หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 271 ไข่ดำป่วยไข้
รุ่งอรุณฟ้าสาง อวี๋หวั่นค่อยๆ ตื่นขึ้นจากการหลับฝัน
เมื่อคืนคนทั้งสองดื่มด่ำกันจนดึก อวี๋หวั่นจำไม่ได้ว่าเธอหลับไปตอนไหน ลืมตาอีกทีก็เช้าเสียแล้ว
อวี๋หวั่นมองท้องฟ้าที่สว่างโล่ง แล้วก็แอบถอนหายใจ เฮ้อ ตื่นสายอีกแล้วสิ
ยามที่อยู่จวนคุณชายเมื่อก่อนนั้นยังปลอบใจตัวเองได้ว่า สามารถนับเงินจนมือเป็นตะคริวหรือนอนหลับแล้วตื่นเองตามธรรมชาติเพราะไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ในจวน แต่ตอนนี้ละจะอ้างอย่างไรได้? ผู้ใหญ่ก็อยู่กันมากมาย แถมยังนอนตื่นสายขึ้นทุกวัน
“เฮ้อ ข้านี่ชักเหลวไหลจริงๆ!”
อวี๋หวั่นเอามือปิดตากล่าวด้วยความละอายใจ
โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยใส่ใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ามีหลานแสนดีผู้งดงามและเหล่าไข่ดำตัวน้อย จึงไม่ยี่หระกับหลานสะใภ้อัปลักษณ์เพียงคนเดียว…
อวี๋หวั่นยกผ้านวมและลุกขึ้นนั่ง เมื่อเอื้อมมือเปิดม่านก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ชวนให้รู้สึกชื่นใจ
เธอมองไปเห็นดอกซานฉาฮวาสีขาวบริสุทธิ์บ้างก็สีชมพูสองสามดอกในแจกันบนโต๊ะข้างเตียง ดอกไม้บานสะพรั่งเต็มที่แต่เช้าตรู่ นอกจากนี้ยังมีหม้อข้าวหม้อแกงลิงไล่ยุงไล่แมลงอีกสองดอกในแจกัน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเข้ากับความงามของเธอ
ไม่จำเป็นต้องเดาว่าใครเป็นคนทำ
เมื่อนึกถึงภาพเขาไปเก็บดอกไม้และหม้อข้าวหม้อแกงลิงจากสวนในยามเช้าเพื่อมาใส่แจกันให้เธอ อวี๋หวั่นก็รู้สึกอบอุ่นจากก้นบึ้งของหัวใจ
เยี่ยนจิ่วเฉาอาบน้ำยาเสร็จแล้ว ในยามนี้เขากำลังนั่งอยู่หน้าเตียงอย่างเงียบสงบ พลิกเปิดอ่านหนังสือในมือด้วยความตั้งใจ แสงอาทิตย์ทอประกายสีทองกระทบใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา เขาจมอยู่ในโลกของตัวเอง ทั่วทั้งร่างกายคล้ายกับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของหนังสือเศรษฐศาสตร์การเมือง
สามีของข้านี่…ทั้งหล่อเข้มทั้งน่ารักเสียจริง…
อวี๋หวั่นอดยกยิ้มมุมปากไม่ได้ เมื่อสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตา
หลังจากล้างหน้าล้างตากลับมาถึงโต๊ะเครื่องแป้งก็จัดแจงหวีผม เมื่อเปิดลิ้นชักออกมาก็เห็นปิ่นปักผมมุกด้ามใหม่
นับดูแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกเขาทำให้ประหลาดใจ แม้เขาจะไม่ใช่คนช่างพูด แต่ภายในห้องบางครั้งบางคราวก็มีสิ่งของที่เขาตั้งใจเตรียมไว้อย่างดี
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าสามีของเธอกำลังจะทำให้เธอลุ่มหลงจนตายแล้วเป็นแน่!
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มกริ่ม มือสองข้างไพล่อยู่ด้านหลัง ค่อยๆ ย่อตัวลงและพุ่งไปข้างหน้าเขา “เยี่ยนจิ่วเฉา หากวันหนึ่งท่านถูกวางยา ท่านจะลืมข้าหรือไม่?”
“ลืมอะไรกัน? ขี้เหร่ขนาดนี้น่ะรึ?” เยี่ยนจิ่วเฉาครุ่นคิดอย่างจริงจัง “อื้มม น่าจะลืมไม่ลง”
อวี๋หวั่นใบหน้ามืดหม่น
ไม่ซาบซึ้งอะไรมันแล้ว คิดแต่อยากตีบุรุษผู้นี้ให้ตายนัก!
