หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 259 ช่วยอาเว่ย
สวนอูถงมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับเรือนเดี่ยว หากอ้างอิงจากคำกล่าวของฮูหยินผู้เฒ่า อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วเป็นองครักษ์คนสนิทของหลานชาย พวกเขาสมควรพำนักอยู่ในสวนอูถง แต่ก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้อย่างเปิดเผยได้ ทั้งสองซึ่งเป็นบุรุษซึ่งมิใช่คนในครอบครัวจึงต้องย้ายไปอยู่ที่ชีสยาย่วนด้วยประการฉะนี้
ในชีสยาย่วน อิ่งสือซัน อิ่งลิ่ว และเจียงไห่ต่างก็เปลี่ยนชุดเรียบร้อย ส่วนชิงเหยียนและเยว่โกวเปลี่ยนชุดเป็นบ่าวธรรมดา
ก่อนหน้านี้พวกเขายังสามารถลอบเข้าไปในสำนักราชครูได้ แต่บัดนี้เมื่ออาเว่ยถูกจับไป การอารักขาของสำนักราชครูก็ยิ่งเข้มงวดขึ้น โอกาสที่จะลอบเข้าไปเป็นไปได้น้อย จึงทำได้เพียงเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย
“เอาของมาหรือยัง?” ชิงเหยียนเตือน
เจียงไห่พยักหน้า มองไปยังเยว่โกวและอิ่งสือซัน
อิ่งสือซันตอบว่า “ข้าไม่มีอะไรต้องนำไปด้วย”
เขาเป็นมือสังหาร นอกจากกระบี่ ก็มีเพียงตัวเขาเอง
อิ่งลิ่วผู้ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ไปด้วยได้แต่พึมพำด้วยความขุ่นเคือง “ไม่ให้ข้าไปจริงๆ หรือ? ข้าเก่งนะ”
“เจ้าอยู่ที่นี่คอยดูแลคุณชาย” อิ่งสือซันบอก
อิ่งลิ่วยกกระจกซึ่งพกติดตัวขึ้นมาส่อง “ก็ดี ได้ยินว่าแสงจันทร์ทำให้ผิวไหม้ได้เหมือนกัน”
อิ่งสือซัน “…”
ทุกคน “…”
การทิ้งให้อิ่งลิ่วเอาไว้กลายเป็นธรรมเนียมไปแล้ว ครั้นอยู่ในต้าโจว หากทั้งสองไม่มีเรื่องเร่งด่วน จะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่คอยอารักขาคุณชาย
อิ่งสือซันมิได้คิดมากแต่อย่างใด
ต่อให้อิ่งลิ่วผิวไหม้เกรียม…ก็ยังน่ารักอยู่ดี
อิ่งลิ่วคนน่ารักยังคงจ้องมองใบหน้าของตนในกระจกอย่างไม่ละสายตา พลางโบกมือให้คนอื่นๆ “พวกเจ้าไปได้แล้ว รีบไปจะได้รีบกลับ”
พวกเขาออกจากชีสยาย่วน แล้วนั่งรถม้าซึ่งจอดไว้หน้าประตู
รถม้าคันนี้เป็นรถม้าเทียมม้าตัวเดียวซึ่งอิ่งลิ่วและอิ่งสือซันช่วยกันซื้อจากซีเฉิง นี่คือม้าพันลี้ชั้นดี วันนี้ต้องรับน้ำหนักมาก พวกเขาจึงเพิ่มม้าชนิดเดียวกันอีกหนึ่งตัว
บุรุษกำยำหลายคนช่วยกันนำผ้าไหมและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่อวี๋หวั่นซื้อมาขึ้นรถ รถม้าสีดำสนิท เด็กน้อยก็ผิวเข้มหากไม่สังเกตดีๆ ก็แลดูกลืนเป็นสีเดียวกัน
ชิงเหยียนและเยว่โกวนั่งอยู่ด้านนอก เจียงไห่และอิ่งสือซันเกาะอยู่ใต้ท้องรถ
แต่ไม่รู้ว่าชิงเหยียนคิดไปเองหรืออย่างไร ม้าดูเหมือนจะใช้แรงมากสักหน่อย ยอดฝีมือที่สามารถใช้วิชาตัวเบาอย่างพวกเขาตัวหนักขนาดนั้นเชียวหรือ?
