หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 277.2 เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ออกโรง จบสิ้น (2)
- Home
- หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]
- บทที่ 277.2 เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ออกโรง จบสิ้น (2)
หากรู้เช่นนี้แต่แรก ข้าจะทำลายวรยุทธ์ทั้งหมดของเห้อเหลียนเป่ยหมิงไปเพื่อสิ่งใด? ปล่อยให้เขาเป็นผู้นำตระกูลต่อไปไม่ดีกว่าหรือ? อย่างน้อยเขากับตี้จีองค์โตก็ยังแยกกัน และอย่างน้อยก็ยังมีนางถานกับเห้อเหลียนเซิงที่สามารถหยิกเขาได้!
ยามนี้…ถึงจะให้มาหยิกเขาก็ไม่ทันแล้ว…ผู้นำตระกูลได้เปลี่ยนคนแล้ว!”
นางพยายามทุกวิถีทางเพื่อดึงสกุลเห้อเหลียนมาเป็นพวก แต่พวกเขากลับตกอยู่ในมือของสองแม่ลูกที่ไม่ได้ลงแรงแต่อย่างใดไปอย่างง่ายดาย
เรื่องนี้จะให้นางทนได้อย่างไร? ให้ทนได้อย่างไรกัน? !
“ท่านแม่โปรดระงับโทสะ” หนานกงหลีเกลี้ยกล่อม
ทรวงอกของประมุขหญิงเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรวดเร็วตามจังหวะหายใจ “เจ้าจะไม่ให้ข้ามีน้ำโหได้อย่างไร? หากเป็นเมื่อก่อนข้าก็คงไม่กลัว แต่ยามนี้เกิดเรื่องท่านพ่อของเจ้า ท่านตาเจ้าผิดหวังกับข้ามาก ไม่มีผู้ใดรับประกันได้ว่าเขาจะไม่โกรธเคืองจนกลับใจไปคิดถึงบุตรสาวคนโตที่จากไป ยามนั้นด้วยการสนับสนุนจากสกุลเห้อเหลียน เจ้าคิดว่านางยังอยู่ห่างจากตำแหน่งนั้นสักเท่าใด?”
หนานกงหลีกล่าวต่อ “แม้ท่านตาจะโกรธแต่ก็มิได้ยึดตำแหน่งประมุขหญิงของท่านไป แสดงให้เห็นว่าในใจของท่านตามีเพียงท่านแม่ที่สำคัญที่สุด”
ประมุขหญิงเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้ายังไม่รู้ ท่านตาของเจ้าสั่งไม่ให้ข้าออกไปที่ใดและจำกัดอำนาจของข้า ยามนี้ข้าเป็นเพียงประมุขหญิงเพียงในนามเท่านั้น”
หนานกงหลีคลี่ยิ้มจางๆ “แล้วอย่างไรเล่า? หากกล่าวอย่างไม่สุภาพ สักวันหนึ่งท่านตาก็ต้องล่วงลับไป ถึงเวลานั้นขอเพียงท่านแม่ยังเป็นประมุขหญิงแห่งหนานจ้าว อย่างไรเสียก็ต้องถูกกำหนดให้นั่งบัลลังก์มังกรอย่างชอบธรรม อำนาจที่สูญเสียไป รอให้ท่านครองบัลลังก์แล้วค่อยๆ นำมันกลับคืนมาก็ย่อมได้”
ประมุขหญิงพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “เจ้ากล่าวเช่นนี้ก็ดูสมเหตุสมผล”
หนานกงหลีกล่าว “ดังนั้นยามนี้ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใด เพียงแค่รักษาตำแหน่งประมุขหญิงไว้ให้มั่นคงก็พอ”
ประมุขหญิงคิดแล้วก็โกรธ “ถ้าตี้จีองค์โตมิได้ร่วมมือกับสกุลเห้อเหลียน ไหนเลยข้าต้องระแวดระวังถึงเพียงนี้? แม้ข้าจะแทงทะลุฟ้าแล้วอย่างไร? ท่านตาของเจ้าก็ยังเลือกไม่มอบอาณาจักรให้กับข้าได้มิใช่รึ?”
