หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 253 อาหวั่นมาเยือน
ข้าราชบริพารที่ตามมานั้นตื่นตะลึงกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ตกใจจนหัวใจแทบกระเด้งขึ้นมาถึงคอหอย!
เด็กน้อยคลานขึ้นจากพื้นหญ้า กลิ้งลงมาจากบันได บนศีรษะมีเศษดินและใบหญ้าติดอยู่ ใบหน้าของเขาเปรอะเปื้อนและซุกอยู่ที่ชายฉลองพระองค์ ทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน ไม่รู้ว่าเป็นเด็กหลงมาจากที่ใด
เดิมทีสถานที่แห่งนี้เป็นเพียง ‘พระราชวัง’ ชั่วคราวสำหรับองค์ประมุขใช้ปลีกวิเวกจากปัญหาทั้งมวล บ่าวทุกคนล้วนแต่ผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวด บางครอบครัวมีลูกเล็กเด็กแดงก็จริง กระนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีเด็กหน้าตามอมแมมไม่รู้กฎระเบียบเข้ามาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ขององค์ประมุข
ข้าราชสำนักฝ่ายในซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว เป็นเขาเองที่จับเด็กคนนี้ไม่ทัน หากพระองค์ลงโทษขึ้นมา ครานี้ชีวิตเขาถึงคราวต้องเผชิญกับวิบากกรรมเป็นแน่…
องค์ประมุขคนนี้ไม่ใช่ประมุขที่ใจอ่อน ไม่นับว่าเป็นคนใจดีด้วยซ้ำไป เขาเป็นคนใจแข็ง เรื่องนี้เหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องต้องกัน มิเช่นนั้นจะทำเรื่องโหดร้ายเช่นทอดทิ้งตี้จีองค์โตตั้งแต่ยังแบเบาะได้อย่างไร อวิ๋นเฟยเองก็นับว่าเป็นชายาของเขา ว่ากันว่าเป็นสามีภรรยากันเพียงวันเดียว แต่สัมพันธ์ยาวนาน ทว่าคงใช้ไม่ได้กับเรื่องนี้ เขาบอกว่าจะไม่พบหน้าอวิ๋นเฟยก็แปลว่าจะไม่พบหน้าอวิ๋นเฟย จะไม่พบหน้าเด็กก็แปลว่าจะไม่พบหน้าเด็กอีก
หลายปีมานี้ แม้ว่าอวิ๋นเฟยจะโวยวาย เหล่าขุนนางจะโน้มน้าวอย่างไร เขาก็ไม่สนใจ
บุรุษเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งรัฐหรือว่าเป็นคนแปลกหน้า ก็ทำให้คนผู้คนหวาดกลัวได้
เขาเป็นบุคคลที่อันตรายที่สุด แต่เจ้าตัวเล็กนี่กลับไม่กลัวเขาแม้แต่น้อย ทั้งยังกอดเขาแน่น เปรียบดังลูกกระรอกกำลังวิ่งหนีสุนัขด้วยความขลาดกลัว แต่กลับเข้าไปในปากของสุนัขป่าแทน
เป็นเพราะเด็กคนนี้โง่ หรือว่าเป็นเพราะเขากล้าหาญเกินคนทั่วไปกันนะ?
ผู้คนโดยรอบต่างเหงื่อตกแทนเด็กน้อยคนนี้ ต่อให้องค์ประมุขจะไม่ลงไม้ลงมือกับเด็กไม่ประสีประสา แต่เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น ครอบครัวของเขาก็คงถึงคราวอวสานแล้ว เขาต้องถูกพ่อแม่ลงโทษเป็นแน่
ขันทีหวัง ข้าราชสำนักฝ่ายในคนสนิทของฮ่องเต้ทำใจดีสู้เสือก้าวขึ้นมา แล้วดึงเด็กน้อยออกไป
ต้าเป่ากลับร้องออกมาเบาๆ อย่างไม่สบอารมณ์ เดินอ้อมขาขององค์ประมุขไปอีกด้านหนึ่งเพื่อหลบเงื้อมมือปีศาจของเขา!