ช่วงนี้จวนเห้อเหลียนนับว่าสงบลงพอสมควร ฮูหยินผู้เฒ่าได้บุตรชายคนเล็ก ทั้งยังได้สะใภ้ที่งามดั่งบุปผาล้ำค่าดั่งหยก ไม่กล่าวว่าทุกวันนี้เบิกบานใจเพียงใด บุตรชายคนเล็กยุ่งกับงานราชการ ไม่ได้มาที่ห้องของนางบ่อยนัก แต่เพราะสะใภ้กตัญญูอย่างไรละ! ทุกๆ วันนางจะไปเล่นไพ่ใบไม้กับฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทั้งยังสอนให้นางเล่นทุยไผจิ่ว ทอยลูกเต๋าและพนันสูงต่ำ(ไฮโล)!
ฮูหยินผู้เฒ่าสดใสร่าเริงราวกับเทพเซียน!
เมื่อเทียบกันแล้ว ชีวิตของไข่ดำทั้งสามช่างน่าสังเวช
เมื่อสองวันก่อนอากาศไม่ดีนัก ไข่ดำเล็กทั้งสามป่วยไข้เพราะลมหนาว เริ่มจากเสี่ยวเป่าจามตลอดทั้งคืน จากนั้นเอ้อร์เป่าก็เริ่มไอและสุดท้ายต้าเป่าก็ตัวร้อนมึนงงตลอดทั้งวัน
จนกระทั่งเช้า จมูกน้อยๆ ของเด็กทั้งสามก็พ่นฟองน้ำมูกกันหมด
เด็กน้อยที่ไม่สบายเปลี่ยนมาติดคนงอมแงม
พวกเขาทั้งสามนั่งบนธรณีตูประอย่างน่าเวทนา เมื่อเห็นอวี๋หวั่นเดินมา เสี่ยวเป่าก็ยื่นมือน้อยๆ ออกไปด้วยแววตาน่าสงสาร “ท่านแม่ กอด”
อวี๋หวั่นอุ้มเสี่ยวเป่าขึ้นมากอดและลูบหน้าผาก “ยังร้อนอยู่เลย กินยาแล้วหรือยัง?”
เสี่ยวเป่าซุกหน้ากับคอของมารดาและเอ่ยเสียงออดอ้อน “เสี่ยวเป่าไม่กินยา”
“ไม่กินก็จะไม่หาย” อวี๋หวั่นปลอบโยนเบาๆ
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้ามา ใช้ปลายนิ้วเรียวดั่งหยกลูบบุตรชาย
เสี่ยวเป่าคิดว่าเขาจะพาตนเองไป พลันทำเสียงฮึดฮัด “ไม่เอากอดของพ่อตัวเหม็น!”
เยี่ยนจิ่วเฉาเขกหัวเขาไปหนึ่งที
เสี่ยวเป่าเจ็บจนน้ำตาคลอ!
เยี่ยนจิ่วเฉาคว้าตัวต้าเป่าและเอ้อร์เป่าขึ้นมา
อาการของเด็กทั้งสองรุนแรงกว่าเสี่ยวเป่า พวกเขามีไข้สูงใบหน้าแดงก่ำ ท่าท่างเจ็บป่วยอิดโรย ศีรษะเล็กพิงไหล่ของบิดาอย่างอ่อนแรง หากเป็นเมื่อก่อน พวกเขาคงไปแย่งชิงท่านแม่กับเสี่ยวเป่าไปแล้ว ทว่ายามนี้กลับไร้เรี่ยวแรงจะทำเช่นนั้น
จื่อซู ฝูหลิงและสาวใช้มือเท้าว่องไวอีกคนต่างถือชามโจ๊กไว้ในมือ
นี่คืออาหารเช้าของเด็กๆ พวกนางป้อนกว่าครึ่งชั่วยาม ทว่ากลับกินได้เพียงไม่กี่คำ
“ข้าเอง” อวี๋หวั่นกล่าว
ทั้งคู่พาเด็กๆ กลับเข้าไปในห้อง หมายจะวางพวกเขาลงบนม้านั่ง แต่ทั้งสามกลับไม่มีใครยอมปล่อยมือ
ในที่สุด อวี๋หวั่นจำต้องป้อนเสี่ยวเป่าในอ้อมแขนของเธอก่อน จากนั้นจึงอุ้มเสี่ยวเป่าและเดินไปป้อนต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าที่อยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยนจิ่วเฉา
เสี่ยวเป่าไข้ไม่สูงมาก ยังนับว่ากินอาหารได้ดี โจ๊กหมดไปถึงครึ่งชาม ส่วนต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าอย่างไรก็กินไม่ลง
อวี๋หวั่นทรมานใจ ลูบหัวน้อยๆ ของพวกเขา “อยากกินถังหูลู่หรือไม่?”