ในรถม้า เด็กน้อยทั้งสามกะพริบตาปริบๆ อย่างน่าเอ็นดู
รถม้าเคลื่อนที่เต็มกำลังไปยังประตูหลังของสำนักราชครู
“ผู้ใดกัน?” องครักษ์เอ่ยถามด้วยความเคลือบแคลงใจ
ชิงเหยียนหยิบป้ายคู่จากในอกเสื้อ แล้วกล่าวด้วยความเกรงใจว่า “ข้ามาจากร้านผ้าไหม ใต้เท้าหวั่นเฟิงต้องการผ้าและเสื้อผ้า พวกเราจึงนำมาส่ง”
องครักษ์มองไปยังป้ายคู่ จากนั้นก็ใช้ด้ามกระบี่เลิกม่านขึ้นมองผ้าด้านใน เขามองไปยังเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงสัย “เข้าไปแจ้งเรื่องนี้กับใต้เท้าหวั่นเฟิงหน่อย บอกแค่ว่าคนจากร้านขายผ้ามา”
เพื่อนร่วมงานพยักหน้า
จะโทษที่พวกเขาระแวงเช่นนี้ก็ไม่ได้ อันที่จริงสำนักราชครูก็เพิ่งจับหัวขโมยได้ หากครั้งนี้ปล่อยให้คนไร้ที่มาที่ไปเข้าไปอีก เช่นนั้นเกรงว่าพวกเขาก็คงไม่อาจทำอาชีพองครักษ์ต่อไปได้แล้ว
เพื่อนร่วมงานของเขาเดินกลับมาพร้อมกับหวั่นเฟิง
องครักษ์คำนับหวั่นเฟิง “ใต้เท้าหวั่นเฟิง”
หวั่นเฟิงอายุน้อย แต่ตำแหน่งกลับสูง เขามองไปยังผู้ที่อยู่บนรถม้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วกล่าวว่า “เป็นของที่ข้าต้องการ ทำไม? ของแค่นี้ยังต้องให้ข้ามารับเองรึ?”
องครักษ์ตอบอย่างเคารพนบนอบ “ข้าน้อยมิได้หมายความอย่างนั้น ราชครูมีคำสั่งว่าทุกที่ต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด ข้าน้อยทำไปเพื่อความปลอดภัยของสำนักราชครูก็เท่านั้นขอรับ”
หวั่นเฟิงโบกมือ “เอาเถอะ ให้พวกเขานำไปส่งให้ข้า”
“ขอรับ” องครักษ์เปิดทางให้
ชิงเหยียนบังคับรถม้าเข้าไปยังสำนักราชครู
อิ่งสือซันและเจียงไห่ปกปิดจิตสังหาร ไม่มีผู้ใดสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา แน่นอนว่าเป็นเพราะหวั่นเฟิงจงใจทำเช่นนั้น เหล่าองครักษ์จึงไม่ได้ตรวจสอบรถม้าโดยละเอียด มิเช่นนั้นต่อให้ทั้งสองจะอำพรางอย่างไร เมื่อก้มลงไปมองใต้ท้องรถย่อมต้องเห็นพวกเขา
หวั่นเฟิงมีเรือนของตนเองในสำนักราชครู ที่เขาให้รถม้าเข้าไป ก็เป็นเพราะเดาได้ว่าคนจากร้านผ้าก็คือพวกเขา ก่อนที่หวั่นเฟิงจะออกไปรับพวกเขา ก็ได้ไล่บ่าวในเรือนออกไปแล้ว
“ไม่มีคน ออกมาเถอะ!” หวั่นเฟิงบอก
อิ่งสือซันกับเจียงไห่ออกมาใต้ท้องรถ
เดิมทีหวั่นเฟิงคิดว่ามีแต่เจียงไห่ เมื่อเห็นว่ามีอิ่งสือซันมาด้วยเขาตกตะลึง
คะ…ครึ่งหน่วยกล้าตาย?