ขันทีหวังเข้าไปจับอีกครั้ง
ต้าเป่าก็หลบอีก
ขันทีหวังจับอีก…ไม่สิ เขาไม่กล้าจับแล้ว เจ้าเด็กนี่ไม่รู้ว่ากินอะไรเป็นอาหาร ดูอ้วนจ้ำม่ำ แต่กลับปราดเปรียวว่องไว จับอีกรอบกลับพลาดไปจับโดนของสงวนขององค์ประมุข…
สีหน้าขององค์ประมุขย่ำแย่เหลือเกิน
ขันทีหวังรีบดึงมือออกจากเป้ากางเกง ตัวสั่นเทิ้มพร้อมกับถอยไปด้านหลัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ขันทีหวังก็ตั้งสติได้ เมื่อครู่เจ้าเด็กคนนั้นวิ่งไปวิ่งมาอยู่ใกล้กับองค์ประมุข รอยมือเล็กๆ ของเขาทำให้ฉลองพระองค์เปรอะเปื้อน แต่กลับไม่ยักเห็นว่าพระองค์จะทรงกริ้วแต่อย่างใด
เป็นเรื่องที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก!
นอกจากเลือดเนื้อเชื้อไขของฮองเฮา ก็ไม่เคยเห็นพระองค์ชอบเด็กคนใดเลย!
องค์ประมุขก้มหน้ามองเด็กน้อยซึ่งกอดขาเขาเอาไว้แน่น เด็กน้อยก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาเช่นกัน เด็กน้อยคนนี้ผิวดูคล้ำเล็กน้อย…คล้ำมากพอสมควร…กระนั้นองคาพยพบนใบหน้าของเขาได้รูปงดงาม ดวงตากลมโตสีดำขลับดูไร้เดียงสา ทว่าเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
มองหน้ากันและกันอยู่ชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง องค์ประมุขก็ค้นพบว่าพระองค์มิได้รังเกียจเด็กคนนี้แต่อย่างใด
“เจ้าไม่กลัวข้าหรือ?” องค์ประมุขเอ่ยถาม
ต้าเป่ากะพริบตาปริบๆ พร้อมส่ายหน้า
เขาไม่ได้กลัวจริงๆ มิใช่เพียงตอบเพราะความเกรงใจ องค์ประมุขจึงเริ่มรู้สึกสนใจเจ้าเด็กโง่งมคนนี้ขึ้นมา
แน่นอนว่าต้าเป่ามิได้โง่งม เพียงแต่เขาเจอผู้คนมามาก ทั้งเซียวเจิ้นถิงผู้น่าเกรงขาม ทั้งฮ่องเต้แห่งต้าโจวผู้ยิ่ง
ใหญ่ ทั้งอาม่าผู้ซึ่งทำหน้านิ่งอยู่ตลอดเวลา…เมื่อเทียบกันแล้ว องค์ประมุขผู้ซึ่งแลดูน่าสะพรึงกลัวในสายตาคนทั่วไป กลับดูใจดีขึ้นมาในสายตาของต้าเป่า
องค์ประมุขมิได้ซักไซ้ไล่เลียงว่าเขามาจากที่ใด เพียงแต่มองไปยังของในศาลา “เจ้าอยากกินหรือ?”
ต้าเป่าพยักหน้า เอื้อมมือขึ้นไปคว้าแขนเสื้อของพระองค์
ครั้นองค์ประมุขตระหนักได้ว่าต้าเป่าจะจับมือของตน จึงตัดสินใจยื่นมือออกไป
และเป็นดังคาด ต้าเป่าจับมือของเขา
ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
เจ้ากอดขาองค์ประมุขไปแล้ว ยังกล้ายื่นมือสกปรกของเจ้าไปจับมือของพระองค์อีกรึ!!!
ต้าเป่าจูงมือองค์ประมุขเดินขึ้นบันได เข้าไปในศาลา
ข้าราชสำนักฝ่ายในซึ่งแต่เดิมคุกเข่าด้วยความหวาดกลัวจึงถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่
คนแก่และเด็กเดินเข้าไปในศาลาด้วยกัน
ต้าเป่าปล่อยมือองค์ประมุข แล้วแตะลงบนม้านั่งหิน เพื่อบอกให้องค์ประมุขนั่งลง
องค์ประมุขรู้สึกขบขันกับท่าทางของเด็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมามีเพียงไปบ้านคนอื่นเพื่อเป็นแขก นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นผู้ที่ไปบ้านอื่นแล้วทำตัวราวกับเป็นเจ้าบ้าน
องค์ประมุขมิได้มีโทสะแม้แต่น้อย ทว่ากลับบังเกิดความสงสัย พ่อแม่แบบใดที่เลี้ยงลูกออกมาได้น่าสนใจถึงเพียงนี้กัน?