ทั้งสองพยักหน้าเลื่อนลอย
ทว่าเมื่อถังหูลู่ถูกซื้อกลับมา ทั้งสองก็ยังกินไม่ลงอยู่ดี
ฮูหยินผู้เฒ่าที่ได้ทราบเรื่องอาการป่วยของเหลน รีบร้อนยันไม้เท้ามาดูพวกเขา แต่ถูกเยี่ยนจิ่วเฉากันให้กลับไป
ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว หากติดไข้ของเด็กทั้งสามอาจกลายเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้พบเหลนตัวน้อยของนาง แม้แต่เล่นไพ่ใบไม้ก็ยังไม่มีกะจิตกะใจ
อีกด้านหนึ่ง ณ จวนประมุขหญิง ซิวหลัวเองก็ไม่สบายน้ำมูกไหลเป็นฟองลูกโป่งเช่นเดียวกัน
ซิวหลัวปล่อยให้อาม่าหนีไปได้โดยไม่ตั้งใจ ทำให้หนานกงหลีโกรธจัดจนกระอักเลือด เขาไม่สนใจซิวหลัวอยู่หลายวัน จนในที่สุดก็ตัดสินใจมาที่เรือนและเห็นซิวหลัวนั่งอยู่บนธรณีประตูด้วยท่าทางน่าสงสาร
ซิวหลัวชอบมานั่งบนธรณีประตูตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ไม่ใช่สิ เหตุใดซิวหลัวถึงไม่สบายได้?!
ในจวนไม่มีผู้ใดจับไข้ลมหนาวเสียหน่อย!
ผู้ใดนำไข้หวัดมาติดเขา?
สภาพของซิวหลัวมองดูแล้วไม่อาจช่วยเหลือตนเองและน่าสมเพช
เดิมทีหนานกงหลีคิดจะปล่อยวางเรื่องนักบวชเผ่าปีศาจที่หนีไป แต่เมื่อเห็นซิวหลัวในสภาพเช่นนี้ก็เกิดทนไม่ไหวต้องเอ่ยปาก
“ใครก็ได้มานี่หน่อย!” หนานกงหลีเอ่ย
“องค์ชาย” องครักษ์เดินมาด้านหน้าพร้อมกับยกมือคำนับ
หนานกงหลีออกคำสั่ง “ไปเชิญหมอหลวงมา ให้เขารักษาซิวหลัวให้หายดี”
“ขอรับ!” องครักษ์รับคำสั่งและเดินจากไป
ที่หนานกงหลีมาพบซิวหลัวในวันนี้ แน่นอนว่าไม่เพียงเพื่อ ‘สะสางบัญชีเก่า’ ง่ายๆ เท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้น เขาต้องการให้ซิวหลัวช่วยแก้ปัญหากับคนบางคน
เขาคิดว่าแม้นสถานการณ์ของบิดาจะมั่นคงดีในยามนี้ ทว่าตราบใดที่เยี่ยนจิ่วเฉายังอยู่ในหนานจ้าว ก็ไม่อาจรับรองได้ว่าบิดาจะไม่ได้พบเขาอีก หากทั้งสองได้พบกัน ความทรงจำในอดีตของบิดาก็อาจกลับมาอีกครั้ง
วิธีที่ดีที่สุดคือทำให้คนผู้นั้นหายไปจากหนานจ้าวตลอดกาล!
แต่ซิวหลัวกลับไม่สบายจนเป็นเช่นนี้ หนานกงหลีกังวลว่าสมองที่ใช้การได้ไม่ดีอยู่แล้วของเขาจะยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม ถึงตอนนั้นอย่าฆ่าผิดคนแล้วมาสร้างปัญหาให้เขาอีก หนานกงหลีครุ่นคิด หรือตนจะตัดสินใจไปหาราชครูก่อน
ราชครูเพิ่งเสร็จจากการว่าราชการ ระหว่างทางกลับสำนักาชครูได้พบกับหนานกงหลี
ราชครูลงจากรถม้าพลันยกมือคำนับ “องค์ชาย”
หนานกงหลีมองดูราชครูและมองดูหวั่นเฟิง ศิษย์ที่ราชครูพามาด้วย “ราชครูขึ้นรถเถิด ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับท่านเพียงลำพัง”
ราชครูพยักหน้า จากนั้นหันไปหาหวั่นเฟิง “เจ้ากลับไปที่สำนักราชครูก่อน”
“ขอรับท่านอาจารย์” หวั่นเฟิงกลับขึ้นรถม้าและจากไป
ราชครูเข้าไปในรถม้าของหนานกงหลี
หนานกงหลีเปิดม่านหน้าต่าง เหลือบมองรถม้าที่เคลื่อนหายไปสุดหัวถนน “ศิษย์ผู้นั้นเป็นคนที่ไปไต่สวนหัวขโมยที่บุกเข้าสำนักราชครู แล้วถูกจับไปเป็นตัวประกันใช่หรือไม่?”