ไม่รู้ว่าหวั่นเฟิงตกใจที่พวกเขามีคนตามมาเพิ่มอีกหนึ่งคน หรือว่าตกใจที่เห็นอิ่งสือซันเป็นครึ่งหน่วยกล้าตาย
หากจะเรียกหน่วยกล้าตายว่าเป็นคนโดยสมบูรณ์ก็คงไม่อาจเรียกได้เต็มปาก พวกเขาเป็นเพียงเครื่องมือสังหารก็เท่านั้น ยามที่เครื่องมือสังหารกลายเป็นของด้อยมาตรฐาน สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็มีเพียงการถูกทอดทิ้งและถูกทำลาย
ในตอนนั้นอิ่งสือซันถูกทิ้งลงไปในกองซากศพ ผู้ที่ถูกโยนทิ้งพร้อมกับเขายังมีครึ่งหน่วยกล้าตายหมายเลขสิบเจ็ดและสิบแปด พวกเขาถูกราดด้วยน้ำมัน ทันทีที่จุดไฟก็เหลือเพียงเสียงร้องโหยหวน
อิ่งสือซันเป็นเพียงคนเดียวที่รอดออกมาได้ แต่ยังหนีไปไม่ได้ไกล ยาพิษก็เริ่มออกฤทธิ์ เขานอนรอความตายอยู่ข้างถนน ในตอนนั้นเองเยี่ยนจิ่วเฉาก็เดินผ่านมาพอดี
เยี่ยนจิ่วเฉาคุกเข่าลงพร้อมกับถามว่า “ต่อสู้เป็นไหม?”
“เป็น”
เขาตอบ
“กลัวการฆ่าคนไหม?”
“ไม่กลัว”
เขาตอบ
เขาถูกเยี่ยนจิ่วเฉาเก็บกลับไป เยี่ยนจิ่วเฉาสั่งให้หมอรักษาเขา จากนั้นเขาก็กลายเป็นองครักษ์ของเยี่ยนจิ่วเฉาไปโดยปริยาย
ระหว่างหน่วยกล้าตายซึ่งออกมาจากค่ายหน่วยกล้าตายทั้งสอง อิ่งลิ่วกลับโชคดีกว่าอิ่งสือซันมาก
เดิมทีอิ่งลิ่วถูกเลี้ยงมาเพื่อเป็นหน่วยสอดแนม มิได้ตกระกำลำบากเท่าไร ไม่ต้องดื่มยาพิษ เขาออกมาทำภารกิจ แต่สุดท้ายหลงทาง หาทางกลับไม่ถูก ทำได้เพียงนั่งกุมศีรษะร้องไห้อยู่ข้างทางพร้อมกับกระป๋องใส่เศษเงิน
นั่นเป็นครั้งแรกที่อิ่งสือซันเห็นหน่วยกล้าตายร้องไห้
ท่าทางงอแงของเขาดูน่าขันเหลือเกิน
เมื่อเทียบกันแล้ว อิ่งลิ่วจะนับว่าเป็นหน่วยกล้าตายของแท้ ฐานะเขาสูงกว่าอิ่งสือซัน ทว่าอิ่งลิ่วไม่เหมือนกับหน่วยกล้าตายแม้แต่น้อย นัยน์ตาของเขาปราศจากจิตสังหาร ทั้งยังเป็นคนจิตใจดีอีกด้วย
อิ่งสือซันลงมาจากรถม้า เขาก็ไม่ได้ปกปิดจิตสังหารอีก หวั่นเฟิงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารรุนแรงซึ่งทำให้รู้สึกราวกับขาดอากาศหายใจ
เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดอีกฝ่ายจึงเดินทางมาด้วย แม้ว่าจะเป็นเพียงครึ่งหน่วยกล้าตาย กระนั้นวรยุทธ์ของเขาเห็นทีจะสูงที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งหมด
เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจหรอกหรือ? เป็นแค่ครึ่งหน่วยกล้าตาย เก่งกาจถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาวิเคราะห์เรื่องนี้
“ข้าไปสืบมาแล้ว” หวั่นเฟิงบอก “เขาถูกขังอยู่ในคุกน้ำใต้ดิน”
พวกเขาพยักหน้า คล้ายกับที่เจียงไห่คาดเดา
หวั่นเฟิงถอนหายใจ “อาจารย์ข้าคิดว่าพวกเจ้าจะมาช่วยเขา จึงเสริมการป้องกันคุกน้ำใต้ดิน ตอนนี้แม้แต่ข้ายังปล่อยเขาออกมาไม่ได้ง่ายๆ”
“เจ้าเข้าไปได้ไหม?” เจียงไห่และชิงเหยียนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ดูแล้วทั้งสองกำลังคิดจะใช้วิธีเดียวกัน
หวั่นเฟิงคิด “ข้าจะลองดู”
หนึ่งเค่อต่อมา เจียงไห่และชิงเหยียนก็กลายเป็นลูกศิษย์สำนักราชครู ติดตามหวั่นเฟิงไปยังคุกน้ำใต้ดิน เยว่โกวและอิ่งสือซันซ่อนตัวเพื่อรอสัญญาณ ในกรณีที่ต้องการความช่วยเหลือ
ผู้ที่เฝ้าหน้าประตูคือหน่วยกล้าตายหน้ากากทองสองคนและศิษย์น้องของหวั่นเฟิงอีกหนึ่งคน
เมื่อศิษย์น้องเห็นหวั่นเฟิงก็ยิ้มร่าออกมา “ศิษย์พี่หวั่นเฟิง ดึกป่านนี้ ท่านมาทำไมหรือ?”
หวั่นเฟิงไม่ตอบ แต่เอ่ยถามว่า “สอบสวนไปถึงไหนแล้ว? เขาสารภาพมาหรือยัง?”
ศิษย์น้องตอบด้วยความลำบากใจว่า “เจ้านั่นไม่รู้ปากทำด้วยอะไร ข้าทำทุกวิถีทางแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมพูดแม้แต่คำเดียว”
เมื่อได้ยินว่าทำทุกวิถีทาง สีหน้าของชิงเหยียนก็หม่นหมองลง
อาเว่ยอายุน้อยที่สุดในบรรดาพวกเขา ถึงแม้จะถูกพวกเขาแกล้งอยู่เสมอ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาไม่เคยคิดจะแตะต้องอาเว่ยแม้แต่ขนเส้นเดียว เจ้าพวกสำนักราชครูเฮงซวย ถ้าเขารู้ว่าพวกนั้นทำร้ายอาเว่ยละก็ เจอดีแน่!
“เขาเป็นหน่วยกล้าตายรึ? เหตุใดจึงง้างปากไม่ออก? หรือว่าพวกเจ้าแอบอู้งาน?” หวั่นเฟิงกำลังเดือดดาล
ศิษย์น้องตอบด้วยความลำบากใจว่า “ข้าจะไปกล้าได้อย่างไรเล่า? จากที่เขาถูกจับเข้ามา พวกข้าก็สืบสวนมาจนถึงตอนนี้ แต่เขาก็ไม่ตอบ!”
“อาจารย์บอกแล้วว่าเขาลอบเข้ามาในสำนักราชครู เจตนาไม่บริสุทธิ์ อีกทั้งยังมีพรรคพวก ไม่แน่ว่าตอนนี้พวกเขาอาจจะลอบเข้ามาในสำนักราชครู และกำลังคิดหาวิธีช่วยเขาออกไปก็เป็นได้ พวกเจ้าต้องจับตาดูเขาให้ดี หากหายไป สำนักราชครูย่อมเดือดร้อน พวกเจ้าเองก็คงหนีความผิดไม่พ้น!”