องค์ประมุขเดินไปนั่ง
คนไม่ดีไม่อยู่แล้ว ต้าเป่าไม่กลัวอีกต่อไป เมื่อครู่เขย่งเท่าไรก็เอื้อมไม่ถึง บัดนี้หลังจากต้อนรับท่านปู่คนนี้และเชิญเขานั่งแล้ว ต้าเป่าก็เกิดความคิดดีๆ ขึ้นมา เขาใช้ขาสั้นๆ ปีนขึ้นไปบนม้านั่ง จากนั้นก็ยืนบนม้านั่ง เท่านี้ก็เอื้อมถึงแล้ว!
ต้าเป่าดันจานขนมและผลไม้ลูกสีแดงน่ากินไปตรงหน้าแขก
ผู้คนต่างอ้าปากค้าง นี่เขากำลังใช้อาหารขององค์ประมุขมาต้อนรับองค์ประมุขหรือนี่ แบบนี้ก็ได้รึ?
เมื่อต้าเป่าเห็นว่าองค์ประมุขไม่ขยับ เขาจึงหยิบผลไม้สุกสีแดงส่งให้
ซู้ด~
กินเลย!
องค์ประมุขอดหัวเราะออกมาไม่ได้
เหล่าข้าราชบริพารลอบคำรามในใจว่า ‘ปล่อยมือสกปรกของเจ้าเดี๋ยวนี้!’
องค์ประมุขรับของที่อยู่ในมือสกปรกข้างนั้น เขาไม่ได้กินทันที แต่เรียกให้ข้าราชสำนักฝ่ายในไปยกน้ำมากะละมังหนึ่ง
ขันทีหวังเข้าใจสิ่งที่องค์ประมุขต้องการจะสื่อ จึงรีบคุกเข่าลงให้เด็กน้อยล้างมือ ทว่าเด็กน้อยกลับมองหน้าเขาด้วยความเคลือบแคลงใจ
เขาสวมชุดเหมือนกับคนไม่ดีเมื่อครู่
เด็กน้อยยกกะละมังใบเล็กมา แล้วเดินเตาะแตะไปวางไว้ตรงหน้าองค์ประมุข
“จะให้ข้าล้างให้เจ้าหรือ?” องค์ประมุขถามขึ้น
ต้าเป่าพยักหน้า
ขันทีหวังคำรามในใจอีกครั้งว่า ‘เจ้าเห็นหรือไม่ว่ารอยยิ้มขององค์ประมุขนั้นมีเลศนัย? นั่นเป็นรอยยิ้มของงูพิษขณะกำลังจะล่าเหยื่อ เจ้าซวยแล้ว! เจ้าเด็กน้อยเจ้าตายแน่!’
องค์ประมุขล้างมือให้ต้าเป่า
มืออ้วนจ้ำม่ำ ด้านหลังมือยังมีไขมันนิ่มๆ อยู่
องค์ประมุขอดไม่ได้ที่จะจิ้มมันเล็กน้อย
ขันทีหวังตะโกนกู่ร้องในใจว่า ‘องค์ประมุขกำลังจะตัดมือเจ้าแล้ว! ยังไม่รีบหนีไปอีก!!’
“เอาละ กินได้แล้ว” องค์ประมุขวางผ้าซึ่งใช้เช็ดมือเด็กน้อยกลับไปในกะละมัง แล้วส่งผลไม้ที่เด็กน้อยส่งให้เขาเมื่อครู่คืน
ต้าเป่าดันผลไม้ไปด้านหน้าขององค์ประมุข บอกเป็นนัยว่าให้เขากิน
หัวใจของขันทีหวังไร้แรงจะกรีดร้องอีกต่อไป สีหน้าของเขาย่ำแย่เหลือทน
เอาเถอะ เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าให้องค์ประมุขกินทดสอบยาพิษให้!
องค์ประมุขยิ้มและกินเข้าไป
เมื่อต้าเป่าเห็นว่าแขกกินผลไม้แล้ว เขาก็หยิบขึ้นมากินบ้าง
ข้าเป็นเด็กดี ข้ารู้ธรรมเนียมหรอกนะ!