“เป็นเขา” ราชครูตอบ
หนานกงหลียิ้มจางๆ “ทำผิดพลาดมหันต์เช่นนี้ ราชครูไม่เพียงแต่ไม่จัดการลงโทษ ทว่ายังคงใช้งานเขาต่อไป ราชครู…ให้ความสำคัญกับศิษย์ผู้นี้มากทีเดียว”
ราชครูกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หวั่นเฟิงไม่มีทางทรยศข้า ฝ่าบาทมาหาข้ามีเรื่องอันใด?”
“ท่านราชครูคงยังไม่ทราบว่า หัวขโมยที่บุกเข้าสำนักราชครูพวกนั้นแท้จริงแล้วมาจากที่ใดกระมัง?”
“มาจากที่ใด?”
“พวกมันเหมือนกับซิวหลัว ล้วนมาจากเผ่าปีศาจ”
“ว่าอย่างไรนะ?” ราชครูตกตะลึง “คนของเผ่าปีศาจจะสมคบคิดกับพวกเขาได้อย่างไร คงมิใช่…”
“คงมิใช่อันใดรึ?” ครานี้เป็นหนานกงหลีที่ชำเลืองมอง “หรือท่านราชครูได้รู้สิ่งใดมาก่อน?”
ราชครูมุ่นคิ้ว “กล่าวตามตรง ข้าเคยพบกับพระชายาซื่อจื่อของเยี่ยนจิ่วเฉายามอยู่ที่ต้าโจว หน้าตาของนางละม้ายคล้ายกับตี้จีองค์โตในตอนนั้นยิ่งนัก ข้าเคยสงสัยว่านางจะเป็นบุตรสาวของตี้จีองค์โต ทว่าสุดท้ายก็พบว่าไม่ใช่”
“เกรงว่าท่านจะถูกหลอกแล้วกระมัง” หนานกงหลีหยิบภาพวาดออกจากแขนเสื้อกว้าง “ท่านเคยเห็นชายชราผู้นี้ในต้าโจวหรือไม่?”
“นี่เป็นชายชราจากหมู่บ้านเหลียนฮวามิใช่หรือ?” ราชครูถาม
หนานกงหลีหัวเราะเยาะ “เขาเป็นนักบวชของเผ่าปีศาจ เขาเคยเห็นท่านมาก่อน แต่ท่านไม่เคยเห็นเขา เกรงว่ายามอยู่หมู่บ้านเหลียนฮวาเขาจำท่านได้ และหลอกล่อเพื่อให้ท่านคลายสงสัยในตัวอวี๋หวั่น”
ราชครูสับสน “เหตุใดพวกเขาต้องทำเช่นนั้น?”
“ข้าเองก็ไม่รู้” หนานกงหลีเก็บม้วนภาพวาดอย่างแผ่วเบา
ไม่นาน ราชครูก็เกิดคำถามใหม่ “หากพระชายาซื่อจื่อของเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นบุตรสาวของตี้จีองค์โตจริง เช่นนั้นมิใช่ว่านาง…”
หนานกงหลีรับคำพูดของเขามากล่าวต่อ “ไม่ผิดแน่ นางเป็นองค์หญิงน้อยแห่งหนานจ้าว มีเลือดบริสุทธิ์เสียยิ่งกว่าน้องสาวบุญธรรมของข้า”
ราชครูไม่อาจย่อยข้อมูลมากมายได้ในคราวเดียว เขาสูดหายใจลึกพยายามระงับความตื่นตระหนก
หนานกงหลียิ้มเยาะหยัน “ลูกพี่ลูกน้องของข้าผู้นี้ ไม่ง่ายดายอย่างรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็นเสียจริง ยามนั้นอ่อนแอถึงเพียงนั้น แม้แต่ข้าก็ยังหลอกมาแล้ว หันมาอีกทีก็ใช้บุตรไต่เต้า มาแต่งงานกับพี่ชายต่างมารดาของข้า”
ราชครูก็รู้เรื่องตัวตนของราชบุตรเขยเช่นกัน จึงไม่แปลกใจที่ได้ยินหนานกงหลีกล่าวเช่นนี้ ทว่าน้องสาวลูกพี่ลูกน้องผู้นั้น…ไม่ทราบเพราะเหตุใด ทำให้ราชครูรู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย
ราชครูสงบอารมณ์และเอ่ยถาม “ฝ่าบาทต้องการให้ข้าทำสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ?”
หนานกงหลีเผยยิ้มเย็นชา “มิใช่ว่าท่านราชครูเคยพบกับพระชายาซื่อจื่อแห่งเมืองเยี่ยนหรอกหรือ? ข้าต้องการให้ท่านราชครูไปชี้ตัวพวกเขา ให้องค์ประมุขส่งพวกเขาออกไปจากหนานจ้าว!”
…………………………………………