หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 267 พ่อลูกพบหน้าอีกครั้ง สารภาพความจริง (1)
- Home
- หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]
- บทที่ 267 พ่อลูกพบหน้าอีกครั้ง สารภาพความจริง (1)
ชายชราที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ลืมตากะพริบ เอ่อ…นี่ข้าออกมาแล้วหรือ?
อสูรร้ายไร้ปรานี แขวนร่างของเขากับกิ่งของต้นไม้อย่างลวกๆ
ชายชราห้อยต่องแต่งอย่างน่าเวทนา จะขึ้นก็ขึ้นไม่ได้ จะลงก็ลงไม่ไหว
ทว่ามุมมองข้างบนนี้ไม่เลวทีเดียว สามารถมองเห็นส่วนใหญ่ของจวนประมุขหญิงอันกว้างขวางเหลือคณานับ ทิวทัศน์ของจวนประมุขหญิงวิจิตรงดงาม ยามค่ำคืนมีเสน่ห์น่าหลงใหล เขาเพลิดเพลินไปกับการชื่นชมอย่างมาก
เมื่อกิ่งไม้รับน้ำหนักมากเกินกว่าที่ควร ในที่สุดมันก็รับไม่ไหวและหักครืนลงมา
ชายชราร่วงลงมาอย่างไร้แรงต้านทาน เคราะห์ดีที่ไม่ตกกระแทกพื้นโดยตรง หากแต่มีหลังม้าตัวหนึ่งรองรับไว้และกระดอนกลิ้งไปกับพื้น
กลางดึกเช่นนี้ ถนนหนทางไร้ผู้คน ไหนเลยสารถีจะคาดคิดว่า จู่ๆ จะมีคนตกลงมาจากท้องฟ้า
ม้าตกใจสุดขีด ส่งเสียงกรีดร้องคำรามลั่น
สารถีดึงรั้งบังเหียนเพื่อหยุดรถม้าในทันใด
“เกิดอะไรขึ้น?”
คนในรถม้าเอ่ยถาม
สารถีรถม้ากล่าว “เรียนท่านราชบุตรเขย เมื่อครู่มีคนคนหนึ่งตกจากท้องฟ้ามาโดนม้าของเราพ่ะย่ะค่ะ!”
ราชบุตรเขยเปิดม่านมองออกไปเห็นชายชรานอนอยู่บนถนน “รีบเข้าไปดูว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“พ่ะย่ะค่ะ ราชบุตรเขย!” ราชบุตรเขยกระโดดลงจากรถม้า
ชายชราถูกกระแทกจนมึนงงสติหลุดลอย บนหน้าผากมีรอยปูดโนกลมใหญ่
เมื่อสารถีเดินเข้าไปดู พบว่าเป็นชายสูงอายุ ความกังวลในใจก็ยิ่งทวีคูณ การกระแทกเมื่อครู่แม้แต่คนหนุ่มยังแทบไม่อาจทานไหว เขาคงมิได้ตายคาที่แล้วกระมัง?
ด้วยความสัตย์จริง เขาพยายามดูทางสุดความสามารถแล้ว เขาหาได้ควบม้าชน แต่หากชายชราตายขึ้นมาจริงๆ ก็อาจตกเป็นความผิดของเขากับราชบุตรเขยได้
ขณะที่สารถีรถม้ายังขวัญเสียไม่หาย จู่ๆ ชายชราก็หายใจเฮือกหนึ่ง ทำเอาสารถีตกใจแทบเข่าทรุดลงตรงนั้น!
“พะ…พยุงข้าที” ชายชรามองเห็นชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง พลันยื่นมือไปทางเขา
“คง…ยังมีชีวิตอยู่กระมัง?” สารถียื่นมืออันสั่นเทาออกไปแตะบนหลังมือของเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อสัมผัสได้ถึงความอุ่น จึงพยุงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นนั่ง
หลังจากลุกขึ้นนั่ง ลมหายใจของชายชราก็สม่ำเสมอขึ้นมาก
“เขาไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” ราชบุตรเขยเอ่ยถาม
“เรียน…” สารถีกำลังจะรายงานแก่ราชบุตรเขย แต่เมื่อคำพูดขึ้นมาแตะริมฝีปาก เขาพลันนึกขึ้นได้ว่าการเดินทางครั้งนี้ ราชบุตรเขยปลอมตัวเป็นสามัญชน ไม่ต้องการให้คนอื่นรับรู้ถึงตัวตนของเขา จึงรีบปรับเปลี่ยนวาจา “เรียนนายท่าน ดูแล้วไม่มีปัญหาใหญ่อะไร”
ราชบุตรเขยเปิดม่านขึ้นเล็กน้อย มองออกไปที่ชายชรา “เจ้าพักอยู่ที่ใด? ข้าจะพาเจ้าไปที่โรงรักษาก่อน แล้วจึงแจ้งให้ครอบครัวเจ้าทราบ”
ชายชราโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องไปสถานพยาบาลหรอก เจ้าพาข้ากลับไปเลยดีกว่า”