อีกด้านหนึ่ง อวี๋หวั่นพบว่าต้าเป่าหายไป ก่อนหน้านี้เอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่ารอต้าเป่าอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่เสียนาน ก็ไม่เห็นวี่แวว หลังจากนั้นจื่อซูและสาวใช้อีกคนหนึ่งก็ตามมา พวกเขาช่วยกันตามหาอยู่พักใหญ่ก็ยังหาไม่พบ ไม่มีผู้ใดคิดว่าต้าเป่าจะเข้าไปในโพรงหลังพุ่มไม้หนานั่น
อย่างไรเสียต้าเป่าก็แพ้หญ้า ก่อนหน้านี้ไม่นานก็คลุกหญ้าไป ผลปรากฏว่าต้องโกนผม ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่มีครั้งที่สอง จนพวกเขาลองสำรวจจวนอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง จึงพบว่าที่นี่มีโพรงสุนัขลอด
เหตุที่เรียกว่าโพรงสุนัขลอดก็เพราะเดิมทีโพรงนี้ไม่ใหญ่ มีขนาดเพียงสุนัขเล็กตัวหนึ่งลอดก็เท่านั้น ทว่าเนื่องจากโพรงนี้ถูกปล่อยไร้การซ่อมแซมมานาน ก้อนอิฐขยับจนหลวม จึงทำให้เด็กอ้วนจ้ำม่ำคนหนึ่งลอดผ่านไปได้
อวี๋หวั่นเห็นรอยมือบนพื้น จึงเดาได้ไม่ยากว่าต้าเป่าคลานเข้าไปแล้ว
อวี๋หวั่นมองออกไปด้านนอก ไม่ใช่ถนนหรือตรอกแต่อย่างใด หากแต่เป็นเรือนของผู้อื่น อวี๋หวั่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไปบ้านคนอื่นก็ยังดีกว่าออกไปตามถนน ประเดี๋ยวเธอจะไปหาเจ้าของบ้านเพื่อขอโทษสักหน่อย แล้วพาลูกกลับมา
ก่อนจะไป อวี๋หวั่นเรียกอวี๋กังมาพร้อมกับสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเพื่อนบ้าน “เจ้ารู้ไหมว่าคฤหาสน์หลังข้างๆ มีใครอยู่?”
อวี๋กังส่ายหน้า “ข้ารู้จักเพื่อนบ้านทุกหลัง เว้นแต่หลังนี้ไม่เคยไปมาหาสู่กันขอรับ ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว คล้ายจะเป็นที่สำหรับมาพักผ่อนเสียมากกว่า”
อวี๋หวั่นรู้สึกประหลาดใจ “ไม่มีคนอยู่เหรอ…” งั้นต้าเป่าเข้าไปคนเดียวจะตกใจกลัวไหมนะ?
…หลังจากที่ต้าเป่าซึ่งน่าจะตกใจกลัวกำลังกินขนมและผลไม้อยู่นั้น ก็เชื้อเชิญให้แขกผู้มาเยือนกินเนื้อแพะย่าง ไก่ผัดเกาลัด และเนื้อสามชั้นตุ๋นน้ำแดงซึ่งขันทีหวังยกมาให้…
ไม่ว่าในจวนจะมีคนอยู่หรือไม่ อวี๋หวั่นก็ตัดสินใจจะไปตามหาลูกสักหน่อย
แม้ว่าทั้งสองบ้านจะอยู่ติดกัน แต่ประตูใหญ่ของทั้งสองบ้านนั้นอยู่บนถนนคนละสาย อวี๋หวั่นเดินอ้อมไปเกือบครึ่งเค่อกว่าจะถึงประตูใหญ่ของคฤหาสน์เพื่อนบ้าน
เป็นดังคาด ประตูใหญ่สีชาดปิดสนิท ทว่าหน้าประตูได้รับการเก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยม คล้ายกับจะมีร่องรอยของการปัดกวาดจากเมื่อวันสองวันก่อน
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าเจ้าของบ้านซึ่งอยู่ด้านในอาจกลับมาแล้ว เป็นอย่างนั้นก็ดี เธอจะได้ขอพบเจ้าของบ้าน แล้วพาลูกออกมาอย่างเปิดเผย
อวี๋หวั่นเคาะห่วงโลหะบนประตูดัง ‘ตึงๆๆ’
มีเสียงดัง ‘แกร็กๆ’ ประตูถูกเปิดออกจากด้านใน
…………………………………