หนานกงหลีคลี่ยิ้มกล่าว “เพราะเหตุนี้ท่านแม่ถึงต้องใจเย็นเข้าไว้ ท่านเป็นบุตรจากภรรยาเอกที่เกิดในวังหลวง ท่านเป็นสายเลือดดั้งเดิม อย่างไรท่านยายก็ต้องร้องขอความเมตตาให้ท่านเป็นแน่”
เมื่อนึกถึงเสด็จแม่ฮองเฮา นางพลันรู้สึกมั่นใจจากก้นบึ้งของหัวใจ “ข้าออกไปจากจวนไม่ได้ อีกประเดี๋ยวเจ้าเข้าวังไปพบท่านยายของเจ้าแทนข้าสักหน่อย”
หนานกงหลีพยักหน้า “ลูกเข้าใจดี ท่านแม่รอฟังข่าวดีจากลูกอยู่ที่นี่เถิด ส่วนเรื่องท่านพ่อ ลูกก็จะพยายามเกลี้ยกล่อมท่านยาย ขอเพียงนางเอ่ยปาก ท่านตาต้องยอมอ่อมข้อเป็นแน่”
ถูกต้อง คนที่องค์ประมุขทรงรักใคร่มากที่สุดมานานหลายปีคือฮองเฮา แรกเริ่มเดิมทีทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์พระสนมอวิ๋นเฟย องค์ประมุขก็ทรงรู้สึกละอายใจ ทรงปฏิบัติต่อฮองเฮาดีกว่าเมื่อก่อน หากฮองเฮาออกหน้า ย่อมไม่มีเรื่องใดที่จบลงไม่ดี
“หลีเอ๋อร์”
หนานกงหลีกำลังจะออกไป แต่ประมุขหญิงก็เรียกรั้งเขาไว้อย่างกะทันหัน
หนานกงหลีหันไปมองนาง “ท่านแม่ยังมีเรื่องอันใดหรือ?”
ประมุขหญิงชะงัก คิ้วขมวดเข้าหากัน “เจ้าคิดว่าเรื่องนี้มีผู้บงการเบื้องหลังหรือไม่?”
“ท่านแม่กำลังเอ่ยถึงเรื่องเปิดเผยตัวตนของเยี่ยนจิ่วเฉาและท่านพ่อหรือ?”
“ใช่”
หนานกงหลีกล่าวน้ำเสียงเย็นชา “ต้องเป็นเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่แล้ว นอกจากเขาแล้ว ยังมีผู้ใดที่รู้ประวัติชีวิตของท่านพ่ออีก? จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต เพื่อเอาตัวรอดแล้ว เขาไม่ลังเลแม้กระทั่งผลักบิดาผู้ให้กำเนิดลงกองเพลิง”
ประมุขหญิงก้าวไปข้างหน้าและลูบสัมผัสใบหน้าของบุตรชาย “ดังนั้นหลีเอ๋อร์ของแม่ถึงเป็นลูกที่กตัญญูที่สุดในโลก”
หนานกงหลีคลี่ยิ้มเล็กน้อย “ลูกจะกตัญญูต่อท่านพ่อและท่านแม่”
เรื่องใหญ่หลวงเช่นนี้ หนานกงหลีไม่กล้ารีรอ รีบมุ่งหน้าไปเข้าเฝ้าฮองเฮาที่วังหลวง
เรื่องของราชบุตรเขยสร้างความโกลาหลไปทั่ว ฮองเฮาผู้อยู่ลึกเข้าไปในวังหลวงก็จำต้องได้ฟังเรื่องนี้ไปด้วย เพียงแต่ไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง บุตรสาวของนางกับเยี่ยนอ๋องแห่งต้าโจวมีสัมพันธ์กัน
ฮองเฮากริ้วจนเจ็บปวดพระทัย
แต่นั่นเป็นบุตรสาวที่รักของนาง ยังมีหนทางใดอีก?
อย่างไรก็ไม่อาจให้คนมองนางเป็นกระโถนท้องพระโรง และยิ่งไม่อาจยอมให้นางเป็นม่ายตั้งแต่อายุยังน้อย
ฮองเฮาทอดถอนใจอย่างหมดหนทาง “ข้าเข้าใจแล้ว รอท่านตาของเจ้ากลับมา ข้าจะบอกเขาว่าอย่าได้โกรธเยี่ยนเอ๋อร์มากนัก และอย่าทำให้ครอบครัวของพวกเจ้าต้องอับอาย ครอบครัวเดียวกัน จงดีต่อกันไว้”
เพียงฮองเฮารับปาก หนานกงหลีก็รู้สึกโล่งใจ
เวลานี้ พวกเขาเพียงต้องรอให้ความกริ้วขององค์ประมุขสงบลงอยู่ในจวนเท่านั้นก็พอ
สิ่งที่สวรรค์ไม่เป็นใจคือเมื่อหนานกงหลีกำลังจะกลับไปที่จวนเพื่อรายงานข่าวดีต่อประมุขหญิง คุกหลวงก็ส่งข่าวร้ายมาบอก…ราชบุตรเขยกระอักเลือด
ประมุขหญิงที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องลุกขึ้นจ้องมองหัวหน้าองครักษ์โม่ซังที่เดินเข้ามารายงานด้วยดวงตาวูบไหว “เจ้าว่าอย่างไรนะ? เกิดอันใดขึ้นกับราชบุตรเขย?”