จวนประมุขหญิงอยู่ห่างไกลจากจวนเห้อเหลียนเป็นอย่างมาก หากเดินกลับไปด้วยสองขาแก่ๆ ของเขา วันพรุ่งก็คงยังไม่ถึง
ราชบุตรเขยครุ่นคิด “มิสู้หาโรงรักษาที่ใกล้ที่สุดระหว่างทางกลับ”
“ที่บ้านของข้ามีหมออยู่” ชายชรากล่าว
“หากเป็นเช่นนั้น ก็เชิญขึ้นรถเถิด” ราชบุตรเขยกล่าวอย่างสุภาพ
อา… แม้การที่ชายแก่สกปรกมานั่งร่วมเกวียนเดียวกับราชบุตรเขยจะทำให้สารถีไม่ชอบใจนัก ทว่าการตัดสินใจของราชบุตรเขย ต่อให้ใช้ม้าแปดตัวลากก็กู่ไม่กลับ
สารถีจำใจเชิญชายชราขึ้นรถม้าด้วยความสุภาพอ่อนน้อม
เดิมทีสารถีรถม้าผู้นี้เป็นคนที่ประมุขหญิงแต่งตั้งให้รับใช้ราชบุตรเขย ทว่าเมื่อผ่านมานานหลายปี เขาก็เห็นราชบุตรเขยเป็นเจ้านายตัวจริงของเขา เขาไม่อาจขัดคำสั่งของราชบุตรเขย และไม่อาจเปิดเผยสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผย
แต่ทว่า เขาย่อมคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองเช่นกัน อย่างเรื่องที่ราชบุตรเขยเคยไปที่จวนเห้อเหลียน และได้พบกับคุณชายใหญ่ผู้หนึ่ง ประมุขหญิงเตือนมิให้เขากล่าวถึงเรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้กล่าวถึงจริงๆ
แน่นอน มิใช่เขารักตัวกลัวตายเสียทั้งหมด ทว่าเรื่องบางเรื่องกล่าวไปก็ไร้ประโยชน์ ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด เขาก็ถูกขับไล่ออกไป และมีสารถีคนใหม่เข้ามาแทน แต่ไม่แน่ว่าจะภักดีกับราชบุตรเขยเท่าเขา
“หากท่านนั่งดีแล้ว รถม้าจะเริ่มเดินทาง ท่านต้องการไปที่ใดหรือ?” สารถีเอ่ยถาม
“จวนเห้อเหลียน” ชายชรากล่าว
สีหน้าสารถีเคร่งขรึมขึ้นทันควัน
ราชบุตรเขยก็ชะงักไป
สารถีเอ่ย “มิเช่นนั้นนายท่านกลับไปก่อน แล้วข้า…ข้าไปส่งชายแก่เองน่าจะดีกว่านะขอรับ”
จวนประมุขหญิงอยู่ด้านหน้า ราชบุตรเขยสามารถลงจากรถและเดินกลับไปเองได้ ไม่จำเป็นต้องเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง แต่ไม่ทราบเหตุใดราชบุตรเขยกลับรู้สึกอยากไป
“ไม่ละ” ราชบุตรเขยเอ่ย
สารถีหมดสิ้นหนทาง จำใจพาราชบุตรเขยไปยังจวนเห้อเหลียน
ชายชรากดนวดศีรษะที่ปวดร้าว
เขายังมึนงงจากการกระทบกระเทือน จนไม่ได้ใส่ใจจะมองบุรุษตรงหน้า แม้เขาจะไม่เคยเห็นราชบุตรเขยแห่งหนานจ้าวมาก่อน ทว่าหากมองตำแหน่งที่เขาปรากฏตัวออกมาและหน้ากากที่ปิดบังใบหน้า ก็คงเดาตัวตนของเขาได้ไม่ยาก
ครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าก็เคลื่อนมาจอดเทียบจวนเห้อเหลียนฝั่งตะวันออก
ชายชราลงจากรถม้า โดยมีสารถีคอยพยุง
ชายชรากล่าวขอบคุณราชบุตรเขย “ข้าถึงบ้านแล้ว ขอบคุณคุณชายมาก”
ราชบุตรเขยเปิดม่านรถม้ามองออกไปยังประตูสูงตระหง่านของจวนเห้อเหลียน ไม่ทราบด้วยเหตุใด อารมณ์ที่ไม่อาจอธิบายพลันถาโถมเข้ามาในใจ
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้า…อยู่ที่นี่หรือ?”
ชายชราตอบ “ที่นี่เป็นบ้านของสหายข้า ข้ามาพักอยู่ชั่วคราว หากไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวก่อน”
เอ่ยจบ เขาก็หมุนตัวกลับ หมายจะไปเคาะประตูจวนเห้อเหลียน
ทันใดนั้นราชบุตรเขยที่อยู่ในรถก็เอ่ยปาก “ข้าจะเข้าไปนั่งเล่นด้านในได้หรือไม่?”
