในจวนคุณชาย พวกเขามักจะทำให้เหล่าองครักษ์ต้องวิ่งไล่ตามกันอลหม่าน บัดนี้พวกเขาโตกว่าเดิมครึ่งขวบ ยิ่งจับได้ยากมากกว่าเดิม
“ขะ…ข้าไม่ไหวแล้ว…” จื่อซูใช้มือยันต้นไม้ แล้วหอบโกยอากาศเข้าปอด
สาวใช้อีกคนก็มิได้มีสภาพดีไปกว่าจื่อซูเลย นางหายใจติดๆ ขัดๆ “คุณ…คุณชายน้อยวิ่งเก่งกระไรขนาดนั้น”
จื่อซูหายใจหอบพลางตอบว่า “ตอนอยู่ในจวนคุณชายก็วิ่งเก่ง…หลังจากหลับไปอยู่ชนบทอีกหนึ่งเดือน…ก็ยิ่ง…วิ่งเก่งกว่าเดิม…”
ทั้งสองยังคงยืนหอบอยู่ข้างต้นไม้อีกสองครั้ง เด็กๆ ก็วิ่งหายไปจนไม่เห็นเงาเสียแล้ว
จื่อซูมีประสบการณ์มาก่อน จึงลงกลอนทั้งประตูหน้าและประตูหลังไว้ตั้งแต่แรก จึงไม่ได้กังวลว่าเด็กน้อยทั้งสามจะหนีออกไปนอกจวน เพียงแต่สิ่งหนึ่งที่จื่อซูไม่คาดคิดก็คือ ในจวน…ในจวนมีโพรงเล็กๆ สำหรับสุนัขลอด
นั่นเป็นโพรงสำหรับสุนัขลอดที่ปราศจากการบำรุงรักษามานาน มันถูกทิ้งร้างเอาไว้ โดยมีต้นไม้ใหญ่และพุ่มไม้บดบัง คนในจวนสกุลเห้อเหลียนล้วนลืมไปหมดแล้วว่ามันอยู่ตรงนั้น
เสี่ยวเป่าและเอ้อร์เป่าแอบหลบ
ต้าเป่าคิดว่าทั้งสองเข้าไปด้านหลังพุ่มไม้แล้ว
เขามุดเข้าไป ก็เห็นว่ามีโพรงอยู่โพรงหนึ่ง เขาคลานก้นดุกดิกเข้าไป
เมื่อคลานออกมา ก็พบว่าที่นั่นไม่ใช่ถนนใหญ่หรือตรอกแคบ หากแต่เป็นจวนอีกหลังหนึ่ง
ต้าเป่าไม่รู้ว่าตนบุกรุกเข้ามาบ้านผู้อื่นเสียแล้ว เขายังคิดว่าเป็นบ้านของตนเอง แต่ข้ามมาอีกฝั่งหนึ่งก็เท่านั้น ดวงกลมโตดำขลับของเขาเริ่มมองหาน้องชายทั้งสอง
เขาหาไปหามา ก็เดินมาถึงศาลาหลังหนึ่ง
ศาลาหลังนั้นไม่มีคนอยู่ เพียงแต่บนโต๊ะหินกลางศาลามีขนมและผลไม้สดน่ากินวางอยู่
เมื่อเห็นผลไม้ลูกสีแดงสด ต้าเป่าก็น้ำลายสอขึ้นมา “ซู้ด~”
อาหารบ้านตัวเองก็ต้องกินได้สิ
ต้าเป่าเขย่งขาสั้นๆ ของเขา แล้วเอื้อมขึ้นไปบนโต๊ะ
โต๊ะตัวนี้ค่อนข้างใหญ่ ทำให้เขาเอื้อมไม่ถึงของที่วางอยู่ตรงกลาง
เขาเขย่งปลายเท้า ยื่นมืออ้วนป้อมออกไป
ไอ้หยา!
อีกนิดเดียว!
ต้าเป่าเอื้อมมืออีกหน่อยซี่!
“บังอาจ! ผู้ใดบังอาจเข้ามาที่นี่!”
เสียงดังแผดมาจากด้านนอกศาลา ต้าเป่าสะดุ้งเฮือกจนเนื้ออวบอ้วนกระเพื่อมดุจลูกคลื่น
นั่นเป็นเสียงของข้าราชสำนักฝ่ายใน ดูจากลักษณะท่าทางของเขาแล้ว ตำแหน่งน่าจะสูงพอสมควร
ข้าราชสำนักฝ่ายในสาวเท้าเข้ามาในศาลา เมื่อเห็นเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำ นัยน์ตาของเขาก็กระตุกวูบหนึ่ง
นี่เป็นสถานที่สำหรับปลีกวิเวกขององค์ประมุข ไฉนจึงมีเด็กเข้ามาได้?
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้องค์ประมุขมีเรื่องไม่สบายพระทัย ประจวบเหมาะกับที่นี่เงียบสงบดี เพราะฉะนั้นห้ามให้เด็กนี่ไปรบกวนพระองค์เป็นอันขาด
ข้าราชสำนักฝ่ายในยื่นมือออกไปหมายจะจับต้าเป่า
ต้าเป่าก้าวเท้า วิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
“หนีรึ? ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะหนีไปไหนได้!”
ข้าราชสำนักฝ่ายในไล่ตามมาติดๆ
ต้าเป่าวิ่งหนีมาถึงบันได ขาของเขาสั้นและปีนลงบันไดช้า เขาจึงยกมือขึ้นกำบังศีรษะ ม้วนตัวเป็นก้อนกลม แล้วกลิ้งกลุกๆ ลงมา
ข้าราชสำนักฝ่ายในถึงกับตกตะลึง!
ทันใดนั้นเอง ข้าราชสำนักฝ่ายในก็สังเกตเห็นบางอย่าง เขาคุกเข่าพรวดลงทันที!
ต้าเป่ากลิ้งลงถึงพื้น ทว่ายังไม่ทันได้ลุกขึ้นมา เขาก็ชนเข้ากับบางสิ่ง เขากลิ้งไปไม่ได้แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงคลายมือซึ่งกุมศีรษะออก แล้วรีบเงยหน้ามอง ‘สัตว์ประหลาด’ ซึ่งขวางทางตนอยู่ ที่แท้ก็เป็น ‘ท่านปู่’ ท่าทางใจดีคนหนึ่ง
เขายังไม่รู้ว่าข้าราชสำนักฝ่ายในที่ไล่จับเขานั้น ได้ถูก ‘ท่านปู่’ ผู้นี้ทำให้กลัวจนคุกเข่าไปแล้ว เขาตะเกียกตะกายขึ้นมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเข้าไปกอดขาของเขา!
มีคนไม่ดี!
ท่านปู่ ช่วยด้วย!