โม่ซังมีสหายที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในคุกหลวง หลังจากราชบุตรเขยถูกจับเข้าคุกหลวง เขาก็ใช้ความสัมพันธ์แจ้งให้สหายส่งข่าวมาบอกทันทีที่มีเรื่องใดเกิดขึ้น
โม่ซังกล่าว “ราชบุตรเขย…ราชบุตรเขยกระอักเลือดพ่ะย่ะค่ะ”
ประมุขหญิงกำมือแน่น “อยู่ดีๆ เหตุใดถึงกระอักเลือดได้? พวกเขาลงโทษทรมานราชบุตรเขยหรือ?”
“เอ่อ…”
เดิมทีก็ตั้งใจจะลงโทษ ทว่าก่อนที่จะเริ่ม เขากลับอาเจียนเป็นเลือดจนผู้คุมตกใจไม่กล้าทำ
องค์ประมุขอนุญาตให้พวกเขาลงโทษซ้อมเท่านั้น แต่ไม่ให้พวกเขาฆ่าจนตาย
ประมุขหญิงโยนหนังสือที่อ่านไปครึ่งหนึ่งลง และเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “เตรียมรถม้า ข้าจะเข้าวัง!”
โม่ซังตกใจ “ฝ่าบาท ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ประมุขสั่งห้ามไม่ให้ประมุขหญิงออกจากจวน การก้าวออกไปเพียงหนึ่งก้าวก็นับเป็นการละเมิดคำสั่งขององค์ประมุข!
ประมุขหญิงเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “ได้ไม่ได้อันใด? สั่งให้เจ้าไป เจ้าก็ไปสิ!”
“…พ่ะย่ะค่ะ!” โม่ซังจำใจออกไปเตรียมรถม้า
เขาเรียกทหารยามผู้หนึ่ง “รีบไปแจ้งองค์ชายว่าฝ่าบาทจะออกจากจวนไปพบราชบุตรเขย”
ตอนนี้มีเพียงองค์ชายเท่านั้นที่สามารถหยุดยั้งประมุขหญิงได้
ทหารยามรีบเร่งออกเดินทาง
ประมุขหญิงขึ้นบนรถม้าที่กำลังจะออกจากจวน
องค์ประมุขห้ามประมุขหญิงออกไปไหน แต่ไม่ได้กักบริเวณ ดังนั้นจึงไม่มีทหารรักษาพระองค์มาคุ้มกัน ประมุขหญิงเปลี่ยนเป็นรถม้าขนาดเล็กและออกเดินทางไปอย่างราบรื่น
หากจะกล่าวให้ดี ประมุขหญิงไม่ใช่คนที่ทำการใดไม่คิดหน้าคิดหลัง ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวกับราชบุตรเขย
ราชบุตรเขยคือจุดอ่อนของนาง ขอเพียงนางได้พบกับบุรุษผู้นี้ นางก็จะไม่ต่างอะไรจากสตรีที่มีสามีทั่วไป
ว่ากันว่านารีเป็นเหตุของปัญหา แต่โม่ซังรู้สึกว่าราชบุตรเขยก็เป็นหายนะเช่นกัน
เขาเพียงภาวนาให้องค์ชายได้รับข่าวโดยเร็วที่สุด และหยุดประมุขหญิงก่อนที่จะเข้าวัง มิฉะนั้นหากองค์ประมุขทราบ ผลที่ตามมาจะเลวร้ายอย่างไม่อาจคาดคิด
ทหารยามไม่ทำให้โม่ซังผิดหวังและหยุดองค์ชายที่ประตูวังได้ทันเวลา
หนานกงหลีจึงไม่ไปไหน ‘เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย’ อยู่ที่หน้าประตูวังแต่โดยดี
อย่างไรก็ตามไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับโม่ซัง
ยามนี้ชั่วโมงอาหารค่ำที่บนท้องถนนด้านหลังแออัดที่สุด โม่ซังจงใจเดินไปรอบๆ ตรอกซอยต่างๆ เพื่อถ่วงเวลา เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ก็เข้าไปใกล้กับจวนเห้อเหลียน
วันนี้เป็นอีกวันที่ไข่ดำอยากกินขนมหวาน
ไข่ดำทั้งสามหายจากอาการไข้แล้ว รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า!