เอ่อ…ดึกดื่นเช่นนี้แล้ว ไม่ดีกระมัง…
เคยเห็นคนที่ช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อความสุข แต่ไม่เคยเห็นคนที่ช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อความสุขแล้วจากนั้นก็ไปนั่งในบ้านพวกเขาหรือ?
คนผู้นี้ดูไปแล้วก็ไม่เหมือนคนชั่วร้ายอะไร แต่ต่อให้เป็นคนชั่วจริงๆ เมื่อเข้ามาอยู่ในจวนแล้ว จะแตกต่างอย่างไรกับการตกนรกทั้งเป็น
ชายชราพยักหน้า “ได้ ท่านตามข้ามาแล้วกัน”
สารถีเกาศีรษะอย่างกังวล เขากำลังทำอะไรอยู่? มาครั้งเดียวก็พอแล้ว เหตุใดราชบุตรเขยต้องอยากเข้าไปด้วย? หากประมุขหญิงรู้เข้าตอนกลับไป ก็ต้องให้ท่านดื่มยาอีกชามแน่!
ราชบุตรเขยออกจากรถม้า
ชายชราเคาะประตูพลางตะโกนบอกคนด้านใน “ข้าเอง”
เด็กรับใช้เปิดประตูมาต้อนรับอย่างเคารพนพนอบ “วันนี้ไม่เห็นท่านออกไป ท่านใช้ประตูหลังหรือขอรับ?”
ชายชรากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าบินออกไป”
เด็กรับใช้หัวร่อฮ่าๆ “ท่านนี่มีอารมณ์ขันยิ่งนัก!”
อายุปูนนี้ พูดความจริงกลับไม่มีใครเชื่อ ชายชราชี้ไปที่บุรุษด้านข้างแล้วกล่าวว่า “ระหว่างทางข้าเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย คุณชายผู้นี้พาข้ากลับมา ข้าจะเชิญเขาเข้าไปนั่งเล่นในจวน”
“นั่ง…เล่น…” ดึกดื่นเช่นนี้ ภายในใจเด็กรับใช้สับสนงงงวย ทว่าปากกลับไม่กล้าเอ่ยกันคนให้อยู่ด้านนอก ท่านแม่ทัพใหญ่ได้กำชับไว้ว่าผู้ที่อาศัยอยู่กับคุณชายใหญ่ ล้วนเป็นแขกผู้มีเกียรติของจวนตะวันออก ให้ปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเคารพเช่นเดียวกับเจ้านายคนอื่นๆ
เด็กรับใช้เปิดประตูหน้าจวน ต้อนรับชายชรากับราชบุตรเขยเข้ามา และถือตะเกียงส่องทางให้พวกเขา
ทิวทัศน์ภายในจวนเห้อเหลียนไม่งามตาเท่าจวนประมุขหญิง โดยเฉพาะยามราตรีที่มืดมิด ไม่อาจนับได้ว่าน่าเพลิดเพลินเจริญใจโดยแท้ ทว่าก็ไม่ทราบด้วยเหตุใด ที่นี่กลับมีกลิ่นอายบางอย่างที่ชวนให้ราชบุตรเขยรู้สึกชื่นชอบ
หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้น และเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ
ยามผ่านระเบียงทางเดินชวีโยว หญิงรับใช้สูงอายุนางหนึ่งที่กำลังเมาได้ที่เดินเซมาชนเขา ทว่าเขาก็มิได้โกรธเคือง
“โอ้ บ่าวขออภัย บ่าวขออภัย!” เด็กรับใช้กล่าวขอโทษแทนหญิงรับใช้สูงอายุอยู่หลายครา
ราชบุตรเขยยกยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร”
เด็กรับใช้ตกตะลึง แขกท่านนี้อารมณ์เยือกเย็นดียิ่งนัก
เมื่อเด็กรับใช้ส่งทั้งสองถึงชีสยาย่วนก็กลับเรือนนอกไป
ยามนี้ภายในชีสยาย่วนมีเสียงดังเอะอะเล็กน้อย
คงเพราะพบว่าเขาหายตัวไปเป็นแน่ จึงเกิดโกลาหลสูญเสียการควบคุม ชายชราส่ายหัว พวกคนเขลากลุ่มนี้ บางครั้งก็ทำให้คนโกรธแทบสิ้นใจตาย แต่บางครั้งก็ทำให้อบอุ่นจนหัวใจร้อนรุ่ม
“เจ้าอยู่ที่นี่เองหรือ?” ราชบุตรเขยเอ่ยพลางมองประตูเรือนที่แง้มอยู่
หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าหลังประตูมีบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา เขาไม่รอให้อาม่าเอ่ยตอบ พลันเงยหน้าขึ้นแล้วผลักประตูออกไป
ชายชราที่เงื้อมือช้าไปหนึ่งก้าว “…”
ประตูเปิดออก
กลิ่นของเนื้อย่างพุ่งเข้าปะทะหน้า
คิ้วของชายชราขมวดมุ่นในทันที วินาทีถัดมา เขาก็ต้องตาโตอย่างตื่นตะลึง
เขาเห็นสิ่งใดกัน?
…………………………………………..