“แน่นอนอยู่แล้วขอรับ! ” ลูกศิษย์รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ
“เอาเถอะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ข้าจะเข้าไปดูสักหน่อยว่าข้างในสอบสวนกันอย่างไร ทำไมป่านนี้ยังไม่ได้ความสักอย่าง”
“เรื่องนั้น…”
“มีอะไร เข้าไม่ได้หรือ?” หวั่นเฟิงถาม
ศิษย์น้องส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ให้ศิษย์พี่หวั่นเฟิงเข้าไป แต่ราชครูมีคำสั่งว่านอกจากเขาแล้ว ห้ามผู้ใดเข้าไปในคุกน้ำโดยพลการ”
“ในเมื่ออาจารย์มีคำสั่ง เช่นนั้นข้าก็ช่วยไม่ได้ เดิมทีคิดจะช่วยเจ้าสอบสวน…” หวั่นเฟิงว่าพลางเดินหันหลังกลับ
“เอ้ยๆๆ!” ศิษย์น้องรีบร้อนดึงแขนของเขาไว้ คนก็เป็นเสียอย่างนี้ หากยิ่งบังคับก็จะยิ่งสงสัย แต่การพูดอย่างไม่ใส่ใจกลับทำให้ศิษย์น้องคิดว่าตนเอาใจของผู้น้อยมาคิดแทนวิญญูชน “ไหนๆ ศิษย์พี่หวั่นเฟิงก็มาแล้ว เอาตามนั้นเถิด อันที่จริงก็ทำไม่ได้ เช่นนั้นกลับไปศิษย์พี่ก็ช่วยข้าพูดหน่อยว่าพวกข้าทำงานอย่างตั้งใจ แต่เป็นเพราะเจ้านั่นมันปากแข็งเอง!”
หวั่นเฟิงถอนหายใจ “ข้าไม่รับประกันว่าจะทำสำเร็จ แต่จะลองดู”
“พวกเจ้าดูไว้ให้ดี อย่าให้ผู้ใดเข้ามา” ศิษย์น้องสั่งการกับหน่วยกล้าตาย แล้วเดินนำหวั่นเฟิงเข้าไปในคุกน้ำ
ชิงเหยียนสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของอาเว่ยจากระยะไกล ก็พลันรู้สึกกดดันในใจ
เจียงไห่หันไปมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วส่ายหน้า
เมื่อชิงเหยียนตั้งสติได้ จึงพยายามระงับความปั่นป่วนในจิตใจ แล้วเดินตามหวั่นเฟิงและลูกศิษย์เข้าไปยังคุกน้ำซึ่งขังอาเว่ยไว้
เกือบทั้งร่างของอาเว่ยแช่อยู่ในบ่อน้ำ เสื้อผ้าของเขาถูกถอดออก ลาดไหล่ซึ่งโผล่พ้นน้ำขึ้นมานั้นปราศจากรอยแส้ นั่นทำให้ชิงเหยียนวางใจ
ศิษย์น้องกล่าวว่า “ยอดฝีมือเช่นนี้ใช้วิธีทรมานไม่ได้ผล พวกข้าให้หนอนพิษเขาไปไม่น้อย แต่เขาก็ทนได้ทุกอย่าง”
ที่แท้ก็ปล่อยหนอนพิษใส่เขา ชิงเหยียนอยากหัวเราะให้ฟันหลุด
อันที่จริงวายร้ายอันดับหนึ่งแห่งเผ่าปีศาจคนนี้กลัวความเจ็บปวดเป็นที่สุด ไม่เช่นนั้นเขาจะดิ้นรนฝึกฝนจนเป็นยอดฝีมือหรือ? ตีเขาสองทีเขาก็ยอมบอกแล้ว เจ้าพวกโง่!
ตามแผนของพวกเขา ให้หาโอกาสที่หวั่นเฟิงสอบสวน ส่งกุญแจให้อาเว่ย หลังจากที่เขาพวกเขาออกไปแล้ว ก็ให้อาเว่ยแอบไขกุญแจ
เจียงไห่และชิงเหยียนนำยานอนหลับของชุยเฒ่ามาด้วย เขาสาดยานี้ไว้ในคุกตั้งแต่แรกแล้ว ไม่เกินครึ่งชั่วยาม ทั้งองครักษ์และหน่วยกล้าตายจักต้องหลับใหล ในตอนนั้นอาเว่ยก็จะออกมาจากคุกน้ำใต้ดินได้
ทว่าวายร้ายอันดับหนึ่งอย่างอาเว่ยไม่ได้คิดเช่นนั้น
เขาคว้าหวั่นเฟิงทันใด!