บุรุษในครอบครัวทั้งหมดถูกจับเข้าวัง อวี๋หวั่นกังวลว่าฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ในจวนจะสงสัย จึงเกลี้ยกล่อมให้นางออกไปซื้อของต่างๆ
ไข่ดำทั้งสามสวมเสื้อผ้าสีสันสดใส มีดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่บนศีรษะและริมฝีปากสีแดงเพลิง พวกเขาเดินอยู่ข้างเจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์!
ในเวลานี้รถม้าของจวนประมุขหญิงได้เลี้ยวเข้ามาในซอย
รถม้าเคลื่อนไปอย่างเร่งรีบและเกือบจะชนโม่ซัง สารถีดึงบังเหียนบังคับให้รถม้าหยุด
การหยุดที่ฉับพลันทันที ทำให้ประมุขหญิงพุ่งออกไป ศีรษะชนเข้ากับแผงประตูดังปัง
เดิมที่ก็โกรธอยู่ก่อนแล้ว เมื่อหัวกระแทกอีกครั้ง ประมุขหญิงก็ระเบิดโทสะกระชากผ้าม่านรถม้าจนเปิดออก!
นางหมายจะก่นด่าโม่ซัง แต่ทันใดนั้นก็เห็นผู้ใหญ่หนึ่งคนและเด็กสามคนกำลังเดินมาจากข้างหน้า
ตี้จีองค์โต?
นางขมวดคิ้ว
สตรีมองสตรีล้วนเป็นเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก วันเวลาปรานีต่อสตรีผู้นี้ยิ่งนัก แม้ผ่านไปนานสิบกว่าปี นางก็ยังไม่มีร่องรอยของความแก่ชรา และยังคงงดงามอย่างไม่อาจละสายตาเหมือนเดิม
ความริษยาที่ไม่อาจบรรยายได้เกิดขึ้นในใจของประมุขหญิง
นางมองดูเด็กทั้งสามที่เดินข้างตี้จีองค์โตอีกครั้ง นั่นไม่ใช่เยี่ยนจิ่วเฉาตัวน้อยสามคนหรอกหรือ?
แม้จะรู้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อได้เห็นกลับยังเกิดความรู้สึกที่ยากจะเชื่อ
สองคนที่นางเกลียดชังมากที่สุด กลับกลายเป็นคนครอบครัวเดียวกัน
กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ พวกสวะ ก็ต้องคู่ควรกับพวกสวะเท่านั้น!
นางจ้องมองนางเจียง ทว่านางเจียงกลับไม่แม้แต่จะมองนาง และเดินผ่านรถไปพร้อมกับไข่ดำตัวน้อยทั้งสามราวกับรอบด้านไม่มีใคร
เมื่อเดินผ่านไป ประมุขหญิงพลันเอ่ยเย้ยหยัน “ไก่ก็คือไก่ แม้บินเกาะกิ่งสูงได้ก็ไม่อาจกลายเป็นหงส์ คิดว่าให้กำเนิดลูกเจี๊ยบสองสามตัว ก็จะถือว่าตนเป็นหงส์อย่างนั้นรึ?”
“พวกเรา ไปต่อ” ประมุขหญิงลดม่านลง
ทันใดนั้น มือเปล่าอันนุ่มนิ่มไร้กระดูกก็พุ่งเข้ามาจากม่านรถม้า คว้าชายกระโปรงของประมุขหญิง แล้วกระชากลงมาพร้อมกับผนังของรถม้า!
ประมุขหญิงตื่นตะลึง!
ยังไม่ทันตระหนักว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ร่างกายของนางก็ถูกมือบอบบางนั้นฟาดลงกับพื้นอย่างรุนแรง!
กระดูกของนางแทบหัก!
นางหมายจะต้านทานความเจ็บปวด ฝืนกายลุกขึ้นนั่ง ทว่ารองเท้าปักข้างหนึ่งก็เหยียบลงบนอกของนาง และเหยียบลงกับพื้นอย่างไร้ความปรานี!
“ผู้ใดเป็นลูกเจี๊ยบ?” เจ้าของรองเท้าปักลายกล่าวพลางมองนางอย่างไม่วางตา
เป๊าะ!
กระดูกซี่โครงหัก
ประมุขหญิงเจ็บปวดแสนสาหัสจนสมองว่างเปล่าคิดสิ่งใดไม่ออก
โม่…ซัง…
ช่วยด้วย—-
“ข้าถามเจ้า ผู้ใดเป็นลูกเจี๊ยบ?”
เป๊าะ!
กระดูกซี่โครงหักลงอีกซี่
ประมุขหญิงอยากร้องไห้ มารดามัน! เจ็บเพียงนี้! จะให้นางเอ่ยอย่างไร! ! !
…………………………………………