หวั่นเฟิงผู้ซึ่งยังไม่ทันได้ส่งกุญแจให้ “…”
สมกับเป็นวายร้าย
สมกับเป็นอาเว่ย
“…” เจียงไห่และชิงเหยียนไม่กล้ามอง
“เจ้าปล่อยศิษย์พี่หวั่นเฟิงเดี๋ยวนี้นะ!” ศิษย์น้องแผดเสียง
หวั่นเฟิงเป็นศิษย์เอกของราชครู ฐานะของเขาสูงกว่าเจ้างั่งอย่างตนไม่รู้เท่าไหร่ หากคุกน้ำเกิดเรื่อง พวกเขาก็คงหนีหายนะครั้งนี้ไม่พ้นเช่นกัน
“…” เจียงไห่และชิงเหยียนได้แต่เล่นไปตามน้ำ
“เจ้า…เจ้าอย่าผลีผลาม มีอะไรค่อยๆ พูด!” น้ำเสียงของเจียงไห่ไร้ชีวิตชีวา
ชิงเหยียนเชี่ยวชาญกว่าเขามาก “ปล่อยๆๆ! ข้าจะปล่อยเจ้าไป! แต่ห้ามทำร้ายศิษย์พี่หวั่นเฟิงเป็นอันขาด! เขาเป็นศิษย์เอกของราชครู ถ้าผมร่วงแม้แต่เส้นเดียว ราชครูไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
“หึ!” อาเว่ยตัดสินใจดึงผมของหวั่นเฟิงหนึ่งเส้น
หวั่นเฟิงซึ่งถูกดึงผม “…”
เป็นเพราะเขาจับหวั่นเฟิงเป็นตัวประกัน อาเว่ยจึงหลุดจากพันธนาการในคุกน้ำใต้ดิน เพื่อที่จะทำให้เหล่าองครักษ์แตกตื่นและแห่กันมา เจียงไห่และชิงเหยียนจึงลงมือจัดการคนในคุกน้ำใต้ดินทั้งหมดโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
หน่วยกล้าตายด้านนอกได้ยินความเคลื่อนไหว จึงหันหลังหมายจะตามเข้ามา แต่กลับถูกอิ่งสือซันพุ่งเข้ามาสกัดเสียก่อน
หวั่นเฟิงใจเต้นโครมคราม เขาเป็นครึ่งหน่วยกล้าตายจริงหรือ? ทำไมร้ายกาจขนาดนี้?
หวั่นเฟิงมองไปรอบๆ “พวกเจ้ารีบไปเถอะ ยังมีเวลาอีกครึ่งถ้วยชา ประเดี๋ยวก็จะมีคนมาเห็นเหตุการณ์แล้ว”
“เจ้าจะทำอย่างไร?” ชิงเหยียนถาม
หวั่นเฟิงตอบว่า “พวกเจ้าต่อยข้าให้สลบ! ไม่ต้อง…”
“ออมมือ” เมื่อพูดสองคำนี้ออกไป เจียงไห่ ชิงเหยียน และอาเว่ยก็ออกหมัดทันที หวั่นเฟิงสภาพสะบักสะบอมสลบลงบนพื้น
แต่ขณะที่พวกเขาขึ้นนั่งบนรถม้า หมายจะเดินทางออกทางประตูใหญ่ ก็มีจิตสังหารรุนแรงแผ่ปกคลุมพื้นที่โดยรอบ ชิงเหยียนรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก และกระอักเลือดออกมา
จากนั้นเจียงไห่ก็กระอักเลือดเช่นกัน เขาและชิงเหยียนล้มลงกับพื้น
เยว่โกวฝืนเดินไปหนึ่งก้าว จากนั้นก็สำลัก และทรุดลงไปเช่นกัน
อิ่งสือซันใช้กระบี่ค้ำกาย รู้สึกประหนึ่งถูกกดทับจนจะหักเป็นสองท่อน
คนผู้นั้นมาแล้วหรือ? เป็นจิตสังหารที่น่ากลัวเหลือเกิน
………………………………